เรื่องราวของสถานการณ์การเมืองปลายรัชกาลในสยามเป็นเรื่องยากที่ชาวสยามจะได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้
ทั้งๆที่ควรจะได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อจะได้เกิดสติและปรับตัวให้เป็นไปตามกลไกแห่งสังคมที่กำลังจะปรับเปลี่ยน
เพื่อให้สังคมมีภาวะสันติด้วยเพราะองค์พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางจิตใจของชาวสยาม
เมื่อใกล้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรัชกาลก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเกิดภาวการณ์แปรปรวนทางสังคม
แต่ด้วยเพราะระบบกฎหมายและจารีตประเพณีที่ปิดกั้นประกอบกับหลักฐานการบันทึกที่มีลักษณะประวัติศาสตร์ก็หายาก
ดังนั้นหลักฐานบันทึกลับที่ท่านจะได้อ่านนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖ ที่ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนที่พระราชบิดา (ร.๕) ใกล้จะเสด็จสวรรคตโดยใช้พระนามแฝงว่า
ราม วชิราวุธ ที่ต้นฉบับเป็นตัวพิมพ์ดีดอยู่ในความครอบครองของพระมหาเทพกษัตรสมุห
หรือ ขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตรสมุห (นายเนื่อง สาคริก พ.ศ. ๒๔๔๑ – ๒๕๔๑ มีอายุรวม ๙๙ ปี ๑๑ เดือน
๑๙ วัน )
มีรูปและลายมือชื่ออยู่ด้านหลังปกแข็งที่หุ้มต้นฉบับไว้โดยเนื้อความทั้งหมดมีความยาว
300 กว่าหน้า โดยพระองค์ทรงพระนิพนธ์ถึงวัตถุประสงค์ไว้ตอนหนึ่งว่า “ ประวัติที่ฉันเขียนไว้ให้เจ้าพระยารามราฆพ
(หม่อมหลวง เฟื้อ พึ่งบุญ ณ กรุงเทพ) ผู้ที่ได้เคยเป็นผู้รับใช้สรอยและเป็นมิตรที่ไว้วางใจของฉันมาตั้งญี่สิบกว่าปีแล้ว” และบันทึกนี้เคยตีพิมพ์ออกเผยแพร่ในนามของสำนักพิมพ์มติชน เก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ ดังนั้นบันทึกนี้จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่บอกถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างที่จะเปลี่ยนผ่านรัชกาลในขณะนั้นและการเตรียมการ
(หม่อมหลวง เฟื้อ พึ่งบุญ ณ กรุงเทพ) ผู้ที่ได้เคยเป็นผู้รับใช้สรอยและเป็นมิตรที่ไว้วางใจของฉันมาตั้งญี่สิบกว่าปีแล้ว” และบันทึกนี้เคยตีพิมพ์ออกเผยแพร่ในนามของสำนักพิมพ์มติชน เก็บรักษาไว้ในหอสมุดแห่งชาติ ดังนั้นบันทึกนี้จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่บอกถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างที่จะเปลี่ยนผ่านรัชกาลในขณะนั้นและการเตรียมการ
กองบรรณาธิการ Red
Power เห็นว่าเป็นบันทึกที่มีประโยชน์แต่ด้วยความจำกัดของพื้นที่หน้ากระดาษจึงขอนำบางส่วนมาตีพิมพ์โดยมิได้ดัดแปลงข้อความใดๆ
แม้บางคำจะสะกดตัวอักษรแตกต่างจากที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ขอตีพิมพ์ไปตามนั้นเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจเหตุการณ์ในช่วงปลายรัชกาลที่
๕ ตามความเป็นจริง ดังต่อไปนี้
ปลายรัชกาลที่
๕
ฐานะของฉัน
ในสมัยปลายรัชกาลที่
๕ นั้นขอจงเข้าใจว่าฉันตั้งอยู่ในที่แปลกอยู่, คือ
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถท่านตั้งพระราชหฤทัยอยู่โดยแน่นอนว่าจะไว้วางพระราชหฤทัยไนตัวฉันโดยบริบูรณ,
อีกทั้งตั้งพระราชหฤทัยไว้มั่นคงว่าอย่างไรๆ ก็ต้องมิให้มีผู้ใดสงสัยได้เลยว่าฉันคือรัชทายาทผู้ที่จะสืบสันตติวงศ์สนองพระองค์ท่านต่อไป.
