ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 383 วันที่ 27 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2555 หน้า 18 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
การจุดประเด็นการประมูลใบอนุญาต 3จี ของนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
ว่าทำให้ประเทศต้องเสียหายถึง 16,000 ล้านบาท และตกเป็นภาระภาษีของประชาชน
แต่ผู้ประกอบการทั้ง 3
รายเหมือนได้ลาภลอยนั้นได้ถูกปั่นกระแสให้เป็นประเด็นร้อนทั้งทางธุรกิจและการเมืองไปโดยปริยาย
โดยกลุ่มต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกลุ่มเกลียดทักษิณ
ซึ่งเป็นกลุ่มจารีตประเพณีหน้าเดิมๆได้ฉวยโอกาสออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองทันที
ทั้งที่การประมูลเป็นเรื่องของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เป็นองค์กรอิสระ
ขนาดที่ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองยังโดดหนีไม่รับฟ้องคดี
แต่ยังมีการเคลื่อนไหวกันต่อไป
ให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจ
หลังจากที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง
รวมถึงทีดีอาร์ไอและพรรคประชาธิปัตย์ออกมาโจมตีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องว่าทำให้รัฐเสียหายนับแสนล้านบาท
และทำลายกลไกตลาดค้าข้าวมาแล้ว แต่ยังไม่มีผลกระทบใดๆถึงกับทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้
เพราะเมื่อเทียบกับนโยบายประกันราคาข้าวในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีผลดีผลเสียไม่ได้แตกต่างกัน
จ้องล้มรัฐบาล
ในขณะที่องค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
หรือเสธ.อ้าย ก็มีการชุมนุมใหญ่วันที่ 28 ตุลาคม ที่สนามม้านางเลิ้ง โดยระบุว่า
เป็นการรวมตัวของคนรักชาติและรักพระเจ้าอยู่หัว
เพราะเห็นว่าการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้มีแต่ความล้มเหลว
หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปก็มีแต่ความเสียหาย
โดยเฉพาะการจาบจ้วงสถาบันโดยไม่มีการเอาผิด รวมถึงเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งยังอ้างว่ามีหลักฐานการคอร์รัปชัน
จึงต้องหยุดวิกฤตและหายนะของชาติ
แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมองค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาล
และการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลจึงออกมาช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ทั้งที่ประเด็น 3 จี เป็นเรื่องเชิงพาณิชย์และเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่ก็มีความพยายามดึงมาโยงกับการเมืองให้ได้
ทั้งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญแม้แต่ในอาเซียน มีแค่ไทยกับพม่าเท่านั้นที่ยังใช้ 3จี
ขณะที่ประเทศต่างๆเริ่มทดลองเทคโนโลยีใหม่ LTE หรือ 4จี และจะเปิดให้บริการภายในปี
2558 นี้แล้ว รวมถึงลาวที่ประกาศว่าจะพัฒนา 4 จี ทันทีที่พร้อม
ขณะที่ประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่
เพราะกระบวนการฉุดกระชากให้ทุกเรื่องไปเกี่ยวข้องกับการเมือง
ที่ไม่ได้อ้างเพียงแค่ประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น
แต่ทุกครั้งจะพยายามดึงสถาบันเบื้องสูงมาเกี่ยวข้องด้วย
อย่างกรณีองค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาล ซึ่ง เสธ.อ้ายยอมรับว่า
หากการชุมนุมจุดประกายติดก็จะยืดเยื้อเป็นการขับไล่รัฐบาลให้ได้
หรือกรณีภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.) ที่ใช้กรณี
“สรยุทธไร่ส้ม” ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องจริยธรรม
สุดท้ายก็พุ่งเป้ามาที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่แล้วเมื่อสืบสาวราวเรื่องย้อนกลับไป
กลับพบว่าผู้เกี่ยวข้องกับ ภตช. ไม่ว่าจะเป็น น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ หรือนายมงคลกิตติ์
สุขสินธารานนท์ ล้วนยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลทั้งสิ้น
โดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมายืนยันว่า
ขณะนี้มีกลุ่มที่พยายามจ้องล้มรัฐบาลจริง และไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของ
เสธ.อ้ายแต่อย่างใด
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆขณะนี้มีลักษณะของการสอดประสานกับพรรคประชาธิปัตย์
ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวโยงถึงกลุ่มอำนาจเดิม
หรือกลุ่มจารีตประเพณีที่ต้องการหวนกลับมามีอำนาจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องไว้
โดยพยายามบิดเบือนประเด็นเดิมๆ เพื่อตอกย้ำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นแค่หุ่นเชิดของ
พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมทั้งข้อกล่าวหาคลาสสิกอย่างเช่น เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน
รวมถึงการบิดเบือนด้วยข้อหาที่ไม่ต้องการการพิสูจน์อย่างความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ
ตั้งธงป่วนการเมือง
ในขณะที่นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. ตั้งข้อสังเกตว่า
มีกระบวนการโจมตีการทำงานของ กสทช. ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ
มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่ก่อนการประมูล
มีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและส่งต่อกันเป็นทอดๆ มีการปลุกระดมโดยใช้สื่อหลายแขนง
ซึ่งถ้ากระบวนการนี้ยังดำเนินต่อไปอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง
ประชาชนบางกลุ่มอาจถูกโน้มน้าวให้เกิดความเข้าใจผิดๆจนต้องการให้ล้มการประมูล 3จี
ครั้งนี้
แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการก็ไม่ได้เป็นไปอย่างสุจริตใจ
เนื่องจากมีการปลุกเร้าให้คนไทยเกลียดชังและหวาดระแวงว่า กสทช.
ทำให้รัฐสูญเสียรายได้นับหมื่นล้านบาท
ทั้งที่จริงๆแล้วคลื่นความถี่ที่นำมาประมูลครั้งนี้รัฐบาลไม่ได้มีต้นทุนใดๆ
เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้วและใช้ได้ตลอดไป
โดยสามารถกำหนดระยะเวลาการใช้ตามอายุของใบอนุญาต
เมื่อหมดใบอนุญาตก็สามารถนำมาจัดสรรได้ใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz
จำนวน 45 GHz ถูกทิ้งไว้เฉยๆไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใดๆ
ตรงกันข้ามหากไม่มีการนำคลื่นความถี่นี้มาจัดสรร
หรือประวิงเวลาให้การจัดสรรคลื่นย่านความถี่นี้ต้องล่าช้าออกไป
จะทำให้เกิดวิกฤตต่อระบบโทรคมนาคมของไทย
และเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล
สุดยอด‘ลับ ลวง พราง’
แม้แต่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการเสียงข้างน้อยใน กสทช.
ยังออกมาให้ความเห็นกรณีระยะเวลาการถือครองสิทธิในคลื่นโทรคมนาคมว่า
“โลกเรานี้มักจะมีพาราด็อกซ์เสมอ มองรอบ มองลึก
แล้วเราจะเห็นความย้อนแย้งนั้นเป็นสัจธรรม อาทิ เรื่องคลื่นโทรคมนาคม บอร์ด กทค.
มีมติรับรอง 3 บริษัทผ่านการประมูล ขณะเดียวกันก็เป็นเสียงข้างมากที่โหวตให้ CAT
& TOT ถือครองคลื่นไปได้อีก 15 ปี เมื่อต้นปีบอร์ด กทค.
โหวตแผนแม่บทให้หน่วยงานรัฐ อาทิ กองทัพ CAT & TOT ถือครองคลื่นในสูตร 5-10-15
ปี (วิทยุ-โทรทัศน์-โทรคมนาคม) ทั้งที่ไม่เห็นด้วยในการถือครองคลื่นอีก
เหมือนการประมูลคลื่น 2.1 GHz ตนก็ไม่เห็นด้วยกับสูตร 15-15-15 ซึ่งมองแง่ดี บอร์ด
กทค. คงคิดแบบเสมอภาคคือ รับรองสิทธิการครองคลื่น TOT-CAT-AIS-Dtac-True ไปเลยอีก
15 ปี แต่มองแง่ร้ายคือ ธำรง Status-quo หรืออำนาจนิยมอุปถัมภ์ ทุนนิยมอภิสิทธิ์
ถามว่าพันธกิจ กสทช. คือการธำรง status-quo หรือการ reform
การจัดสรรคลื่นความถี่”
น.ส.สุภิญญายังตั้งคำถามว่า แล้วใครสั่งและมีอำนาจกำหนดทิศทาง TOT & CAT
ให้มีศักยภาพมาสู้เอกชนได้ คำตอบคือรัฐบาล
จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะทำให้ CAT & TOT
เป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำที่เข้มแข็งขึ้นมาเป็นคู่ต่อสู้กับเอกชน 3 รายให้ได้ ถ้า กทค.
