ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 379 วันที่ 29 กันยายน-5 ตุลาคม พ.ศ. 2555 หน้า 11 คอลัมน์ กรีดกระบี่บนสายธาร โดย เรืองยศ จันทรคีรี
การเมืองไทยเริ่มเข้าสู่โหมดความขัดแย้งที่วกวนและซับซ้อนมากขึ้น
ข้อกล่าวหาและวาทกรรมเก่าๆบางอย่างจึงออกจะล้าสมัย
หากนำมาใช้ฟาดฟันแบบอดีตอาจไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป
เราจึงสังเกตได้ว่าเริ่มมีกลยุทธ์และอุบายใหม่ๆเกิดขึ้นให้เห็น
กรณีรายงานของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ
(คอป.) ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์อันลึกซึ้งทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ คอป. เสนอแนะให้เสียสละและสละสิทธิทางการเมือง
โดยเห็นว่าเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่การปรองดองได้
ก่อนหน้านี้ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งถือเป็นมันสมองสำคัญคนหนึ่งของพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม
เพราะมีความจัดเจนทางการเมืองมากมาย หรืออาจเหนือกว่านายชวน หลีกภัย ด้วยซ้ำไป
เคยผ่านการต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เป็นหนึ่งในผู้นำนักศึกษาสมัย
14 ตุลาคม 2516 ความเห็นและข้อเสนอต่างๆของนายชำนิจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก
เพราะถือเป็นแง่มุมที่แหลมคม
สามารถมองไปสู่ยุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นอย่างดี
นายชำนิมองรายงานของ คอป. ที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคู่ขัดแย้งกับรัฐไทยโดยตรง
ไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เพราะผู้นำทางการเมืองของประเทศเปลี่ยนแปลงไปแล้วหลายคน
แต่ความไม่สงบก็ยังปกคลุมอยู่ในสังคมไทย
ข้อสรุปนี้ไม่แตกต่างกับความเข้าใจดั้งเดิมที่พรรคประชาธิปัตย์ตั้งธงมาโดยตลอด
คือให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นปัญหาของประเทศ
การสร้างวาทกรรม “ทักษิณเป็นศัตรูหลักของรัฐไทย”
ในด้านหนึ่งมีความหมายว่าพรรคประชาธิปัตย์ถูกพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ชินวัตร จับมาเป็นตัวประกันนั่นเอง คือทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
และนายอภิสิทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ต้องมารับกรรมแทนในนามของรัฐไทย
เท่ากับว่าพรรคประชาธิปัตย์คือผู้เสียสละ เอาอกต้านศัตรูของแผ่นดิน
วาทกรรม “ทักษิณเป็นศัตรูหลักของรัฐไทย” จึงเป็นการทำลายล้างทางการเมือง
โดยทำให้ประชาชนเห็นว่าทุกคนในประเทศนี้มีศัตรูอยู่คนเดียวเท่านั้นคือ
พ.ต.ท.ทักษิณ
สรุปแล้วพรรคประชาธิปัตย์และอำนาจแฝงไม่มีวันจะข้ามพ้น พ.ต.ท.ทักษิณไปได้
ยังต้องตามล้างตามล่า “เงาทักษิณ” ต่อไป เพราะถือว่า
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศัตรูของแผ่นดินที่ให้อภัยไม่ได้
ยุทธศาสตร์เช่นนี้ก็ไม่ต่างกับการเดินกระทืบเงาของตัวเอง ซึ่งมีแต่เหนื่อยเปล่า
ลงท้ายแล้วก็กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ย้อนศรทำลายตัวเองอย่างเลี่ยงไม่พ้น
เพราะสมาชิกในรัฐไทยส่วนใหญ่รับทราบแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
และรู้ว่าใครคือศัตรูหลักของรัฐไทยตัวจริง
ซึ่งคำตอบคือระบอบอำนาจนิยมและอำนาจแฝงที่อยู่เบื้องหลังพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง
พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ใช่ผู้กล้าหาญที่เอาอกแบะรับศัตรูหลักของรัฐไทยแต่อย่างใด
แต่เป็นพวกที่หันก้นเข้าหาอำนาจแฝงของรัฐไทยมากกว่า!