ด้วยพระราชประสงค์เช่นนี้ท่านจึ่งได้ทรงแสดงด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้ปรากฏแก่คนทั่วไป,
เช่นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ เสด็จพระราชดำเนินประพาศยุโรปครั้งที่ ๒
ก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ฉันเป็นผู้สำเร็จราชการต่างพระองค์.
และในเวลาปรกติก็ได้เปนผู้แทนพระองค์ในงานพระราชพิธีต่างๆ โดยมาก, อีกทั้งทรงมอบให้เปนผู้ดูแลกำกับราชการต่างๆอยู่เสมอๆ.
เมื่อใดฉันไปเที่ยวหัวเมืองก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ มอบอำนาจให้ไปตรวจราชการ, และรายงานกราบบังคมทูลอย่างไรก็มักจะมีพระราชานุมัติ,
ดังนี้ทั้งเจ้านายและข้าราชการโดยมากจึ่งอ่อนน้อมต่อฉันโดยทั่วไป,
แต่ยังมีผู้ใหญ่อยู่บางคนที่กระด้างกระเดื่องและตั้งใจทำความพยายามที่จะให้ฉันต้องถูกกริ้ว,
หรือให้คลายความทรงไว้วางพระราชหฤทัย, โดยแกล้งหาความต่างๆ เพื่อนำความเสียหายมาสู่ฉัน,
อีกทั้งพยายามเพาะความแตกร้าวระหว่างฉันกับพี่น้องด้วยอุบายต่างๆ ซึ่งจะนำมาแสดงในที่นี้ก็ฟั่นเผือเหลือปัญญา.
การที่มุ่งร้ายหมายทำการเพราะความแตกร้าวเช่นนั้น
ก็เพราะผู้ที่ควรจะเล็งเห็นว่าประโยชน์ของตนคือประโยชน์ของฉันนั้น หาได้เล็งเห็นเช่นที่ควรนั้นไม่.
ความตั้งใจของญาติสนิทของฉันดูมีอยู่โดยมากแต่เพียงว่า ถ้าฉันได้เปนพระเจ้าแผ่นดินแล้วตัวเขาก็จะได้ใช้ฉันเปนเครื่องมือสำหรับดำเนิรกิจการของเขาได้โดยสดวก,
ฉนั้นความมุ่งหมายจึ่งมีอยู่เพียงแต่ว่าจะต้องดัดแปลง “เครื่องมือ”
นั้นไว้ล่วงหน้า, หานึกได้ว่าฉันเปนมนุษไม่ใช่เครื่องมืออันทำด้วยโลหะหรือไม้ไล่อะไร
เมื่อแนะนำหรือสอนให้ฉันคิดฉันเตรียมการใดๆ แล้วฉันไม่ยอมตามก็โกรธ
และนินทาฉันให้ผู้น้อยฟัง. ดังนี้ในปลายรัชกาลที่ ๕ จึ่งเปนอันกล่าวได้ว่า คนอื่นๆ
(คือผู้ที่ไม่ใช่ญาติสนิทหรือเสวกสนิทของฉัน)
นับถือฉันว่าเปนคนสุจริตและกอบด้วยุติธรรม, แต่คนที่เรียกว่า “ พวกเรา” เห็นฉันเปนผู้ที่บกพร่องในคุณสมบัติ,
เช่นว่า “อ่อนไป” บ้าง, “ดื้อไป” บ้าง, “โง่ไป” บ้าง, “เชื่อคนยุยง” บ้าง,
รวมความว่าไม่ได้อย่างใจเขานั้นแหละเปนที่ตั้ง. ฝ่ายฉันผู้ถูกคน “รัก”และอยากเอาเปนเจ้าของพยายามเหนี่ยวเอาไปทางโน้นที
ทางนี้ที, จนฉันเกือบต้องร้องว่า “ช่วยฉันให้พ้นจากมิตร์ของฉันทีเถิด?”
