Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เสวนา: ปฏิรูปกาศึกษาไทย รัฐสวัสดิการคือทางออก?


เรียบเรียงโดย ประชาไท
 
 
 

ชี้น่าเป็นห่วงเรื่องเด็กเลิกเรียนกลางคันเกือบ 50% ปัญหาคุณภาพครูผู้สอน ไปจนถึงระบบอำนาจนิยมในการศึกษา ด้านแนวร่วมนร.นศ.ผลักดันปฏิรูปการศึกษาไทยแถลงขอให้ทีนิวส์ขอโทษที่ลงข่าวบิดเบือน มิเช่นนั้นจะฟ้องกลับด้วยพ.ร.บ. คอมพ์

 

26 ต.ค. 2556 ที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มสภาหน้าโดม จัดงานเสวนาในหัวข้อ “การศึกษาไทย รัฐสวัสดิการคือทางออก?” โดยมีวิทยากรที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันการปฏิรูปการศึกษาเข้าร่วมการอภิปราย 

 

 

โดยก่อนการเริ่มเสวนา ทางกลุ่มแนวร่วมนักเรียนนักศึกษาผลักดันปฏิรูปการศึกษาไทย ได้แถลงข่าวต่อกรณีการรายงานข่าวของเว็บไซต์ทีนิวส์กรณีการจับกุมกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เมื่อวันที่ศุกร์ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาบิดเบือนจากความจริง 

 

ทางกลุ่มระบุว่า เมื่อเวลา 18.42 น. ของวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา มีการเผยแพร่ข่าวการทำกิจกรรมของนักศึกษาเพื่อปฏิรูปการศึกษาไทยทางเว็บไซต์สำนักข่าวทีนิวส์ โดยมีการพาดหัวว่า "เนติวิทย์" เหิมหนักเปิดเครื่องเสียงดังลั่น ระหว่างปชช.ทำพิธีส่งเสด็จ "พระสังฆราช" ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยในระหว่างการทำกิจกรรมทางกลุ่มนักศึกษาพบว่า ไม่มีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวทีนิวส์เข้ามาทำข่าวเลย เป็นเพียงการนำข้อมูลจากสำนักข่าวอื่นๆ บิดเบือนเท่านั้น  

 

โดยทางกลุ่มได้ชี้แจงว่า ในระหว่างการชุมนุม ได้มีการใช้เครื่องขยายเสียง ทางตำรวจสน.ดุสิตจึงได้เข้ามาล้อมที่รถ และได้แจ้งว่า นักศึกษากลุ่มนี้ถูกจับกุมในข้อหาละเมิดพ.ร.บ.จราจร และระบุว่าจะมีการจับกุมในข้อหาละเมิดพ.ร.บ.ความมั่นคง รวมถึงข้อหาการดัดแปลงรถยนต์โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ต่อมาพบว่ากิจกรรมดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมือง ทำให้ถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม นักเรียนนศ. ที่ไปชุมนุมทั้งหมดถูกปรับรวมกันเป็นจำนวน 500 บาท  

 

ทางกลุ่มย้ำว่า การเผยแพร่ข่าวของเว็บไซต์ทีนิวส์ไม่เป็นความจริงและเป็นการใส่ร้ายป้ายสีกลุ่มนักเรียนนักศึกษา และได้เรียกร้องให้สำนักข่าวทีนิวส์ทำการขอโทษกลุ่มนักเรียนนักศึกษา มิเช่นนั้น ทางกลุ่มจะดำเนินคดีฟ้องร้องสำนักข่าวทีนิวส์ ตามพ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550 มาตรา 14  ในข้อหาการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  

 

น่าห่วงนักเรียน-นศ.ตกหายระหว่างทาง

 

เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์  กล่าวว่า ในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรัฐพยายามจะเพิ่มเงินอุดหนุนการศึกษา พบว่า ในระดับมัธยม ช่องว่างระหว่างร้อยละ 20 แรกของคนรวยที่สุด และร้อยละ 20 ของคนจนที่สุดในประเทศ ยังไม่ห่างกันมากนัก อย่างไรก็ตามในระดับอุดมศึกษา ช่องว่างระหว่างร้อยละ 20 แรกและสุดท้ายห่างกลับห่างออกกันไปเรื่อยๆ 

 

อย่างไรก็ตาม ในระดับมัธยมยังมีปัญหาอยู่ ซึ่งรัฐสวัสดิการอาจจะแก้ปัญหานี้ไม่ได้สักทีเดียว คือเรื่องของการเรียนจบการศึกษา และจำนวนของการเลิกกลางคันระหว่างเรียน ยังไม่มีการเก็บสถิติในระดับนี้อย่างเป็นทางการ แต่พบว่าช่วงม.สามและปวช.จะเกิดการหล่นหายไประหว่างทางมากที่สุด หากเปรียบเทียบคร่าวๆ จากนักเรียนที่เข้าเรียนชั้นประถม 1 จำนวน 50 คน มีเพียง 28 คนเท่านั้น ที่จบการศึกษาในชั้น ม.6 หรือปวส. ปัญหานี้จึงน่าเป็นห่วงและต้องแก้ให้ได้

 

อย่างไรก็ตามในเชิงอุดมการณ์เอง การศึกษาไทยก็ยังมีปัญหาอยู่ ในแง่ที่สถาบันการศึกษายอมรับการจัดการศึกษาจากรัฐ หรือโครงสร้างส่วนบน คือยอมรับอะไรก็ตามที่รัฐประทานมาให้ ถือว่าเป็นบุญคุณ เช่นเดียวกันกับผู้ที่ให้การศึกษา ซึ่งยังมีความคิดว่าการให้การศึกษาเป็นบุญคุณ ซึ่งขัดกับแนวคิดเรื่องของรัฐสวัสดิการ 

 

นอกจากนี้ เดชรัตยังเล่าถึงประสบการณ์รัฐสวัสดิการของประเทศเดนมาร์ค ซึ่งเมื่อเทียบกับของไทยแล้วชี้ให้เห็นว่า รัฐสวัสดิการไม่ใช่เพียงแค่การเสียภาษีจากประชาชนและได้ของฟรีจากรัฐเท่านั้น แต่รัฐสวัสดิการในยุโรปจะมีลักษณะเป็น “สังคมนิยมโดยวัฒนธรรม” ซึ่งหมายถึงการที่รัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ รู้สึกว่าเป็นหน้าที่และวัฒนธรรมที่จะต้องให้ความดูแลประชาชน มีวัฒนธรรมที่ผู้แพ้ไม่ถูกคัดออก แต่จะถูกฝึกฝนให้มีความสามารถเท่าๆ กับผู้ชนะ นอกจากนี้ เขายังเล่าว่า นักศึกษาเดนมาร์คยังได้รับเงินเดือนอุดหนุนจากรัฐด้วย 

 

มองปัญหาหลักคือคุณภาพครูผู้สอน

 

ปิยรัฐ จงเทพ เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปฏิรูปการรับน้องและประชุมเชียร์แห่งชาติ กล่าวว่า การเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของเยาวชนไทยที่ยังนับว่าน้อยอยู่มาก โดยอ้างสถิติการเข้าเรียนของนักเรียนไทย ปี 2541 มีจำนวนนักเรียนที่เข้าเรียนในระดับประถม 50 คน แต่เมื่อถึงม. 3 เหลือเพียง 28 คน ในขณะที่สถิติปี 2540 มีนักเรียนที่เข้าเรียนในระดับประถม 1 ล้าน 1 แสนคน  แต่มีเพียง 8 แสนคนเท่านั้น ที่สามารถจบการศึกษาในชั้นม. 3

 

มีการวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าวจากสภาการศึกษา พบว่า นักเรียนที่เรียนไม่จบนั้นมีปัญหาจากด้านการเงิน ต้องออกจากการเรียนกลางคันเพื่อไปช่วยพ่อแม่ทำนาทำสวน หรือไม่มีเงินส่งเรียนต่อในระดับสูงขึ้น ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะเห็นว่า ในปี 2540 มีนักเรียนเข้าถึงการศึกษา 65% แต่ในปี 40 กลับลดลง เหลือเพียงร้อยละ 60% เท่านั้น

 

ปิยรัฐมองว่า ปัญหาหลักๆ ของระบบการศึกษา มาจากคุณภาพของครูที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ ในระยะสามสิบปีที่ผ่านมา ใครก็ได้มาเป็นครู ไม่ได้มีการคัดเลือกที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพ มหาวิทยาลัยอย่างมศว. ที่เคยให้ความสำคัญกับการสร้างครูโดยเฉพาะ ก็ไม่เป็นเหมือนแต่ก่อน

 

นอกจากนี้ นอกจากรัฐสวัสดิการจะสามารถช่วยในแง่การเข้าถึงการศึกษาได้แล้ว รัฐสวัสดิการยังมีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ด้วย อย่างประเทศในตะวันตกที่มีรัฐสวัสดิการด้านสาธารณสุข เช่น มีการบังคับให้แม่ต้องฝากครรภ์ภายใน 12 สัปดาห์ เพื่อให้ทารกมีสุขภาพที่ดีและเอื้อต่อการเรียนรู้ นี่เป็นวิธีหนึ่งที่รัฐสวัสดิการจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการเรียนรู้และการศึกษาของประชากรในสังคมได้ 

 

ต้องพัฒนาอาชีวะ,พาณิชย์ รองรับความสามารถที่หลากหลาย

 

อั้ม เนโกะ นศ. คณะศิลปศาสตร์ มธ. ผู้รณรงค์เรื่องการให้ยกเลิกการบังคับใส่เครื่องแบบในมหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยเรียนครุศาสตร์มา ในวิธีการเรียนการสอน มีแนวคิดที่ให้ควรให้นักศึกษาพัฒนาศักยภาพตามที่ตนเองสนใจ แต่ในความเป็นจริงของประเทศไทย ยังเป็นระบบการให้การศึกษาตามยถากรรม คือไม่มีการพัฒนาศักยภาพตามความสนใจของตนเองจริงๆ ยังมีการเป็นไปตามแบบแผน ว่าจบประถม มัธยม เข้ามหาวิทยาลัย และรับปริญญา นี่เป็นการจัดความศึกษาที่ให้ความสำคัญกับมิติเดียว

 

เธอกล่าวว่า ทุกวันนี้เรามีนักศึกษาที่เรียนในระดับอุดมศึกษามากเกินไป ในขณะที่คุณภาพกลับลดลง ในขณะเดียวกันประเทศในยุโรป อย่างเช่น เยอรมนี มีวิทยาลัยดนตรี การเต้น รวมถึงระดับหลักสูตร diploma หรือ certificate ที่รองรับการสร้างคนที่มีความหลากหลาย ในสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิชาชีพ วิชาการ หรือเชิงพาณิชย์ เป็นต้น 

 

"ทุกวันนี้ เรามองเด็กพาณิชย์ ในแง่ลบว่า เป็นสก๊อย เป็นพวกที่ไม่สามารถเรียนต่อมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยได้ แต่สิ่งที่รัฐควรทำคือเอางบประมาณไปพัฒนาวิทยาลัยเฉพาะด้านให้เท่าเทียมกัน ไม่ควรมองว่านักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้นที่จะเป็นอนาคตของชาติได้แต่เพียงผู้เดียว" 

 

