...ยึดหลักกฎหมายอยู่เหนือการเมือง
แต่จะต้องให้กฎหมาย
นำไปสู่สภาวะทางการเมืองที่น่าปรารถนา...
คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญฉบับ ′ศุกร์ 13′ ยังสร้างความมึนงงให้กับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะปัญหาการโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ
3 จะเดินหน้าก็เสี่ยง จะถอยหลังก็ไม่ได้
ขณะที่ภายในพรรคเองก็มีทั้งเสียงเชียร์ให้โหวตต่อ และเปลี่ยนมาแก้รายมาตราแทน
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ
นิติศาสตร์บัณฑิต จุฬาฯ เกียรตินิยมอันดับ 1 ศึกษาต่อที่
ม.ฮาร์วาร์ด ได้รับรางวัลฟูลไบรต์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม
อดีตนักกฎหมายในคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เสนอทางออกจาก ′กับดัก′
ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
แนวทางที่รัฐบาลรอฟังกฤษฎีกาก่อน
แม้กฎหมายจะกำหนดชัดเจนว่าคำวินิจฉัยมีผลตั้งแต่วันที่อ่าน
แต่ควรรอเอกสารให้ชัดเจนก่อน
การยึดเพียงโฆษกศาลรัฐธรรมนูญแถลงหรืออ่านจากเอกสารข่าวคงไม่ได้
แต่ศาลเองก็ควรจัดทำและเผยแพร่คำวินิจฉัยทันที
คำวินิจฉัยต้องทำเสร็จแล้วจึงนำมาอ่าน
ไม่ใช่อ่านฉบับย่อแล้วค่อยไปแก้ไขปรับปรุงและลงมติ
ที่ตลกมากคือคำวินิจฉัยส่วนตน
กฎหมายเขียนชัดว่าต้องทำให้เสร็จเป็นลายลักษณ์อักษรและแถลงต่อที่ประชุมตอนเช้าก่อนอ่านคำวินิจฉัย
จึงเป็นไม่ได้ว่าขอเวลาอีก 60 วันไปทำคำวินิจฉัยส่วนตน
รัฐบาลจึงไม่ผิดเพราะต้องรอคำวินิจฉัยศาลที่มาช้า
ประเด็นที่ศาลเปิดช่องให้ร้องหากมีการกระทำขัดม.68 อีก
วุ่นวายมากเพราะศาลตีความมาตรา 68 ไว้กว้างมาก แม้ครั้งนี้บอกว่าไม่ได้ล้มล้างการปกครองฯ
แต่อนาคตจะมาร้องในประเด็นนี้อยู่ดี เรื่องนี้จะเป็นปัญหาทางการเมือง
ศาลตีความนอกกฎหมายไปแล้ว
เป็นการตีความแบบที่พ้นปริมณฑลของกฎหมายตั้งแต่วันที่ศาลวินิจฉัยรับคำร้องนี้ไว้
ปัญหานี้แก้โดยกฎหมายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ความแยบยลทางการเมืองด้วย
คำวินิจฉัยครั้งนี้สังคมมองว่ากำกวม
ความกำกวมย่อมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือที่จะลดน้อยลง
จากองค์กรตุลาการที่มีอำนาจชี้ขาดทางกฎหมาย ทุกคนต้องฟัง
มาเป็นองค์กรกึ่งที่ปรึกษา
คือพอบอกไปแล้วคนจะปฏิบัติตามหรือไม่ก็ได้
กลายเป็นที่ปรึกษาของรัฐสภาไป ทั้งที่ให้ประธานรัฐสภามานั่งชี้แจงต่อศาลแล้ว
หากอนาคตศาลมีคำวินิจฉัยออกมาก็จะมีการตีความอีกว่าเป็นคำวินิจฉัยหรือคำแนะนำ
พรรคเพื่อไทยแตกเป็น 2 แนวทาง คือโหวตต่อวาระ 3 และแก้รายมาตรา
การเดินหน้าโหวตต่อวาระ 3 ไม่ผิดกฎหมายเพราะมาตรา 291 บอกว่าให้ทำ 3 วาระ และศาลรัฐธรรมนูญก็บอกแค่ควรทำประชามติ
แต่เป็นการทำถูกกฎหมายที่ไม่ค่อยฉลาด
ใช้กฎหมายแบบแข็งทื่อ สร้างความวุ่นวายตามมา คือจะมีคนบอกว่าขัดอำนาจศาลหรือไม่
จะมีคนตีความว่าคำวินิจฉัยมีผลผูกพันต่อรัฐสภา ครม. ก็วุ่นวายอีก
ส่วนการแก้รายมาตราก็มีปัญหา
ครั้งนี้เป็นการแก้ทั้งฉบับ แก้โครงสร้างเชิงสัญลักษณ์ให้ประเทศออกจากอำนาจคมช.