ฉันเล่าข้อความเหล่านี้พอให้เธอเข้าใจได้ว่า
เหตุใดในต้นรัชกาลของฉันจึ่งได้ยุ่งเหยิงนัก. บัดนี้
จะขอเล่าถึงการประชวรและสวรรคตของพระเจ้าหลวงต่อไป.
ทูลกระหม่อมเริ่มประชวร
ถ้าดูกันเผินก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าหลวงประชวรอยู่ได้เพียง
๔ วันเท่านั้นก็เสด็จสวรรคต, แท้จริงหาเปนเช่นนั้นไม่, เพราะเมื่อก่อนเสด็จพระราชดำเนิรประพาศยุโรปนั้นได้เริ่มทรงพระประชวรแล้ว,
แต่ปิดกันนักจึ่งมิได้มีใครได้รู้, ในการเสด็จไปยุโรปก็ว่าจะไปให้หมอตรวจพระอาการ,
และได้ตรวจจริง, ทั้งได้พยายามรักษาด้วย.
แต่ในรายงานที่โปรดเกล้าฯให้ลงพิมพ์ไนราชกิจจานุเบกษานั้น หาได้ลงตลอดตามที่หมอตรวจและออกความเห็นไม่,
มีแต่ว่ามีพระอาการประชวรเล็กน้อยที่ในช่องพระนาสิกและพระศอ,
กับว่าพระเส้นประสาทไม่ค่อยจะแขงแรงเพราะทรงทำงานกลางคืนและทรงพระโอสถสูบมากเกินไป,
ส่วนความเห็นของหมอที่ว่ามีพระอาการพระวักกะพิการเรื้อรัง, ซึ่งแท้จริงเป็นพระอาการสำคัญอันต้องวิตกนั้น,
หาได้ลงพิมพ์ไห้ผู้ใดทราบไม่. แต่ผู้ที่รู้ก็ย่อมจะได้นึกระแวงอยู่,
เพราะตามข่าวคราวที่ได้มาจากประเทศยุโรปถึงการรักษาพระองค์นั้น
ย่อมจะเห็นได้อยู่ว่าเปนการใหญ่กว่าที่จำเป็นเพื่อเยียวยาหรือบำบัดพระอาการเล็กน้อยเท่าที่ได้โฆษณาไว้,
ตั้งแต่เมื่อเสด็จพระราชดำเนิรกลับจากยุโรปมาแล้วก็สังเกตเห็นได้ว่า
ทูลกระหม่อมมีพระอาการประชวรอย่างน่าวิตก, พูดกันอย่างศัพท์สามัญว่า
เห็นชัดว่าทรงทุพพลภาพทีเดียว พระองค์ท่านเองก็ทรงทราบดีอยู่เช่นนั้น
จึ่งได้ทรงพยายามบริหารพระองค์มากทีเดียว, มีเสด็จประพาศบ่อยๆ. และออกไปประทับอยู่ที่เพชรบุรี
(ตามคำแนะนำของพวกเจ้าจอม “ ก๊ก อ” ), และถึงเมื่อเสด็จอยู่ในกรุงก็ไม่ใคร่จะเสด็จออกในการงานพิธีต่างๆ,
มักโปรดเกล้าฯ ให้ฉันไปแทนพระองค์เสียเป็นพื้น.