ไม่เรียกคืนคลื่น ว่างๆก็มาประมูลใหม่
“การบ้านนี้ต้องฝากรัฐบาลเพื่อไทยแล้ว บัดนี้มีอำนาจเต็มในการกำกับ CAT &
TOT เพราะยังไม่ถูก privatized รัฐไทยยังเป็นเจ้าของ CAT&TOT เต็มตัว
บริหารผ่านบอร์ด เลือกโดยรัฐบาลแต่ละยุคสมัย ดังนั้น
รัฐบาลคงต้องเลือกว่าจะส่งเสริม พัฒนา ยกระดับ CAT&TOT แข่งกับเอกชน
หรือแปรรูปออกมาเป็นเอกชนเต็มตัวเพื่อแข่งกัน 5 ราย ยิ่งปีหน้าคลื่น 1800
จะหมดสัญญาสัมปทาน”
โดยกล่าวทิ้งท้ายอย่างมีปริศนา ให้ตีความกันเองว่า
“รอดูดร่ามา
True-CAT-รัฐบาล-กสทช. (กทค.) next episode วงการโทรคมนาคมสุดยอด ลับ ลวง พราง”
“สนธิลิ้ม” ประณาม กสทช.
ที่น่าสนใจคือแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่วันนี้ประกาศไม่เอาทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์
ยังยืนยันว่าต้องมี “การปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ”
ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ตามก้นต่างชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมือง
ก็ออกมาโจมตีการประมูล 3 จีของ กสทช. เช่นกัน โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ
กล่าวหาว่าเป็นการประมูลที่อัปยศที่สุด และมีเงินหล่น 3,000 ล้านบาท จาก 3
บริษัท
“กสทช. หน้าที่คุณคือปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ให้มาดูแลผลประโยชน์เอกชน
ที่สำคัญอย่าพูดให้ได้ยินอีกว่าไม่มี 3จี แล้วชาติจะฉิบหาย
ถ้าจะใช้ตรรกะนี้สู้กระโดดไป 4จี เลยไม่ดีกว่าหรือ ถามว่าถ้ามี 3จี แล้วคุณภาพชีวิต
วัฒนธรรมไทย การศึกษาจะดีขึ้นหรือไม่”
นายสนธิประณาม กสทช. และตั้งคำถามว่าทำไมต้องเอาใจเอกชน
เมื่อทรูฯจะหมดสัญญาปีหน้า เอไอเอสอีก 2 ปีหลังจากทรูฯ
ส่วนดีแทคจะหมดสัญญาตามหลังเอไอเอส 2 ปี ถ้าไม่ประมูลบริษัทก็เสียหาย
ยิ่งกันช่องสัญญาณให้เหลือเพียง 2 ช่อง ก็จะทำให้ทั้ง 3 รายต้องประมูลในราคาสูงสุด
ไม่ใช่ราคาต่ำสุดอย่างที่ กสทช. ตั้ง
อย่างไรก็ตาม
หากวิเคราะห์ถึงการออกมาโจมตีของนายสนธิก็อาจมองลึกลงไปได้ว่าไม่ใช่วาระเพื่อสะท้อนเรื่องการประมูลว่ามีการฮั้วหรือโปร่งใสหรือไม่เท่านั้น
แต่ยังทำให้เห็นความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน
ซึ่งมีผลอย่างมากกับการพัฒนาประเทศ
รวมถึงการเมืองที่แท้จริงว่าการไร้โอกาสทางเทคโนโลยีอาจทำให้ประชาชน “โง่งมงาย”
ต่อไปหรือไม่ เพราะหากคนไทยยังถูกกรอกหูให้เชื่อข้อมูลอย่างผิดๆ
หรือจริงบ้างเท็จบ้าง
อย่างที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯพยายามทำให้คนเสื้อเหลืองเชื่อว่าประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวิกฤตหายนะมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องปฏิรูปประเทศ
กำจัดนักการเมืองเลวให้สิ้นซากเท่านั้น
จนลืมไปว่ายังมีอภิสิทธิ์ชนที่เลวยิ่งกว่านักการเมืองเสียอีก
และที่หนักไปกว่านั้นคือประชาชนมีสิทธิตรวจสอบและลากคอนักการเมืองมาเอาผิดหรือขับไล่ออกไปได้
แต่อภิสิทธิ์ชนที่เหนือกว่านักการเมืองนั้นคนไทยไม่อาจตรวจสอบใดๆได้
ชุดดำ 3G แบบไทยๆ
แม้แต่ประเด็น “ชายชุดดำ” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่าคือคนเสื้อแดง
แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าข้างนอกอาภรณ์ชายสวมชุดดำ