ซึ่งต้องแก้หลายจุด เกิดปัญหาหลายจุด
คนแก้คือรัฐสภาจะเน้นแก้แต่ประโยชน์ตัวเอง
เช่น ปรับเขตเลือกตั้ง อำนาจส.ส. และส.ว. ฯลฯ แต่เรื่องที่เป็นของประชาชน
สิทธิชุมชน เสรีภาพของสื่อ หรือการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมจะไม่ถูกแก้
อีกทั้งต้องใช้เวลามาก
รัฐสภามีเรื่องอื่นต้องทำมากมาย ทำไมไม่ให้คนที่ประชาชนเลือกมาทำหน้าที่นี้
ทางออกของปัญหานี้
ผมมองว่าเราจะทำอย่างไรที่จะยึดหลักกฎหมายอยู่เหนือการเมือง
แต่จะต้องให้กฎหมายนำไปสู่สภาวะทางการเมืองที่น่าปรารถนา
เรื่องประชามติถามประชาชนก่อน ฟังดูดี
แต่กฎหมายไม่ได้เขียนไว้ อาจทำผิดกฎหมายได้ ดังนั้น ประเด็นประชามติที่ศาลแนะนำว่าควรทำ
ต้องใช้อำนาจของสภาที่มีอยู่แล้ว คือการให้ส.ส. ส.ว. ลงพื้นที่
ส่วนส.ว.สรรหาไปฟังความเห็นจากสาขาวิชาชีพที่ตัวเองได้รับการสรรหา
เพื่อถามว่าเห็นชอบให้เดินหน้าต่อในวาระ 3 เปิดให้มีส.ส.ร.ได้หรือไม่
ได้ความอย่างไรก็มาอภิปรายกัน
ถ้าสภาฟังแล้วว่าประชาชนไม่เห็นด้วยจริงๆ อาจเปลี่ยนใจไม่เดินหน้าต่อ
คือเดินหน้าต่อในวาระ 3 แต่ทำให้มตินั้นตกไป
แต่ถ้าประชาชนบอกว่าอยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
อยากจะพ้นๆ คมช.ไปเสียทีก็ลงมติในวาระ 3 ไปเลย
จะได้ประโยชน์ทุกฝ่าย คือ 1.รัฐสภาทำตามกฎหมายว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องทำ
3 วาระ
2.ความกดดันทางการเมืองลดลง
ฟังศาลแต่ทำในรูปแบบที่ไม่ขัดกฎหมาย และ 3.ประชาชนได้ประโยชน์จากการลงพื้นที่ของส.ส.
ส.ว. ได้บอกว่าอยากให้แก้เรื่องไหน
แต่อาจเกิดข้อโต้แย้งว่าส.ส.เป็นพวกเสียงข้างมากในสภา
เสียงส่วนใหญ่ก็ต้องให้แก้อยู่ดี ก็ต้องบอกว่าระบบตัวแทนในสภาต้องไว้วางใจและให้เกียรติเพราะมาจากประชาชน
หากทำอะไรที่ประชาชนไม่ต้องการจะถูกลงโทษจากประชาชน
คือไม่เลือกเข้ามาในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
มีวิธีการอื่นอีกหรือไม่
ถ้าตรงนั้นยังไม่ชัดเจนก็ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น
เช่น รัฐสภาประกาศว่าหลังลงมติวาระ 3 แล้ว
วันที่ประชาชนไปเลือกตั้งส.ส.ร.
หากไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญก็ให้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน
ถ้าคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนนมาเป็นเป็นอันดับหนึ่ง
รัฐสภาก็จะให้คำมั่นว่าจะแก้รัฐธรรมนูญอีกรอบเพื่อยกเลิกการมีส.ส.ร.