แต่ก็นับว่ายังประทะประทังอยู่ได้จนทรงประสพโศกอันใหญ่, คือองค์อุรุพงศ์เจ็บและตายลง
ณ วันที่ ๒๐ กันยายน, พ.ศ. ๒๔๕๒. องค์อุรุพงศ์นั้นทูลกระหม่อมท่านโปรดของท่านมาก,
เพราะเปนพระราชโอรสองค์เล็กและขี้โรค,
จึ่งได้ทรงโฆษณาว่าจะเอาไว้ใช้เปนไม้ธารพระกร, คือเปนอุปถากส่วนพระองค์,
ไม่ให้รับราชการแผ่นดินเช่นลูกเธอองค์อื่นๆ องค์อุรุพงศ์เจ็บครั้งที่สุดนั้นหลายวัน,
ทูลกระหม่อมทรงเปนห่วงและเสด็จลงไปพยาบาลอยู่เองโดยมากที่ตำหนักราชฤทธิ์รุ่งโรจน์,
ต้องอดพระบรรทมและทรงเหน็จเหนื่อยมากอยู่. ครั้นเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน, พ.ศ. ๒๔๕๒,
มีสวดเสดาะ เนื่องในงานเฉลิมพระชนมพรรษา, ทูลกระหม่อมได้เสด็จเข้าไปตามธรรมเนียม.
พอเริ่มสวดมนต์และโหรบูชานพเคราะห์
ทูลกระหม่อมก็เสด็จลุกขึ้นจากพระบัลลังก์ในพระที่นั่งไพศาล
เพื่อเสด็จเข้าไปเสวยที่ชานพักตามเคย. พอเสด็จลับไปก็ได้ยินเสียงตุบ,
และเสียงผู้หญิงร้อง ฉันรีบวิ่งเข้าไปที่ชานพัก,
เห็นทูลกระหม่อมประทับอยู่กับพื้น,ท่านรับสั่งให้ฉันช่วยพยุงพระองค์ท่านขึ้นและพาไปประทับเหยียดบนเก้าอี้,
แล้วจึ่งรับสั่งเล่าว่า ในเวลาที่ทรงก้าวลงจากพื้นพระที่นั่งไพศาลไปสู่ชานพักนั้น
ได้ทรงเอาธารพระกรยัน, ปลายธารพระกรลื่นไปกับพื้นศิลาพระบาทก็เลยลื่นตามไป,
จึ่งได้ทรงกระแทกลง, และในที่สุดตรัสว่า “แล้วก็นางพวกเหล่านี้ก็นั่งเฉยกันหมด,
ไม่มีใครมีแก่ใจมาช่วยพ่อจนคนเดียว.” ฉันกราบทูลว่า
ได้เคยนึกวิตกอยู่นานแล้วเมื่อเห็นทรงธารพระกรเล็กๆ ทรงยันอย่างเต็มน้ำหนักพระองค์.
เห็นว่าควรทรงเกาะคนดีกว่า. รับสั่งว่าถูกแล้ว,
แต่เวลานี้ผู้ที่ได้ตั้งพระราชหฤทัยเอาไว้ใช้เปนไม้ธารพระกรก็มาทำน่าที่ไม่ได้เสียแล้ว,
ฉันเห็นท่าทางว่าท่านทรงเป็นห่วงองค์อุรุพงศ์อยู่มาก,
ฉันก็หมอบนิ่งอยู่จนรับสั่งให้ฉันออกไปนั่งตามที่ก่อน, ฉันจึ่งออกไป.
ตั้งแต่วันนั้นต่อมา
เห็นได้ว่าทรงกะปลกกะเปลี้ยมากขึ้นเปนลำดับ, ซึ่งเปนธรรมดาอยู่, เพราะการล้มกระแทกเปนของแสลงนักสำหรับโรคไตพิการ.
ในตอนหลังนี้ออกจะไม่มีใครเข้าใจผิดแล้วว่าทูลกระหม่อมมีพระอาการอันบอกเหตุว่าย่างเข้าขั้นที่สุดแห่งพระชนมพรรษา,
เปนแต่ยังหวังอยู่ว่า การบริหารพระองค์ได้ทรงกระทำดีอยู่เสมอ
อาจที่จะทำให้พระชนมายุยืนไปได้อีกหลายปี.
