ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามีการจัดงานวันเกิดของตุลาการผู้ใหญ่คนหนึ่งชื่ออักษรย่อ
ว.วิรัช อยู่ถนนราชพฤกษ์ ข้ามคลองมหาสวัสดิ์ จังหวัดนนทบุรี ตุลาการคนนี้คือ
“ลูกป๋า” คนสำคัญระดับ “ประตูหลัง”
และเคยมีบทบาทหลักในฐานะผู้ประสานงานกับแวดวงตุลาการ(โดยมีบทบาทร่วมกับตุลาการชื่อย่อ
พ. ลูกป๋าอีกคนซึ่งสังกัด “ชมรมคนรักประตูหลัง” เช่นเดียวกัน และทั้งตุลาการ ว.
และ พ. ต่างก็อยู่ก๊วนเดียวกับตุลาการคนดังชื่อย่อ
จ.)ในการร่วมด้วยช่วยกันล้มรัฐบาลไทยรักไทยและตลอดมาถึงการยุบพรรคตัดสิทธิ์
ยึดทรัพย์ ล้มรัฐบาลสมัคร-สมชาย จนถึงยัดเยียดคดีความต่างๆนานาให้กับแกนนำและผู้ชุมนุมเสื้อแดงจนร่ำรวยคดีกันเป็นแถว
ภายในบ้านมูลค่าหลายสิบล้านซึ่งเป็นสถานที่จัดงานมีการจัดเลี้ยงอาหารเมนูพิเศษอย่างหรูหราสั่งตรงจากโรงแรมหรูระดับหกดาวมาเสริฟแขกวีไอพีโดยเฉพาะ
นับว่าตุลาการเจ้าของบ้านคนนี้ใจปั้มพอตัวที่ควักเงินจัดงานจำนวนมิใช่น้อยๆ
ปกติเคยเห็นแต่นักการเมืองหรือนักธุรกิจผู้ร่ำรวยมีอันจะกินเหลือเฟือเท่านั้นที่ชอบจัดงานอวดเบ่งบารมี
เพิ่งเคยเห็นตุลาการเป็นครั้งแรกที่จัดงานทำนองนี้ สงสัยจริงๆว่าร่ำรวยมาจากไหน
บรรดาแขกวีไอพีผู้มีเกียรติที่ได้รับเทียบเชิญมาร่วมงานครั้งนี้ประกอบด้วย
นักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล(ยกเว้นพรรคเพื่อไทย) นายทหารระดับสูง
ตุลาการระดับสูง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักธุรกิจชั้นนำ รวมทั้งนักเคลื่อนไหวมวลชน
ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเคยมีบทบาทล้มรัฐบาลมาแล้วทั้งสิ้น
จุดน่าสนใจอีกจุดหนึ่งของงานวันนั้นอยู่ตรงที่แขกวีไอพีที่เป็นนักการเมือง
โดยเฉพาะนักการเมืองใหญ่แต่พรรคเล็กสังกัดพรรคยี้ห้อยร้อยยี่สิบอย่างสมศักดิ์หูบี้ที่กำลังหมายมั่นปั้นมือจะกลับเข้าพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง
ทำให้อดนึกถึงวันคืนเก่าๆ ในช่วงที่ไทยรักไทยใกล้แตกดับ
ในวันนั้นบรรดานักการเมืองขาใหญ่ทั้งหลายต่างสละเรือเอาชีวิตรอด
แต่พอตั้งลำได้นักการเมืองที่เคยทรยศไทยรักไทยจำนวนมากก็พยายามหวนกลับเข้ามาขอร่วมหอลงโรงอีกครั้ง
บางคนเริ่มออกฤทธิ์เดชในรัฐบาลบ้างแล้ว เรื่องนี้ต้องระวังให้จงหนัก
พรรคเพื่อไทยเจ็บแล้วต้องหัดจำบ้าง
งานวันเกิดของผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงตุลาการคนนี้
ชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า ในแง่ของจริยธรรมวิชาชีพ
การจัดงานเลี้ยงโดยเชิญแขกวีไอพีทั้งหลายมาร่วมงานอาจจะเป็นการเปิดทางให้การเมืองและผลประโยชน์เข้าแทรกแซงการทำหน้าที่ของตุลาการหรือไม่
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า ภายใต้สถานการณ์การเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลจากทุกทิศทุกทาง
หากกลุ่มการเมืองเหล่านั้นล้มรัฐบาลไม่สำเร็จ
เราอาจจะได้เห็นดาบสุดท้ายของตุลาการอีกก็เป็นได้
ตุลาการอาจจะใช้อำนาจหน้าที่พิพากษาคดีที่ทำให้รัฐบาลพังครืนอย่างไม่เป็นท่าเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
คำพิพากษาของตุลาการยังคงทรงพลังในการบดขยี้รัฐบาลอยู่เสมอ
เพราะเป็นคำตัดสินที่ถือเป็นที่สุด
คงไม่มีใครรับประกันได้ว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย
อาสา
สารสิน ราชเลขาธิการ “ทำไมลาออก!” ?
