Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ขบวนล้มรัฐบาล : การเมือง“ประตูหลัง”บ้านสี่เสา ตุลาการลูกป๋าเริ่มทำงาน อีกแล้ว!

จากข่าวเจาะลึกนึกไม่ถึง RED POWER ฉบับที่ 31 เดือนธันวาคม 2555

 

ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีการจัดงานวันเกิดของตุลาการผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่ออักษรย่อ ว.วิรัช อยู่ถนนราชพฤกษ์ ข้ามคลองมหาสวัสดิ์ จังหวัดนนทบุรี ตุลาการคนนี้คือ “ลูกป๋า” คนสำคัญระดับ “ประตูหลัง” และเคยมีบทบาทหลักในฐานะผู้ประสานงานกับแวดวงตุลาการ(โดยมีบทบาทร่วมกับตุลาการชื่อย่อ พ. ลูกป๋าอีกคนซึ่งสังกัด “ชมรมคนรักประตูหลัง” เช่นเดียวกัน และทั้งตุลาการ ว. และ พ. ต่างก็อยู่ก๊วนเดียวกับตุลาการคนดังชื่อย่อ จ.)ในการร่วมด้วยช่วยกันล้มรัฐบาลไทยรักไทยและตลอดมาถึงการยุบพรรคตัดสิทธิ์ ยึดทรัพย์ ล้มรัฐบาลสมัคร-สมชาย จนถึงยัดเยียดคดีความต่างๆนานาให้กับแกนนำและผู้ชุมนุมเสื้อแดงจนร่ำรวยคดีกันเป็นแถว ภายในบ้านมูลค่าหลายสิบล้านซึ่งเป็นสถานที่จัดงานมีการจัดเลี้ยงอาหารเมนูพิเศษอย่างหรูหราสั่งตรงจากโรงแรมหรูระดับหกดาวมาเสริฟแขกวีไอพีโดยเฉพาะ นับว่าตุลาการเจ้าของบ้านคนนี้ใจปั้มพอตัวที่ควักเงินจัดงานจำนวนมิใช่น้อยๆ ปกติเคยเห็นแต่นักการเมืองหรือนักธุรกิจผู้ร่ำรวยมีอันจะกินเหลือเฟือเท่านั้นที่ชอบจัดงานอวดเบ่งบารมี เพิ่งเคยเห็นตุลาการเป็นครั้งแรกที่จัดงานทำนองนี้ สงสัยจริงๆว่าร่ำรวยมาจากไหน บรรดาแขกวีไอพีผู้มีเกียรติที่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานครั้งนี้ประกอบด้วย นักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล(ยกเว้นพรรคเพื่อไทย) นายทหารระดับสูง ตุลาการระดับสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจชั้นนำ รวมทั้งนักเคลื่อนไหวมวลชน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเคยมีบทบาทล้มรัฐบาลมาแล้วทั้งสิ้น

จุดน่าสนใจอีกจุดหนึ่งของงานวันนั้นอยู่ตรงที่แขกวีไอพีที่เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะนักการเมืองใหญ่แต่พรรคเล็กสังกัดพรรคยี้ห้อยร้อยยี่สิบอย่างสมศักดิ์หูบี้ที่กำลังหมายมั่นปั้นมือจะกลับเข้าพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ทำให้อดนึกถึงวันคืนเก่าๆ ในช่วงที่ไทยรักไทยใกล้แตกดับ ในวันนั้นบรรดานักการเมืองขาใหญ่ทั้งหลายต่างสละเรือเอาชีวิตรอด แต่พอตั้งลำได้นักการเมืองที่เคยทรยศไทยรักไทยจำนวนมากก็พยายามหวนกลับเข้ามาขอร่วมหอลงโรงอีกครั้ง บางคนเริ่มออกฤทธิ์เดชในรัฐบาลบ้างแล้ว เรื่องนี้ต้องระวังให้จงหนัก พรรคเพื่อไทยเจ็บแล้วต้องหัดจำบ้าง

งานวันเกิดของผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงตุลาการคนนี้ ชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า ในแง่ของจริยธรรมวิชาชีพ การจัดงานเลี้ยงโดยเชิญแขกวีไอพีทั้งหลายมาร่วมงานอาจจะเป็นการเปิดทางให้การเมืองและผลประโยชน์เข้าแทรกแซงการทำหน้าที่ของตุลาการหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า ภายใต้สถานการณ์การเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลจากทุกทิศทุกทาง หากกลุ่มการเมืองเหล่านั้นล้มรัฐบาลไม่สำเร็จ เราอาจจะได้เห็นดาบสุดท้ายของตุลาการอีกก็เป็นได้ ตุลาการอาจจะใช้อำนาจหน้าที่พิพากษาคดีที่ทำให้รัฐบาลพังครืนอย่างไม่เป็นท่าเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว คำพิพากษาของตุลาการยังคงทรงพลังในการบดขยี้รัฐบาลอยู่เสมอ เพราะเป็นคำตัดสินที่ถือเป็นที่สุด คงไม่มีใครรับประกันได้ว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย

 

อาสา สารสิน ราชเลขาธิการ “ทำไมลาออก! ?