เสด็จไปประทับที่เพ็ชรบุรี
ในปี
พ.ศ. ๒๔๕๒ นั้นทูลกระหม่อมได้เสด็จไปประทับอยู่ที่เพ็ชรบุรีโดยมาก,
และได้เริ่มสร้างพระที่นั่ง (ซึ่งภายหลังต่อมาฉันได้ตั้งนามว่า “ศรเพ็ชร์ปราสาทฯ”). ตามข่าวคราวที่ได้ทราบมา,
ท่านตั้งพระราชหฤทัยไว้ว่า เมื่อพระที่นั่งนี้แล้วเสร็จจะเสด็จออกไปประทับอยู่ที่เพ็ชรบุรีเอาเป็นพระราชสำนักประจำทีเดียว,
และจะเสด็จเข้ามากรุงแต่เปนครั้งคราวเท่านั้น, ส่วนราชการแผ่นดินทรงพระราชดำริห์ไว้ว่าจะมอบพระราชทานให้ฉันเปนผู้ประศาสน์สนองพระเดชพระคุณ.
อนึ่งเมื่อได้กล่าวถึงการที่ทูลกระหม่อมมีพระราชปรารภจะเสด็จไปประทับอยู่
ณ เพ็ชรบุรีนั้น,
ฉันก็จำจะต้องกล่าวถึงความทรงประพฤติแห่งเสด็จแม่ของฉันในเรื่องนี้ด้วย.
ฉันมีความเสียใจที่ต้องกล่าวว่า ความทรงประพฤติของเสด็จแม่ก็เปนเหตุทำให้ฉันเสียใจเป็นอันมาก.
ที่จริงทูลกระหม่อมท่านทรงพระเมตตาและทรงเกรงพระหฤทัยเสด็จแม่อยู่มากตลอดกาล,
ฉนั้นเมื่อทรงพระราชปรารภที่จะเสด็จไปประทับอยู่ที่เพ็ชรบุรี
จึ่งได้ทรงคำนึงถึงเสด็จแม่และมีพระราชดำรัสชวนให้เสด็จออกไปเพ็ชรบุรีด้วย.
เสด็จแม่ได้ยอมตามเสด็จออกไปแต่ครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น,
ในครั้งหลังมิได้ตามเสด็จไปด้วยอีกเลย, โดยตรัสทูลอ้างเหตุแก่ทูลกระหม่อมว่า
พระองค์ท่าน (เสด็จแม่) ไม่ใคร่จะทรงสบายพระหฤทัยเมื่อเสด็จไปเพ็ชรบุรี
เพราะพี่หญิงพาหุรัดได้ไปประชวรที่เพ็ชรบุรีแล้วกลับมาสิ้นพระชนม์. แต่เมื่อคำนึงดูว่า
การที่พี่หญิงได้ไปประชวรและสิ้นพระชนม์นั้น ได้ล่วงเลยมาแล้วตั้ง ๒๐ ปี ,
เหตุที่ทรงยกขึ้นอ้างจึ่งไม่สู้จะเปนผลทำให้ทูลกระหม่อมทรงเชื่อเท่าใดนัก.
เสด็จแม่ได้รับสั่งกับฉันเองว่า แท้จริงเหตุที่ไม่อยากเสด็จเพ็ชรบุรีนั้น
เพราะทรงขวาง “ก๊ก อ”, ซึ่งฉันเองก็เห็นพระหฤทัยอยู่บ้าง, แต่ฉันได้ทูลตรงๆ
ว่าการที่ไม่เสด็จอาจเปนเครื่องทำให้ทูลกระหม่อมไม่พอพระราชหฤทัย. และอาจเปนช่องให้ผู้เป็นอมิตร์ฉวยโอกาสกราบบังคมทูลอะไรต่อมิอะไรได้.