เมื่อปัญหาของประเทศไทยในอดีตใส่หมวกให้
พ.ต.ท.ทักษิณว่ามีความคิดที่จะล้มล้างสถาบันและเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ
มีเพียงข้อหานี้เท่านั้นก็ร้ายแรงแล้ว
แต่การเปิดประเด็นของนายชำนิผ่านรายการตอบโจทย์ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสถือเป็นการสร้างข้อหาใหม่ให้
พ.ต.ท.ทักษิณที่ร้ายแรงกว่าเดิม เพราะวาทกรรมคู่ขัดแย้งหลักของรัฐไทยอธิบายได้ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศัตรูกับทุกๆอย่างในประเทศนี้ ตั้งแต่พื้นดินไปจนถึงฟากฟ้า
วาทกรรมของนายชำนิจึงร้ายกาจกว่าวาทกรรมที่ใช้เล่นงาน
พ.ต.ท.ทักษิณหลายปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญคือการลากเอา
พ.ต.ท.ทักษิณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถาบันตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่รายงานของ คอป.
เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมืองในทุกกรณี
ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์กลับขอให้ทุกฝ่ายเคารพความเห็นของ คอป.
เพื่อประโยชน์ต่อการสร้างความปรองดอง แต่กลับเสนอวาทกรรมใหม่ให้
“ทักษิณเป็นศัตรูหลักกับรัฐไทย” จึงอธิบายได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์ “ดีแต่พูด”
เพียงวาจาเท่านั้น จะเชื่อ คอป. เฉพาะเรื่องที่ตัวเองได้ประโยชน์
ถ้าไม่ได้ประโยชน์ก็จะไม่รับฟังและไม่เชื่อฟังอะไรทั้งสิ้น
การเผยแพร่วาทกรรม “ทักษิณเป็นคู่ขัดแย้งหลักของรัฐไทย”
จึงไม่ต่างกับว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เชื่อ ไม่สนใจคำเสนอแนะของ คอป.
ยังคงนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมืออย่างไม่รู้จักจบ
วาทกรรมนี้แสดงถึงวิธีคิดและการโฆษณาชวนเชื่อเป็นอย่างไรในอดีต
ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้น ซ้ำอาจยิ่งเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากพยายามให้
พ.ต.ท.ทักษิณต้องเป็นศัตรูกับทุกอย่าง ทั้งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
เพื่อให้ “ระบอบทักษิณ” ยังถูกตามจองล้างจองผลาญต่อไป
ทั้งยังทำให้เห็นความพยายามของ “อำนาจแฝง” ในทุกบริบทที่จะสร้างให้ประชาชนเชื่อว่า
“ระบอบทักษิณ” มีอยู่จริงและเป็นระบอบที่ชั่วร้ายจนเป็นคู่ขัดแย้งหลักของรัฐไทย
รายงานฉบับสุดท้ายของ คอป.
จึงเป็นไปได้ว่าคือการส่งสัญญาณตามล้างตามล่าว่าเกิดขึ้นอีกรอบแล้ว
เพราะมีศัตรูหลักของรัฐไทยก็ต้องล้างศัตรูให้หมดสิ้น
โดยลืมไปว่าศัตรูที่แท้จริงก็คือตัวเอง
นับจากนี้ไปพรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
เช่นเดียวกับกลุ่มอำนาจแฝงและอำนาจที่อยู่เบื้องหลังยังคงคิดแบบเดิมอยู่!?
การสร้างวาทกรรม “ทักษิณเป็นศัตรูหลักของรัฐไทย”
ยังมองได้ว่าเป็นอีกกลยุทธ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ปฏิเสธเป็นคู่ขัดแย้งกับ
“ระบอบทักษิณ”
เป็นกลยุทธ์การลอยตัวเพื่อจะบอกสังคมว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความผิดใดๆ
เพราะพรรคประชาธิปัตย์คือส่วนหนึ่งของรัฐไทย
รัฐไทยในความหมายของร่างทรงที่มีอำนาจแฝงซ่อนอยู่เบื้องหลัง
จากนี้ไปประเทศไทยคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมา ขัดแย้งมา 10
กว่าปีเช่นไร ต่อไปก็ยังเป็นเช่นนั้น แถมยังคงเข้มข้นขึ้นด้วยซ้ำ
และอาจเห็นเกมอะไรที่แปลกประหลาดด้วยข้ออ้างว่าต้องขจัดคู่ขัดแย้งหลักของรัฐไทยให้หมดสิ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น