เดือนกันยายนที่ผ่านมาสำนักราชเลขาธิการ ได้เผยแพร่ข่าวนายอาสา สารสิน เกษียณอายุราชการด้วยการกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งราชเลขาธิการ หลังจากรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาเป็นเวลาถึง 12 ปี ปัจจุบันนายอาสา สารสิน มี อายุ 76 ปี    

          ความน่าสนใจอยู่ตรงที่สำนักราชเลขาธิการ เรียกการลาออกว่า “เกษียณอายุราชการ” ซึ่งดูจะมีความแตกต่างจากการเกษียณในตำแหน่งข้าราชการทั่วๆไป เรื่องนี้เราลองไปดูความเห็นของนักกฎหมายอย่าง วิษณุ เครืองาม(เดลินิวส์, 28 กันยายน 2555) ว่ามีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร

“การเกษียณก่อนครบเกษียณอาจมีได้เรียก ว่า เออร์ลี่ รีไทร์เมนต์ แปลเป็นไทยว่าเกษียณก่อนกำหนด เช่น ถ้ามีอายุราชการเหลือไม่น้อยกว่า 2 ปี อาจขอลาออกก่อน ทางการจะจ่ายบำนาญให้พร้อมเงินตอบแทนจำนวนหนึ่ง ทางตำรวจทหารมีเลื่อนยศให้อีกชั้น บางคนเป็นพลโทอยู่จนเกษียณเห็นจะไม่ได้พลเอก พอขอลาออกก่อนเขาก็เลื่อนเป็นพลเอกให้ ทางพลเรือนไม่มียศจะเลื่อนจึงเสียประโยชน์อยู่บ้าง

บางครั้งอาจ เกษียณหลังอายุ 60 ปีได้ อาจารย์มหาวิทยาลัยอาจต่ออายุคราวเดียวไปจนถึง 65 ปี แต่ให้ทำงานสอน ไม่ให้บริหาร จะไปเป็นคณบดีตอนนั้นไม่ได้ ส่วนการสมัครรับการสรรหาเป็นผู้บริหารเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะถือว่าเป็น ตำแหน่งจ้างไม่ใช่เป็นข้าราชการ ขณะเดียวกันผู้พิพากษา อัยการก็อยู่ไปจนอายุ 70 ปี ตำแหน่งพวกนี้ถือว่ายิ่งอยู่นานยิ่งมีประสบการณ์มาก ภาษาพระเรียกว่า รัตตัญญู แปลว่าผู้รู้ราตรี แปลอีกทีคือมีประสบการณ์ผ่านมาหลายราตรี ยังใช้งานได้

ข้าราชการพลเรือนในพระองค์เป็นอีกประเภทที่อยู่ไป ตามพระราชอัธยาศัยเพราะต้องอาศัยความไว้วางพระราชหฤทัย คือครบ 60 ปีแล้วจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ต่ออายุหรือไม่ก็ได้ และต่อไปนานเท่าใดก็ได้ ผู้ใหญ่อย่างคุณอาสา สารสิน ราชเลขาธิการ คุณแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง จึงยังทำราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ได้”

 
ขงเบ้งเดี่ยวพิณลวงสุมาอี้ “เปรมเดี่ยวเปียโนลวงใคร” ? ศึกใหญ่ขั้นแตกหักยังมาไม่ถึง

          วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มูลนิธิรัฐบุรุษจัดมินิคอนเสิร์ต"Music for your Happiness" โดยมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โชว์เดี่ยวเปียโน เกือบสองพันปีก่อนขงเบ้งลวงสุมาอี้ด้วยการเล่นพิณที่ประตูเมือง สุมาอี้หลงกลคิดว่าขงเบ้งซุ่มกำลังทหารไว้ในเมือง หากบุ่มบ่ามบุกเข้าไปอาจเสียที ทั้งที่ขงเบ้งมีกำลังพลเหลือเพียงไม่กี่พันคน ขณะที่สุมาอี้มีไพร่พลกว่า 15 หมื่นประชิดประตูเมือง ทั้งขงเบ้งและสุมาอี้เป็นสุดยอดจอมทัพของแต่ละฝ่ายที่เก่งกาจยากจะหาใครเทียบได้ในยุคนั้น ต่างเชี่ยวชาญพิชัยสงครามอย่างหาตัวจับยาก การศึกสงครามกับกลลวงเป็นของคู่กันมาแต่ครั้งโบราณ ถ้าเป็นภาษาปัจจุบันของนายพลแห่งกองทัพไทยก็คือ ลับ-ลวง-พราง ยากที่ใครจะล่วงรู้ถึงความในส่วนลึกของมหาอำมาตย์เปรม ส่วนพลเอกเปรมเองก็มิได้เผยให้เห็นสิ่งใดที่มากไปกว่า “มือที่มองไม่เห็น” บนแป้นเปียโนเท่านั้น