เดือนกันยายนที่ผ่านมาสำนักราชเลขาธิการ
ได้เผยแพร่ข่าวนายอาสา สารสิน เกษียณอายุราชการด้วยการกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งราชเลขาธิการ
หลังจากรับใช้เบื้องพระยุคลบาทมาเป็นเวลาถึง 12 ปี ปัจจุบันนายอาสา สารสิน มี อายุ 76 ปี
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่สำนักราชเลขาธิการ เรียกการลาออกว่า
“เกษียณอายุราชการ” ซึ่งดูจะมีความแตกต่างจากการเกษียณในตำแหน่งข้าราชการทั่วๆไป
เรื่องนี้เราลองไปดูความเห็นของนักกฎหมายอย่าง วิษณุ เครืองาม(เดลินิวส์, 28 กันยายน 2555)
ว่ามีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร
“การเกษียณก่อนครบเกษียณอาจมีได้เรียก
ว่า “เออร์ลี่ รีไทร์เมนต์” แปลเป็นไทยว่าเกษียณก่อนกำหนด เช่น
ถ้ามีอายุราชการเหลือไม่น้อยกว่า 2 ปี อาจขอลาออกก่อน
ทางการจะจ่ายบำนาญให้พร้อมเงินตอบแทนจำนวนหนึ่ง ทางตำรวจทหารมีเลื่อนยศให้อีกชั้น
บางคนเป็นพลโทอยู่จนเกษียณเห็นจะไม่ได้พลเอก พอขอลาออกก่อนเขาก็เลื่อนเป็นพลเอกให้
ทางพลเรือนไม่มียศจะเลื่อนจึงเสียประโยชน์อยู่บ้าง
บางครั้งอาจ เกษียณหลังอายุ 60 ปีได้
อาจารย์มหาวิทยาลัยอาจต่ออายุคราวเดียวไปจนถึง 65 ปี
แต่ให้ทำงานสอน ไม่ให้บริหาร จะไปเป็นคณบดีตอนนั้นไม่ได้
ส่วนการสมัครรับการสรรหาเป็นผู้บริหารเป็นอีกเรื่องหนึ่งเพราะถือว่าเป็น ตำแหน่งจ้างไม่ใช่เป็นข้าราชการ
ขณะเดียวกันผู้พิพากษา อัยการก็อยู่ไปจนอายุ 70 ปี
ตำแหน่งพวกนี้ถือว่ายิ่งอยู่นานยิ่งมีประสบการณ์มาก ภาษาพระเรียกว่า “รัตตัญญู” แปลว่าผู้รู้ราตรี
แปลอีกทีคือมีประสบการณ์ผ่านมาหลายราตรี ยังใช้งานได้
ข้าราชการพลเรือนในพระองค์เป็นอีกประเภทที่อยู่ไป
ตามพระราชอัธยาศัยเพราะต้องอาศัยความไว้วางพระราชหฤทัย คือครบ 60 ปีแล้วจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ต่ออายุหรือไม่ก็ได้ และต่อไปนานเท่าใดก็ได้ ผู้ใหญ่อย่างคุณอาสา สารสิน
ราชเลขาธิการ คุณแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการพระราชวัง จึงยังทำราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ได้”
ขงเบ้งเดี่ยวพิณลวงสุมาอี้
“เปรมเดี่ยวเปียโนลวงใคร” ?
ศึกใหญ่ขั้นแตกหักยังมาไม่ถึง
วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มูลนิธิรัฐบุรุษจัดมินิคอนเสิร์ต"Music for your Happiness" โดยมีพลเอกเปรม
ติณสูลานนท์ โชว์เดี่ยวเปียโน เกือบสองพันปีก่อนขงเบ้งลวงสุมาอี้ด้วยการเล่นพิณที่ประตูเมือง
สุมาอี้หลงกลคิดว่าขงเบ้งซุ่มกำลังทหารไว้ในเมือง หากบุ่มบ่ามบุกเข้าไปอาจเสียที
ทั้งที่ขงเบ้งมีกำลังพลเหลือเพียงไม่กี่พันคน ขณะที่สุมาอี้มีไพร่พลกว่า 15
หมื่นประชิดประตูเมือง ทั้งขงเบ้งและสุมาอี้เป็นสุดยอดจอมทัพของแต่ละฝ่ายที่เก่งกาจยากจะหาใครเทียบได้ในยุคนั้น
ต่างเชี่ยวชาญพิชัยสงครามอย่างหาตัวจับยาก
การศึกสงครามกับกลลวงเป็นของคู่กันมาแต่ครั้งโบราณ ถ้าเป็นภาษาปัจจุบันของนายพลแห่งกองทัพไทยก็คือ
ลับ-ลวง-พราง ยากที่ใครจะล่วงรู้ถึงความในส่วนลึกของมหาอำมาตย์เปรม ส่วนพลเอกเปรมเองก็มิได้เผยให้เห็นสิ่งใดที่มากไปกว่า
“มือที่มองไม่เห็น” บนแป้นเปียโนเท่านั้น
ปี 2552 ก่อนสงกรานต์
มีข่าวว่าพลเอกเปรมล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล ผ่านมาไม่กี่วัน คนเสื้อแดงโดนล้อมปราบอย่างนองเลือด
ยังจำพิษสงของคนป่วยกันได้หรือไม่? ปี 2553
ก่อนการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนกระทั่งคนเสื้อแดงถูกล้อมปราบ ช่วงเวลาหลายเดือนนั้นแทบไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวของพลเอกเปรม
แม้แต่ในการเจรจาระหว่างแกนนำเสื้อแดงกับฝ่ายรัฐบาลขณะนั้น
บทบาทพลเอกเปรมเงียบเชียบยิ่งกว่าปีก่อนหน้า แต่คนเสื้อแดงยิ่งบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ
เกิดอะไรขึ้น?
