ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 381 วันที่ 13-19 ตุลาคม 2555 หน้า 5 คอลัมน์ ถนนประชาธิปไตย โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ที่วงเวียนหลักสี่ จุดตัดระหว่างถนนพหลโยธินกับถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทรา
มีอนุสาวรีย์แห่งหนึ่งตั้งอยู่ เป็นอนุสาวรีย์รูปพานรัฐธรรมนูญ
ปัจจุบันอนุสาวรีย์แห่งนี้เรียกกันว่า “อนุสาวรีย์หลักสี่”
ซึ่งปราศจากความหมายอันชัดเจน แต่อนุสาวรีย์แห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่า
“อนุสาวรีย์ปราบกบฏ”
สร้างขึ้นในโอกาสที่รัฐบาลคณะราษฎรสามารถเอาชนะและปราบปรามกบฏบวรเดช
ซึ่งเป็นกบฏฝ่ายนิยมเจ้าที่คุกคามประชาธิปไตยของสยาม
อนุสาวรีย์นี้เป็นที่บรรจุอัฐิของทหารและตำรวจที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ภายในรวม
17 นาย
และรูปแบบของอนุสาวรีย์ยังกลายเป็นต้นแบบของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถนนราชดำเนินด้วย
อนุสาวรีย์ยังมีชื่อเรียกอื่น เช่น อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ อนุสาวรีย์ 17
ทหารและตำรวจ และอนุสาวรีย์หลวงอำนวยสงคราม เป็นต้น
กบฏบวรเดชเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476
นับเป็นการกบฏครั้งแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
โดยเริ่มจากกลุ่มนายทหารและข้าราชการฝ่ายนิยมเจ้าที่ต่อต้านคณะราษฎร
ได้ไปตั้งกองบัญชาการที่นครราชสีมา แล้วเรียกตนเองว่า “คณะกู้บ้านกู้เมือง”
โดยมีนายพลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช เป็นหัวหน้า แล้วตั้งให้ พ.อ.พระยาศรีสิทธิสงคราม
(ดิ่น ท่าราบ) เป็นแม่ทัพ ยกกำลังเข้ามาในพระนคร
คณะกู้บ้านกู้เมืองตั้งกำลังที่ดอนเมือง
แล้วยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลคณะราษฎรลาออก
แต่ฝ่ายคณะราษฎรตัดสินใจต่อสู้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย จึงตั้ง พ.ท.หลวงพิบูลสงคราม
เป็นผู้บัญชาการในการต่อสู้ ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกัน
และฝ่ายรัฐบาลสามารถเอาชนะฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองได้
จนฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองต้องถอนกำลังในวันที่ 15 ตุลาคม ต่อมาพระยาศรีสิทธิสงคราม
เสียชีวิตในการรบที่หินลับ ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดชหนีไปลี้ภัยที่อินโดจีนฝรั่งเศส
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายรัฐบาลมีผู้เสียชีวิตจากการปกป้องประชาธิปไตยครั้งนี้ 17 คน
ที่สำคัญก็คือ พ.ต.หลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษะโกมล) ซึ่งเป็นผู้ก่อการคณะราษฎร
และเป็นเพื่อนของหลวงพิบูลสงคราม
รัฐบาลคณะราษฎรถือว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 17 คน
เป็นวีรบุรุษผู้เสียสละเพื่อประชาธิปไตย
จึงได้มีการจัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวง
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการทำศพสามัญชนที่สนามหลวง
แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯจะมีพระราชกระแสว่าพระองค์ไม่เห็นด้วย
เพราะถือว่าสนามหลวงเป็นที่ทำศพเฉพาะเจ้านาย คณะราษฎรได้ตั้งชื่อถนนอำนวยสงคราม
และสะพานเกษะโกมลเพื่อเป็นเกียรติแก่หลวงอำนวยสงคราม
และได้สร้างอนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นเพื่อบรรจุอัฐิของทั้ง 17 คน
อนุสาวรีย์ปราบกบฏได้รับการออกแบบโดยหลวงนฤมิตรเรขการ (เยื้อน บุณยะเสน)
อาจารย์ประจำโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โดยยึดหลักทางการเมืองของคณะราษฎร
คือการพิทักษ์ระบอบรัฐธรรมนูญ เพื่อรักษาประชาธิปไตยของบ้านเมือง
การก่อสร้างดำเนินไปในปี พ.ศ. 2479 และมีพิธีเปิดในวันที่ 14 ตุลาคมปีเดียวกัน
โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
เป็นประธานในพิธี
จึงถือได้ว่าอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการพิทักษ์ประชาธิปไตยจากภัยคุกคามของฝ่ายนิยมเจ้า
ที่น่าสนใจคือ
ผนังของฐานแต่ละด้านของอนุสาวรีย์มีการจารึกและประดับเรื่องราวที่ต่างกันไป
โดยผนังด้านทิศตะวันตกมีการจารึกรายนามของทหารและตำรวจ 17 นายที่เสียชีวิต
ด้านทิศใต้เป็นรูปแกะสลักนูนต่ำของครอบครัวชาวนา คือ พ่อ แม่ และลูก
โดยผู้ชายถือเคียวเกี่ยวข้าว ผู้หญิงถือรวงข้าว และเด็กถือเชือก ซึ่งสื่อถึงราษฎร
และเป็นอนุสาวรีย์แรกในประเทศไทยที่สร้างรูปชาวนา ด้านทิศเหนือเป็นรูปธรรมจักร
ซึ่งหมายถึงศาสนา และด้านทิศตะวันออกเป็นแผ่นทองเหลืองจารึกโคลงสยามานุสติ
ซึ่งเป็นโคลงในลักษณะชาตินิยม
ต่อมาหลังจาก พ.ศ. 2490 เมื่อคณะราษฎรสิ้นอำนาจ และฝ่ายนิยมเจ้าได้รับการฟื้นฟู
อนุสาวรีย์ถูกทอดทิ้งในเชิงของความหมายเรื่องการปราบกบฏ กลายเป็นวงเวียนหลักสี่
ทำให้ความสนใจลดลงอย่างมาก
และเมื่อมีอัตราการใช้รถยนต์ในกรุงเทพมหานครเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
วงเวียนหลักสี่และอนุสาวรีย์ถูกพิจารณาว่ากีดขวางการจราจร
จึงมีการพิจารณาปรับภูมิทัศน์หลายครั้ง เช่น ใน พ.ศ. 2536
มีการยกเลิกวงเวียนทำเป็นสี่แยก และนำมาซึ่งการขุดอุโมงค์ลอดอนุสาวรีย์ และใน พ.ศ.
2553
กรมทางหลวงมีโครงการจะสร้างสะพานลอยข้ามแยกเพื่อเชื่อมต่อถนนแจ้งวัฒนะและถนนรามอินทรา
ซึ่งอาจทำให้ต้องมีการย้ายบริเวณของอนุสาวรีย์
และในอนาคตยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีชมพู
ซึ่งก็คงจะส่งผลต่ออนุสาวรีย์อีก
กรณีนี้ฝ่ายสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เสนอความเห็นว่า
อนุสาวรีย์นี้เป็นเพียงสัญลักษณ์จำลองเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลอะไร
จึงมองว่าน่าจะก่อสร้างได้โดยไม่มีผลกระทบอะไร แต่กลับกลายเป็นว่า
“อนุสาวรีย์ปราบกบฏ” ได้กลับมารื้อฟื้นความหมายครั้งล่าสุด
เมื่อคนเสื้อแดงเริ่มการชุมนุมครั้งใหญ่ พ.ศ. 2553 นายวีระ (วีระกานต์) มุสิกพงศ์
ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ได้เลือกอนุสาวรีย์หลักสี่เป็นสถานที่รวมพลเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553
ก่อนกิจกรรมการชุมนุมใหญ่ที่ยืดเยื้อ
โดยนายวีระประกาศในตอนนั้นว่ามาสักการะดวงวิญญาณของคณะราษฎร เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย
หลังจากที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปราบปรามประชาชนคนเสื้อแดงจนมีผู้เสียชีวิต
94 คน และบาดเจ็บนับพันคน
ประชาชนจำนวนมากถือว่าผู้เสียสละชีวิตในกรณีเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553
เป็นวีรชนที่เสียสละในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
จึงได้เกิดการแสวงหาวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในระยะก่อนหน้านี้
อนุสาวรีย์ปราบกบฏจึงสามารถฟื้นความหมายได้ในลักษณะเช่นนี้
เพราะถือเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยครั้งแรก
และมีลักษณะเดียวกันกับการต่อสู้ของคนเสื้อแดงที่ปกป้องประชาธิปไตย
ดังนั้น ในปีนี้ซึ่งจะเป็นปีครบรอบ 79
ปีแห่งการเสียสละของวีรชนประชาชนคราวกบฏบวรเดช
กลุ่มประชาชนคนเสื้อแดงจึงจะไปจัดพิธีรำลึกการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่อนุสาวรีย์แห่งนี้
โดยจะมีการวางพวงมาลา มีการอภิปรายและร้องเพลง
การจัดงานฉลองอนุสาวรีย์ปราบกบฏในปีนี้จะเป็นการปูทางไปสู่การรณรงค์จัดงาน 80
ปีในปีหน้า
นั่นหมายความว่าสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของประชาชนอีกหนึ่งจะถูกรื้อฟื้นความสำคัญ
เพื่อสะท้อนถึงสายธารแห่งประชาธิปไตย
เป็นการประกาศต่อฝ่ายอำมาตย์และพวกนิยมเจ้าว่าประชาชนจะไม่ยอมจำนน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น