เสด็จแม่ตรัสตอบว่าอย่างไรๆ เขาก็หาเรื่องทูลอยู่เสมอแล้ว,
จะเสด็จไปหรือมิเสด็จก็คงเท่ากัน. ครั้นฉันยังทูลยืนยันอยู่ว่าเสด็จดีกว่า,
ท่านกลับกริ้วเอาว่าฉันเปนผู้ชาย, นึกอย่างผู้ชายที่ไม่รู้จักน้ำใจผู้หญิง, จึ่งเข้ากับพระบิดา,
“จะให้แม่ไปประจบเมียน้อยของพระบิตุรงค์นั้น เหลือกำลังละ” ฉันก็จำใจต้องนิ่ง. ต่อมาทูลกระหม่อมรับสั่งว่าจะปลูกพระตำหนักพระราชทานเสด็จแม่หลัง
๑ ที่เพ็ชรบุรี แต่ในระหว่างเวลาที่พระตำหนักยังไม่แล้ว ทรงชวนให้ขึ้นไปประทับอยู่ด้วยกันบนพระที่นั่งก่อน,
เสด็จแม่ทูลตอบว่า เมื่อพระตำหนักแล้วจึ่งจะเสด็จออกไป,
ส่วนการที่จะให้เสด็จขึ้นไปประทับพระที่นั่งนั่นทรงพระวิตกอยู่ว่าจะเปนที่รบกวนพระราชหฤทัย,
เพราะพระองค์เองก็มีพระโรคาพาธเบียดเบียฬอยู่, จำเปนจะต้องมีหมอขึ้นเฝ้าอยู่เนืองๆ
ได้ทราบว่าทูลกระหม่อมออกจะไม่พอพระราชหฤทัยมากในการที่ได้ทรงรับตอบเช่นนี้,
และทรงบ่นว่า
เสด็จแม่ไม่อยากเสด็จขึ้นไปอยู่บนพระที่นั่งเพราะเกรงจะไม่สดวกในเรื่องฉีดยา
(ซึ่งในเวลานั้นออกจะเริ่มเปนความจริงขึ้นแล้ว).
ต่อมาภายหลังฉันได้ข่าวว่าทูลกระหม่อมทรงบ่นมาก, และมีพระราชดำรัสครั้ง ๑ ว่า “แม่เล็กเขาเบื่อผัวเสียแล้ว, อยากอยู่ในกรุงเทพฯ
เพื่อชมบุญลูกของเขามากกว่า”. นี่เทียวเป็นข้อที่ฉันได้นึกวิตกอยู่ก่อนแล้ว,
ฉนั้นพอได้ข่าวฉันก็ได้รีบเข้าไปกราบทูลเสด็จแม่ให้ทรงทราบ ในขั้นต้นออกจะทรงดาลโทษะและตรัสว่า.
“เมื่อตรัสว่าฉันเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องเป็นความจริงสิ,
เพราะพระราชาต้องมีพระวาจาสิทธิ์” แต่ฉันทูลแก้ไขอยู่นาน
จนในที่สุดทรงยอมเห็นตามฉัน, และทรงรับว่า
ถ้าทูลกระหม่อมมีพระราชดำรัสชวนอีกก็จะตามเสด็จไป, “แต่จะให้ฉันกระเสือกกระสนไปทูลขอตามเสด็จนั้น
ฉันทำไม่ได้” ครั้นเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๔๕๓ นั้น,
เสด็จแม่จึ่งเปนอันว่าได้ตามเสด็จไปเพ็ชรบุรีอีกเที่ยว ๑
ตั้งแต่เสด็จกลับจากเพ็ชรบุรีในต้นเดือนกันยายน
พ.ศ. ๒๔๕๓ นั้น ต่อมาสังเกตว่าทูลกระหม่อมไม่ใคร่จะทรงสบาย,
จะว่าประชวรอะไรก็ไม่ได้, เพราะยังได้ทราบอยู่ว่าเสด็จประพาศที่พญาไทเสมอๆ
(และบางวันฉันก็ได้ไปเฝ้าที่นั้นด้วย) กับกลางคืนมีลครนฤมิตร์ (ของกรมนราธิป)
เข้าไปมีถวายบ้าง ลงมือเล่นราวเที่ยงคืน เลิกเช้าตั้ง ๘ นาฬิกาก็มี
ทูลกระหม่อมทรงทุพพลภาพมากขึ้น
ในระหว่างเวลาเดือนครึ่งก่อนเสด็จสวรรคตนั้นได้แลเห็นปรากฏชัดยิ่งขึ้นว่า