พลันได้ยินข่าวพลเอกเปรมจะเดี่ยวเปียโน
ท่ามกลางสถานการณ์ “แช่แข็งประเทศไทย” ทำให้รู้สึกขนลุกเกรียวหนาวไปถึงกระดูก
ใครๆก็รู้ว่า เสธ.อ้าย เป็นเพื่อนร่วมรุ่นพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ทายาททางการเมืองพลเอกเปรม ทั้งเสธ.อ้าย และพลเอกสุรยุทธ์ ต่างก็มีตำแหน่งใหญ่โตร่วมกันในสนามม้านางเลิ้ง
พลเอกสุรยุทธ์เป็นนายกสภาสนามม้า ขณะที่เสธ.อ้าย
เป็นหนึ่งในกรรมการอำนวยการ(โดยมีพลเอกวัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ เพื่อนสนิทร่วมเป็นกรรมการด้วย)
อีกทั้งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการแข่งม้า และที่ เสธ.อ้าย มีชีวิตถึงวันนี้ไม่ต้องตายตามพลเอกฉลาด
หิรัญศิริ เพราะพลเอกเปรมช่วยไว้ ใครๆก็รู้ว่าเสธ.อ้าย เป็นคนของใคร
ใครๆก็รู้ว่ามวลชนที่สนามม้านางเลิ้งเป็นกลุ่มเดียวกับที่ล้มรัฐบาลทักษิน-สมัคร-สมชาย
แม้แต่แหล่งเงินทุนก็มาจากแหล่งเดียวกัน ที่สำคัญคนที่ “ไฟเขียว”
ให้ล้มรัฐบาลก็คนเดียวกัน
เสธ.อ้าย
ทำให้ขบวนการล้มรัฐบาลกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากซบเซาไปร่วมสี่ปี อันที่จริงความคิดริเริ่มล้มรัฐบาลในตอนต้นอาจไม่ได้มาจาก
“วงในสุด” ของระบอบอำมาตย์เสียทีเดียวนัก ด้วยเหตุเงื่อนไขต่างๆยังไม่สุกงอม
แต่การที่พวกขวาจัดทั้งหลายดันเสธ.อ้าย มาแสดงบทผู้นำขับไล่รัฐบาลครั้งแรกที่สนามม้านางเลิ้งได้ผลเกินคาด
จนทำให้ “วงในสุด” ของระบอบอำมาตย์หันมาสนับสนุนเต็มที่และ “ไฟเขียว”
ผ่านตลอดในการช่วยระดมสรรพกำลังและเงินทุน
คุณูปการใหญ่หลวงของเสธ.อ้าย
จึงอยู่ที่การทำให้ขบวนการมวลชนฝ่ายอำมาตย์ฟื้นตัว และบรรดาแกนนำเสื้อเหลืองทั้งหลายที่เคยแตกคอกันสามารถกลับมาร่วมมือกันได้อีกครั้ง
การกลับมาร่วมหอลงโรงของคนเหล่านี้คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การล้มรัฐบาลในอนาคต
การชุมนุมใหญ่ขององค์การพิทักษ์สยามแม้จะล้มรัฐบาลไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่างานนี้ทำเอารัฐบาลเหนื่อยทีเดียว
ถือเป็นการรุกคืบครั้งใหญ่เพื่อรอวันเผด็จศึก วันนี้ เสธ.อ้าย
จะนำทัพมวลชนต่อไปหรือไม่ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะฝ่ายอำมาตย์ฟื้นตัวแล้วและมีคนพร้อมรับไม้ต่อจากเสธ.อ้าย
แล้ว ภารกิจของเสธ.อ้าย ถือว่าลุล่วงแล้ว เป็นภารกิจขั้นเตรียมการเพื่อเปิดศึกขั้นแตกหักอย่างแท้จริงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
จับตาดูให้ดี การชุมนุมใหญ่ที่สนามม้านางเลิ้งก็ดี การชุมนุมใหญ่ 24 พฤศจิกา
ที่ผ่านมาก็ดี เป็นแค่การ “โหมโรง” หรือ “ซ้อมใหญ่” เท่านั้น
ของจริงยังมาไม่ถึง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น