          ปี 2552 ก่อนสงกรานต์ มีข่าวว่าพลเอกเปรมล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล ผ่านมาไม่กี่วัน คนเสื้อแดงโดนล้อมปราบอย่างนองเลือด ยังจำพิษสงของคนป่วยกันได้หรือไม่? ปี 2553 ก่อนการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนกระทั่งคนเสื้อแดงถูกล้อมปราบ ช่วงเวลาหลายเดือนนั้นแทบไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวของพลเอกเปรม แม้แต่ในการเจรจาระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับฝ่ายรัฐบาลขณะนั้น บทบาทพลเอกเปรมเงียบเชียบยิ่งกว่าปีก่อนหน้า แต่คนเสื้อแดงยิ่งบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ เกิดอะไรขึ้น?

          พลันได้ยินข่าวพลเอกเปรมจะเดี่ยวเปียโน ท่ามกลางสถานการณ์ “แช่แข็งประเทศไทย” ทำให้รู้สึกขนลุกเกรียวหนาวไปถึงกระดูก ใครๆก็รู้ว่า เสธ.อ้าย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทายาททางการเมืองพลเอกเปรม ทั้งเสธ.อ้าย และพลเอกสุรยุทธ์ ต่างก็มีตำแหน่งใหญ่โตร่วมกันในสนามม้านางเลิ้ง พลเอกสุรยุทธ์เป็นนายกสภาสนามม้า ขณะที่เสธ.อ้าย เป็นหนึ่งในกรรมการอำนวยการ(โดยมีพลเอกวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ เพื่อนสนิทร่วมเป็นกรรมการด้วย) อีกทั้งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการแข่งม้า และที่ เสธ.อ้าย มีชีวิตถึงวันนี้ไม่ต้องตายตามพลเอกฉลาด หิรัญศิริ เพราะพลเอกเปรมช่วยไว้ ใครๆก็รู้ว่าเสธ.อ้าย เป็นคนของใคร ใครๆก็รู้ว่ามวลชนที่สนามม้านางเลิ้งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ล้มรัฐบาลทักษิน-สมัคร-สมชาย แม้แต่แหล่งเงินทุนก็มาจากแหล่งเดียวกัน ที่สำคัญคนที่ “ไฟเขียว” ให้ล้มรัฐบาลก็คนเดียวกัน

          เสธ.อ้าย ทำให้ขบวนการล้มรัฐบาลกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากซบเซาไปร่วมสี่ปี อันที่จริงความคิดริเริ่มล้มรัฐบาลในตอนต้นอาจไม่ได้มาจาก “วงในสุด” ของระบอบอำมาตย์เสียทีเดียวนัก ด้วยเหตุเงื่อนไขต่างๆยังไม่สุกงอม แต่การที่พวกขวาจัดทั้งหลายดันเสธ.อ้าย มาแสดงบทผู้นำขับไล่รัฐบาลครั้งแรกที่สนามม้านางเลิ้งได้ผลเกินคาด จนทำให้ “วงในสุด” ของระบอบอำมาตย์หันมาสนับสนุนเต็มที่และ “ไฟเขียว” ผ่านตลอดในการช่วยระดมสรรพกำลังและเงินทุน 

คุณูปการใหญ่หลวงของเสธ.อ้าย จึงอยู่ที่การทำให้ขบวนการมวลชนฝ่ายอำมาตย์ฟื้นตัว และบรรดาแกนนำเสื้อเหลืองทั้งหลายที่เคยแตกคอกันสามารถกลับมาร่วมมือกันได้อีกครั้ง การกลับมาร่วมหอลงโรงของคนเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การล้มรัฐบาลในอนาคต การชุมนุมใหญ่ขององค์การพิทักษ์สยามแม้จะล้มรัฐบาลไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่างานนี้ทำเอารัฐบาลเหนื่อยทีเดียว ถือเป็นการรุกคืบครั้งใหญ่เพื่อรอวันเผด็จศึก วันนี้ เสธ.อ้าย จะนำทัพมวลชนต่อไปหรือไม่ไม่สำคัญอีกต่อไป  เพราะฝ่ายอำมาตย์ฟื้นตัวแล้วและมีคนพร้อมรับไม้ต่อจากเสธ.อ้าย แล้ว ภารกิจของเสธ.อ้าย ถือว่าลุล่วงแล้ว เป็นภารกิจขั้นเตรียมการเพื่อเปิดศึกขั้นแตกหักอย่างแท้จริงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ จับตาดูให้ดี การชุมนุมใหญ่ที่สนามม้านางเลิ้งก็ดี การชุมนุมใหญ่ 24 พฤศจิกา ที่ผ่านมาก็ดี เป็นแค่การ “โหมโรง” หรือ “ซ้อมใหญ่” เท่านั้น ของจริงยังมาไม่ถึง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น