ทรงทุพพลภาพจริงๆ จนใครๆ ก็ได้สังเกตเห็นเช่นนั้น. ในงานเฉลิมพระชนมพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๕๓
นั้น ได้มีการเปลี่ยนผิดกับระเบียบการที่เคยมีมาแต่ก่อนหลายประการ ในค่ำวันที่ ๑๙
กันยายน ซึ่งเปนวันสวดนวคหายุสมะธรรมและโหรบูชาเทวดานวเคราะห์, แต่ก่อนๆ ได้เคยสวดในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ,
แต่ในปีนี้ได้มีงานในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เพื่อมิให้ต้องเสด็จขึ้นบรรไดชันๆ
วันที่ ๒๐ กันยายน เช้าไม่ได้เสด็จเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง,
โปรดให้ฉันไปเลี้ยงพระแทน,
ต่อค่ำจึ่งได้เสด็จออกในการสวดมนตร์ฉลองพระประจำพระชนมพรรษา. วันที่ ๒๑ เช้า
โปรดเกล้าฯ ให้ฉันเข้าไปเลี้ยงพระ เวลาบ่าย ๔
นาฬิกาเสด็จออกท้องพระโรงพระที่นั่งจักรี
ตามที่เคยมาการออกท้องพระโรงเคยกำหนดเวลาเที่ยงตรง,
ก่อนถึงเวลากรมวังจัดเจ้านายและข้าราชการเข้ายืนประจำที่,
และพอยิงปืนเที่ยงพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จออกทางพระทวารขวาพระแท่นเศวตฉัตร,
เสด็จขึ้นประทับบนพระที่นั่งพุตาน,
แล้วจึ่งมีการถวายพระพรชัยมงคลและมีพระราชดำรัสตอบ,
แล้วเสด็จขึ้นประทับท้องพระโรงใน, ให้ฝ่ายในถวายพระพรชัยมงคล แล้วบ่าย ๑
นาฬิกาเสด็จออกรับคณทูตที่ท้องพระโรงมุขตวันออก, ในปี พ.ศ. ๒๔๕๓
เปลี่ยนเปนเสด็จออกในท้องพระโรงกลางแห่งเดียว, คือบ่าย ๔
นาฬิกาเสด็จขึ้นประทับอยู่บนพระที่นั่งพุตานแล้วประโคมและเปิดพระทวารด้านหน้า,
ตำรวจ, กรมวัง, และข้าราชการในพระราชสำนักเข้ายืนประจำที่,
แล้วจึ่งได้เบิกพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการทั่วไปเข้าเฝ้า
เมื่อเจ้านายและข้าราชการถวายพระพรชัยมงคลและมีพระราชดำรัสตอบแล้ว,
พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายหน้าออกจากท้องพระโรง,
และปิดพระทวารต่อนั้นพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการฝ่ายในเข้าเฝ้า. เวลาบ่าย ๕
นาฬิกา เบิกคณทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรงกลางด้วยเหมือนกัน. ค่ำวันที่ ๒๑
นั้นได้เสด็จออกในการเจริญพระพุทธมนตร์เฉลิมพระชนมพรรษา, แต่ทรงเครื่องปรกติ,
หาได้ทรงเต็มยศไม่. วันที่ ๒๒ กันยายน
เช้าฉันได้เปนผู้เข้าไปเลี้ยงพระที่สวดมนตร์ในคืนวันก่อน, ในเวลาเลี้ยงพระแล้ว
ตามระเบียบก็ควรมีสรงมุรธาภิเษกที่ลานข้างด้านตวันออกแห่งพระที่นั่งอมรินทร์, แต่ในคราวนี้ย้ายไปสรงที่สวนดุสิตเงียบๆ.
