วิเคราะห์
จาก มติชนออนไลน์
การต่อสู้ทางการเมืองได้ขยายเวทีจากรัฐสภาไปสู่องค์กรอิสระตามคาด
สำหรับการต่อสู้ในพื้นที่องค์กรอิสระยกแรก
ระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายคัดค้าน
ถือว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่เพลี่ยงพล้ำ
ประการแรก
ศาลรัฐธรรมนูญไม่ระงับการทูลเกล้าฯร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ดำเนินการหลังจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นว่าที่
ส.ว. ผ่านการพิจารณาในวาระ 3 แล้ว
ประการที่สอง
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกคำร้องกรณีมีผู้ร้องว่าร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ
เพราะมีการปรับลดงบประมาณขององค์กรอิสระ
เท่ากับว่า ร่าง
พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวสามารถนำไปบังคับใช้ได้ตามปกติ
แม้จะช้ากว่ากำหนดเวลาการเริ่มต้นคือ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
แต่ก็ไม่ถือว่ากระทบต่อการบริหารงานในภาพรวมนัก
แต่ทุกจังหวะก้าวยังต้องระมัดระวัง
เพราะยังเหลือคำร้องที่รัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องลุ้นอีก 3
คำร้องเป็นอย่างน้อย
คำร้องดังกล่าว
มีทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญขัดต่อมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
เรื่องที่ทูลเกล้าฯร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่รอฟังคำตัดสินเรื่องร้องเรียนต่อศาลรัฐธรรมนูญ
จะขัดต่อ ม.154 หรือไม่ เรื่องร่าง พ.ร.บ.ให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกู้เงิน 2.2
ล้านล้านบาท นั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ที่กำหนดวิธีการใช้เงินแผ่นดิน
ซึ่งทางฝ่ายคัดค้านเห็นว่า
เงินกู้ดังกล่าวคือเงินแผ่นดินที่จะต้องผ่านการพิจารณาดังเช่นงบประมาณ
ส่วนฝ่ายรัฐบาลเห็นว่าไม่ใช่ เช่นเดียวกับ พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท
ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง
คำร้องที่เหลืออยู่อาจสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาล
แต่ดูเหมือนขณะนี้
น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐบาลจะเข้าเกียร์เดินหน้าทุกอย่างแล้ว
ดังที่ปรากฏความเคลื่อนของนายกรัฐมนตรี
ซึ่งเคยปลีกวิเวกในตอนประชุมสภา ออกไปตรวจราชการต่างจังหวัดและต่างประเทศ
แต่ระยะหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เผื่อเวลาไว้สำหรับเข้าประชุมรัฐสภา
ยังมีปรากฏการณ์ควันหลงจากกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปมที่มา ส.ว.ว่า
น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางมาที่รัฐสภาและเข้าร่วมโหวตผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวด้วย
ทั้งที่ร่าง
พ.ร.บ.ดังกล่าวกำลังถูกโจมตีและยื่นศาลรัฐธรรมนูญ
เท่ากับว่าหากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการโหวตดังกล่าวผิด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ในฐานะ 1 ใน 358 เสียงที่สนับสนุนร่างในวาระ 3
ก็พร้อมรับผิดด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์
ในฐานะนายกรัฐมนตรียังนำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ
หลังจากส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบแล้ว
เป็นการนำขึ้นทูลเกล้าฯในขณะที่พรรคฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภาผู้คัดค้าน
แห่กันไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ
เหตุที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะ..
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าอยู่ได้เพราะมวลชน
จึงจำเป็นต้องรักษามวลชนไว้จึงจะอยู่ได้
รัฐบาลจึงจำเป็นที่ต้องดำเนินการสิ่งที่เคยสัญญากับประชาชนไว้ก่อนเลือกตั้ง
ให้ปรากฏเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และเพราะต้องการความนิยมจากมวลชน
รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างผลงานเพิ่มหลังจากดำเนินนโยบายหลายอย่างไปแล้ว ดังนั้น
การผลักดันเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทออกมา
เพื่ออัดฉีดโครงการอภิโปรเจ็กต์ของกระทรวงคมนาคม ที่มีนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอยู่นั้น
จึงเป็นสิ่งจำเป็น
จำเป็นทั้งเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง
จำเป็นทั้งเม็ดเงินที่ใช้ผลักดันยกระดับระบบขนส่งและการคมนาคมไทย
ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาประเทศ
จำเป็นทั้งเม็ดเงินที่มีผลต่อการเมืองในอนาคตอันใกล้
ยิ่งเวลารัฐบาลผ่านพ้นไปแล้ว
2 ปี ยังเหลือเวลาอีก 2 ปี รัฐบาลยิ่งต้องผลักดันผลงานออกมาส่งท้าย
เพื่อเป็นผลงานสำคัญในการหาเสียงครั้งต่อไป
ที่สำคัญ ด้วยเวลาที่ผ่านมา
รัฐบาลและฝ่ายค้านได้แสดงบทบาทต่อสาธารณชนจนคนไทยมองแล้ว...เห็นเจตนา
เจตนาต่อประชาชน
เจตนาต่อการเมือง
เจตนาดังกล่าวมีผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ดังนั้น พรรคเพื่อไทยและรัฐบาล หรือแม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์
อาจประมาณการเอาไว้แล้วว่า
หากสามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ประชาชนได้
แม้ในที่สุดรัฐบาลต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์คับขัน
การใช้วิธียุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
น่าจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับพรรคเพื่อไทย
ณ วันนี้ รัฐบาลจึงเดินหน้าในทุกๆ
เรื่องที่เคยสัญญากับประชาชนไว้
เพราะการทำตามสัญญา
จะเป็นเกราะป้องกันพรรคการเมืองและนักการเมือง
ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
หากถึงวันที่รัฐบาลไปไม่ไหว
การคืนอำนาจให้ประชาชนจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดของพรรคเพื่อไทย
เพราะเชื่อว่าการทำตามสัญญาจะรักษาความนิยมจากประชาชนที่สนับสนุนเอาไว้ได้
แต่หากไม่มีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้น
รัฐบาลก็จะเดินหน้าตามแผนที่กางให้ประชาชนเห็นต่อไป
เมื่อครบวาระ 4 ปี
หากแผนที่วางไว้สัมฤทธิผล พรรคเพื่อไทยก็จะได้รับคะแนนนิยม
และสามารถกลับคืนสู่สภาได้เหมือนเดิม
การอิงแอบประชาชนเช่นนี้
พรรคเพื่อไทยถนัด
และทำแล้วได้เปรียบพรรคการเมืองอื่นเสมอมา
ห้วงเวลานี้ก็เช่นกัน
พรรคเพื่อไทยยังยึดแนว "อิง" มวลชน
เป็นยุทธศาสตร์หลักในการช่วงชิงชัยชนะทางการเมือง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น