อั้มกล่าวว่า มีการเสนอว่าให้แก้ปัญหาการศึกษาไทยที่แบบเรียน เนื่องจากมีประวัติศาสตร์เรื่องของชาติเต็มไปหมด มีแต่เรื่องของสถาบันกษัตริย์ แต่กลับไม่มีเรื่องของปรีดี พนมยงค์ ผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ไม่มีประวัติศาสตร์สังคม หรือประวัติศาสตร์ของประชาชนในแบบเรียนเลย นี่เป็นการสร้างกลไกความเชื่อแบบที่รัฐไทยต้องการที่จะให้เป็น และอยู่ภายใต้ระบบคิดที่มีปัญหา

 

เธอเสนอว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการศึกษาเมืองไทย ต้องพูดถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาของสถานะสถาบันกษัตริย์ด้วย หากเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องของสถาบันกษัตริย์ จะไม่สามารถแก้ปัญหาอื่นๆ ที่รองลงมาได้เลย ถ้าจะพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาเพียวๆ แบบพูดมาเป็นสิบปี อย่างนี้ก็ไม่เปลี่ยน ตราบใดที่ยังมีตำราเรียนที่ดีแค่ไหน แต่หากอุดมการณ์เรื่องสถาบันชาติ ศาสนา กษัตริย์ยังคงครอบงำอยู่ คนยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่รอบด้าน ยังมีการเลือกคัดจัดสรรข้อมูลโดยรัฐให้ประชาชนได้รับรู้ ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาแกนกลางของการเมืองไทย ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอื่นๆ ได้เช่นกัน 

 

สิ่งสำคัญของเรื่องการศึกษาคือ การที่เราสามารถคิดอย่างตั้งคำถาม เชิงวิพากษ์ต่อชุดความรู้นั้น ว่ามีปัญหาอย่างไรด้วยการใช้เหตุผล ไม่ว่าจะเป็นชุดความรู้ของตะวันตก หรือของเราเอง เพื่อให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่คิดว่าเราเป็นชาติที่ดีเลิศที่สุดและไม่ต้องการที่จะพัฒนาตนเองไปไหนอีก 

 

การกดขี่ในสังคมสะท้อนการขดขี่ในโรงเรียน

 

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล  สมาพันธ์นักเรียนไทยเพื่อการปฏิวัติ เห็นด้วยกับการมองปัญหาการศึกษาผ่านมุมมองของชนชั้น คือมุมมองผู้ปกครอง และชนชั้นของผู้ถูกกดขี่ แม้จะมีความก้าวหน้าของสังคมขนาดไหน แต่ก็ยังมีการกดขี่เกิดขึ้นอยู่ในสังคม รวมถึงในระบบการศึกษาด้วย 

 

เนติวิทย์เล่าถึงประสบการณ์ของตนเองที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานนักเรียน แต่ไม่ได้เป็น เนื่องจากไม่ได้ไปเลือกตั้ง จึงต้องยอมสละสิทธิ์ตามกฎของโรงเรียน และทางโรงเรียน ก็ลดตำแหน่งให้มีแค่รองประธานนักเรียนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม กลับมีการยุบสภา เพื่อเป็นการกลั่นแกล้ง เนื่องจากพวกครูไม่พอใจที่ตนเองได้รับเลือกเป็นประธาน จากเดิมที่ตนเองจะได้เป็นกรรมการ ก็เลยไม่ได้เป็น จึงหันมาอ่านหนังสือในห้องสมุด จัดกิจกรรมเสวนา อ่านหนังสือ ฉายหนังในโรงเรียน และรวบรวมครูที่หัวก้าวหน้าไว้ได้จำนวนหนึ่งในเครือข่าย 

 

เขาเล่าวว่า ตอนนี้โรงเรียนจะมีการสร้างอนุเสาวรีย์รัชกาลที่ห้า มีตนคนเดียวที่คัดค้าน เพราะต้องให้สถาบันการศึกษาเป็นที่ที่เอื้อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัชกาลที่ห้า ต้องสนับสนุนให้มีการวิจารณ์ร.ห้า ไม่ใข่ส่งเสริมให้รัก นี่คือสภาพของการเมืองไทยที่สะท้อนลงมาถึงในโรงเรียน 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น