แต่หากการลงคะแนนไม่เป็นอันดับหนึ่ง
ต้องให้เกียรติประชาชนคนอื่นที่ต้องการแก้ด้วย
แม้ว่าการไม่ลงคะแนนจะไม่มีผลทางกฎหมาย
แต่จะมีผลทางการเมืองหากรัฐสภาประกาศให้คำมั่นออกมา
หรือหากการไม่ลงคะแนนยังไม่ชัดเจนอีก
ก็ให้คนที่ไม่ต้องการแก้มาลงสมัครส.ส.ร.
ประกาศจุดยืนเลยว่าต้องการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถ้าคนเหล่านี้ได้รับเลือกไปแล้วมีเสียงเสียงข้างมาก
ก็สามารถประกาศลาออกจากส.ส.ร.ร่วมกัน และหากส.ส.ร.มีจำนวนไม่ครบกึ่งหนึ่ง
จะส่งผลให้ส.ส.ร.ชุดนั้นสิ้นไปตามมาตรา 291 ที่ได้รับการแก้ไข
ฉะนั้นยังมีขั้นตอนที่ประชาชนออกความเห็นได้โดยไม่ต้องลงประชามติ
ซึ่งมีปัญหาไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะอำนาจการทำประชามติเป็นของครม.
จะให้ครม.ไปทำแทนสภาได้อย่างไร
หรือการตรากฎหมายใหม่แต่ก็จะมีปัญหาอีกว่า
การตรากฎหมายที่เล็กกว่ามาแก้รัฐธรรมนูญได้อย่างไร มันทำไม่ได้ในหลักทฤษฎี
และยังมีปัญหาทางเศรษฐกิจเข้ามาด้วย
คือจะต้องใช้เงินทำประชามติครั้งละ 2,500 ล้านบาท ถามว่าคุ้มค่าหรือไม่ เอาเงินไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าหรือ
อีกทั้งคุณภาพของประชามติถามว่า การทำประชามติวันนี้ให้ประชาชนเลือกอะไร
วันนี้ไม่มีตัวเลือกให้ประชาชน
จากเหตุผลทั้งหมดจึงไม่เห็นความจำเป็นที่รัฐสภาจะต้องทำประชามติ
พรรคเพื่อไทยต้องพิจารณาดีๆ
อย่าให้เหมือนตอนชะลอการลงมติวาระ 3 สรุปแล้ววาระ 3
ต้องเดินต่อ แต่ต้องเดินแบบมีหลักการ
รัฐบาลเสียงข้างมากแต่ขยับอะไรไม่ได้
เป็นปกติของการแย่งชิงอำนาจระหว่างผู้ต้องการกลับไปสู่รัฐธรรมนูญปี
2540 กับผู้ที่ต้องการปกป้องรัฐธรรมนูญปี 2550
ที่สร้างมากับมือ
คำถามคือพรรคเพื่อไทยจะเล่นเกมนี้อย่างไร
ถ้าทำแบบทลายด่าน เลือดกระเด็นเลือดสาด
จะไม่ต่างจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ เกิดความวุ่นวาย
แต่หากยอมอย่างเดียว คนเสื้อแดงก็ไม่ยอม
วิธีที่จะประนีประนอมคือ
เมื่อมีกับดักต้องเดินอย่างระมัดระวัง อะไรที่ยอมได้ก็ยอม
การผลักดันพ.ร.บ.ปรองดองและนิรโทษกรรม
พ.ร.บ.ปรองดองมีปัญหามากในเรื่องข้อกฎหมาย
คือการคืนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีขัดกับรัฐธรรมนูญ
เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพัน
หากไปตรากฎหมายที่ล้มล้างคำตัดสินของศาล
จะทำผิดกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและผิดรัฐธรรมนูญด้วย ถ้าพ.ร.บ. ปรองดองออกมา
มีการร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลก็จะตีตกไป
ส่วนการนิรโทษกรรมเป็นอำนาจของรัฐสภาอยู่แล้ว
แต่มีข้อห่วงใยว่าหากนิรโทษกรรมโทษร้ายแรงทั้งหมดจะขัดกฎหมายยุติธรรม
และมีการถกเถียงกัน
ข้อเสนอของผมคือให้ออกเป็นกลางๆ
เริ่มจากเปิดเผยความจริงใครฆ่าใคร หากคนทำสำนึกผิด ให้กราบขอโทษญาติผู้เสียชีวิต
ผู้เสียหาย
กฎหมายที่ออกมาเพื่อการปรองดองก็อาจจะให้เป็นโทษรอลงอาญาเอาไว้
ไม่ใช่การนิรโทษกรรม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น