เวลาค่ำได้จัดให้มีเทศนา ๔ กัณฑ์ตามแบบ
แต่โปรดเกล้าฯให้ย้ายไปมีที่พระที่นั่งอภิเษกดุสิต,
และครั้นถึงกำหนดเวลาก็หาได้เสด็จออกทรงธรรมไม่, โปรดเกล้าฯ ให้ฉันเปนผู้แทนพระองค์
วันที่ ๒๓ กันยายน เวลาค่ำได้เสด็จออกที่พระที่นั่งอภิเษกดุสิต, ทรงฟังเทศนามงคลวิเศษของพระเจ้าน้องยาเธอ
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส (คือพระองค์ซึ่งภายหลังได้ทรงเปนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณเจ้า)
วันที่
๓๐ กันยายน มีการสวนมนตร์ ถือน้ำสารท, ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ฉันเปนผู้ไปแทนพระองค์.
ในวันที่ ๑ ตุลาคม ซึ่งเปนวันถือน้ำ, ในปีนี้ก็ได้กำหนดการใหม่คือเวลาบ่าย ๒
นาฬิกาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ฉันไปจุดเทียนนมัสการในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
และให้นั่งกำกับการถือน้ำที่นั้น.
นอกจากฉันมีเสนาบดีและผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการกับผู้บัญชาการทหารเรือไปอยู่ที่พระอุโบสถด้วย.
พราหมณ์อ่านโองการแช่งน้ำ และอาลักษณ์อ่านประกาศตามเคยแล้ว,
ข้าราชการขึ้นถือน้ำในพระอุโบสถตามเคย,
แล้วเข้าไปถวายบังคมพระบรมอัษฐิที่ชลาหน้าพระที่นั่งสนามจันทร์เวลาบ่าย ๔ นาฬิกา
พระเจ้าหลวงจึ่งเสด็จออกท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท,
เบิกพระบรมวงศานุวงศ์เข้าถือน้ำต่อหน้าพระที่นั่ง,
แล้วข้าราชการเดิรผ่านเฝ้าเรียงตัวจนหมดแล้ว, เจ้านายฝ่ายหน้าออกจากท้องพระโรง,
ปิดพระทวาร, แล้วมีการถือน้ำฝ่ายในต่อไป.
(ในที่นี้ควรอธิบายไว้ว่า
แต่ก่อนนี้เคยมีการถือน้ำปีละ ๒ ครั้ง, คือในต้นปี เรียกว่า “ถือน้ำตรุษ”, กำหนดวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ ครั้ง ๑ ,
ในกลางปี เรียกว่า “ถือน้ำสารท”,
กำหนดวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๐ อีกครั้ง ๑ , ครั้งที่ ๑ มักติดต่อกับพิธีตรุษ.
และครั้งที่ ๒ ติดต่อกับพิธีสารท.)
ในงานพิธีสารท
ณ วันที่ ๒,ที่ ๓ และที่ ๔ ตุลาคมนั้นโปรดเกล้าฯให้ฉันเปนผู้ไปแทนพระองค์ทั้ง ๓
วัน.
วันที่ ๑๗ และที่ ๑๘ ตุลาคม มีงานทำบุญพระบรมอัษฐิพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่
๔ ที่พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยตามธรรมเนียม, คือมีสวดมนตร์ ๓๐ รูป แล้วเทศนา ๑
กัณฑ์เหมือนกันทั้ง ๒ วัน, และพระเจ้าหลวงไม่ได้เสด็จทั้ง ๒ วัน
ได้ทราบข่าวว่าประชวรพระอุทรไม่ปรกติ, แต่ก็ว่าไม่ใช่มีพระอาการมากมาย,
เปนแต่เพราะมีฝนตกอยู่จึ่งทรงระวังพระองค์ไว้.
(ฉบับหน้าอ่านต่อในหัวข้อสำคัญ
ทูลกระหม่อมทรงพระประชวรครั้งสุดท้ายและเสด็จสวรรคต)
................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น