ในประเทศไทยฝ่ายต่อต้านกำลังขู่ฮึ่มๆจะเอาผิดกับน้องสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรี ตลอดจนรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้องที่ปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โผล่หน้าออกจอตู้ช่อง 11 ในการไปเป็นประธานเปิดการแข่งขัน Muay Thai Warriors เทิดพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา ที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า ประเทศจีน
ฝ่ายต่อต้านแค่เห็นหน้าโผล่จอตู้ก็รับไม่ได้จะเป็นจะตาย ต้องมีคนรับผิดชอบ
ในขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายต่อต้านเรียกว่านักโทษชายหนีคดี ยังเดินหน้าทำเพื่อประโยชน์โดยรวมของบ้านเมืองต่อไป
วันที่ 11 ธ.ค. ที่ผ่านมา ถูกเชิญไปบรรยายพิเศษหัวข้อภาพรวมเศรษฐกิจอาเซียและโลก ที่เกาะฮ่องกงตามคำเชิญของ ASIA SOCIETY HONG KONG CENTER งานนี้ไม่ได้นั่งฟังกันฟรีๆ ใครเข้าฟังต้องซื้อบัตร
พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มต้นบรรยายด้วยการพูดถึงประเทศไทยว่า ภาพรวมของประเทศไทยในปีหน้าจะมีแต่สิ่งดีๆ ในด้านการเมืองปีหน้าประเทศไทยจะเริ่มเห็นการปรองดองชัดเจนขึ้น และนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยฟังเสียงประชามติของประชาชนเป็นสำคัญ
ก่อนหน้านี้มันมีความไม่ยุติธรรมในประเทศไทย ทางออกที่ดีคือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ซึ่งการปรองดองนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการนิรโทษกรรมเพื่อตนเองจะได้กลับบ้าน มันเป็นคนละส่วนกัน
“ถ้าถามว่าอยากกลับประเทศไทยไหม ผมมีเครื่องบินส่วนตัว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบินไปมาขึ้นลงมากกว่า 240 ครั้ง จึงไม่จำเป็นต้องกลับเมืองไทย และคุ้นเคยกับการอยู่ต่างประเทศแล้ว ฝ่ายค้านในประเทศไทยนั้นเกรงกลัวผมมาก เพียงแค่ปรากฏตัวทางฟรีทีวี.ก็ทำเหมือนจะเป็นจะตาย ดังนั้น จึงมั่นใจว่าปีหน้าเป็นต้นไปการเมืองไทยจะมั่นคง และจะเห็นภาพบวกมากยิ่งขึ้น”
ส่งสัญญาณชัดๆว่าเริ่มคุ้นชินกับชีวิตในต่างประเทศจนไม่อยากกลับเมืองไทย
นอกจากพูดเรื่องทิศทางการเมืองในไทยแล้ว ยังได้ชักชวนนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศไทย เพราะไทยมีโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก เศรษฐกิจกำลังขยายตัวจากการบริโภคในประเทศและการท่องเที่ยว
อดีตนายกฯทักษิณปรับโหมดเล่นบทประคองน้องสาว ลดอุณหภูมิการเมืองในไทย
วันเดียวกัน อดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว BBC News (British Broadcasting Corporation) กรณีถูกเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าโดยเจตนาจากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง
อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ยังยืนยันหนักแน่นว่าต้องมีคนรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่าต้องไม่ใช่เขาที่ใช้อำนาจเพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง ข้อกล่าวหาที่ถูกตั้งไม่มีความน่าเชื่อถือ
คำถามเด็ดของพิธีกรที่สัมภาษณ์คือ คำถามที่ว่า คุณ (อภิสิทธิ์) ไม่รู้สึกว่าจะต้องมีความรับผิดชอบ?
คำตอบที่ได้จากอดีตนายกฯผู้นี้คือ “การฟ้องร้องคดีแรกที่เกิดขึ้นกับผม เป็นกรณีของผู้ที่ไม่ได้อยู่ในการชุมนุมประท้วงด้วยซ้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ มีรถตู้พยายามแล่นฝ่าเครื่องกีดขวางที่ตั้งขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ทหาร แล้วก็มีการยิงกันขึ้น ผู้เสียชีวิตรายนี้วิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น และโชคร้ายที่เขาถูกยิง”
อีกคำถามที่ถือว่าแทงใจมากที่สุดคือ คำถามที่ว่า คุณ (อภิสิทธิ์) เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบ้างไหม?
คำตอบที่ได้คือ “แล้วคุณจะต่อสู้กับคนที่เขาใช้อาวุธได้อย่างไรล่ะ”
อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ยังพยายามอธิบายว่า ช่วงที่ผ่านมาได้เข้าประชุมหลายแห่งทั่วโลก รวมทั้งการประชุมจี 20 ที่มีการประท้วงและมีคนเสียชีวิตจากการพยายามปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ พวกเขาก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน การเสียชีวิตที่เกิดขึ้นต้องมีคำอธิบายที่เหมาะสมตามกฎหมาย แต่ไม่เห็นมีที่ไหนที่นายกรัฐมนตรีจะต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรเลยสำหรับปฏิบัติการที่เกิดขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรี 2 คนที่อยู่กันคนละขั้ว กำลังเผชิญชะตากรรมที่แตกต่างกัน
คนหนึ่งได้รับการยอมรับจากต่างชาติเพราะถูกโค่นอำนาจด้วยการรัฐประหาร แม้จะมีคดีความติดตัวแต่ก็เกิดจากผลพวงของการรัฐประหาร จึงยังมีอิสรเสรีที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้
แต่อดีตนายกรัฐมนตรีอีกคนหนึ่ง ความอิสระกำลังค่อยๆหดหายลงไปทีละน้อย แว่วข่าวมาว่าต่อไปจะเดินทางไปไหนต้องขออนุญาตก่อนจึงไปได้ เพราะกำลังจะถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ชีวิตเดินสวนทางต่างกันสุดขั้ว อดีตนายกฯทักษิณบินไปไหนก็ได้ในโลก ยกเว้นประเทศไทย แต่อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ต้องอยู่แต่ในประเทศไทยไปไหนมาไหนได้ไม่อิสระเหมือนเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น