แต่แท้จริงแล้วอาจใส่กางเกงในสีเหลือง สีฟ้า สีน้ำเงิน หรือสีเขียวลายพรางอยู่ก็ได้
พิจารณาได้จากกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามเดินสายเพื่อบิดเบือน
โดยยกข้ออ้างว่าหากไม่มี “ชายชุดดำ” ก็จะไม่มีคนตายและความรุนแรงเกิดขึ้น
ซึ่งไม่ต่างกับการพยายามสร้างความชอบธรรมในการล้อมปราบและสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง
หรือการฆ่าประชาชนไม่ผิดนั้น
ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้สื่อทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรทัศน์ดาวเทียมที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น
กลุ่มเสื้อเหลืองมีสื่อเอเอสทีวี กลุ่มเสื้อแดงที่เดิน 2
ขาคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทยก็มีเอเชียอัพเดท
กลุ่มสีฟ้าและเสื้อหลากสีที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้บริการบลูสกายทีวีออกอากาศทุกกิจกรรมของพรรค
และมีผู้จัดรายการขาประจำล้วนเป็นพลพรรคจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น
ซึ่งต้องยอมรับว่าแต่ละกลุ่มมีคนติดตามมากกว่าฟรีทีวี.บางช่องเสียอีก
ในขณะที่เทคโนโลยี 3จี หรือ 4จี
กำลังจะทำให้โทรศัพท์และอุปกรณ์มากมายที่เกี่ยวข้องกลายเป็นศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและรวดเร็ว
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แม้แต่การทำสงครามในอนาคตที่เรียกว่า “สงครามไซเบอร์”
ซึ่งสหรัฐ รัสเซีย จีน และชาติในยุโรปให้ความสำคัญอย่างมาก
(อ่านเพิ่มเติม-โลกไม่หยุดนิ่ง หน้า 15)
แต่กลุ่มจารีตประเพณีกลับไม่ต้องการให้ใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า
เหมือนกลัวว่าเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากำลังทลายกำแพงโบราณที่ปิดกั้นผู้คนในประเทศไทย
หรืออาจเกรงว่าจะมีประชาธิปไตยที่แท้จริงที่มาจากประชาชน เพราะกลัวประชาชนจะ
“ตาสว่าง” อย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน จะไม่ “โง่งมงาย” จนครอบงำความคิดไม่ได้อีกต่อไป
ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มจารีตประเพณีที่พยายามประคับประคองมาอย่างยาวนานนั่นเอง
หรือสิ่งที่ น.ส.สุภิญญาระบุว่าวงการโทรคมนาคมสุดยอด “ลับ ลวง พราง”
นั้นจะเปรียบได้กับการเมืองไทยที่กว่า 80 ปียังไม่สามารถหลุดพ้น “วงจรอุบาทว์”
และถูกบิดเบือนให้คนไทยเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ใช้กองทัพเป็นเครื่องมือและอิงแอบ
“สถาบันเบื้องสูง” เพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องเท่านั้น
กองทัพกับการเมือง
การเมืองไทยจึงไม่ต่างกับช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
ใหม่ๆที่เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย นำโดยนายปรีดี พนมยงค์
กับฝ่ายจารีตประเพณีที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน
โดยมีกองทัพเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมืองตลอด 80 ปีที่ผ่านมา
แม้ขนาดนายลี กวน ยิว อดีตผู้นำสิงคโปร์ ล่าสุดได้วิจารณ์ “ไทย” กับ “พม่า”
ที่กำลังเนื้อหอมสุดๆว่ามีพื้นที่และประชากรใกล้เคียงกัน ทั้งช่วงทศวรรษที่ 60
ยังมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2505
เมื่อพม่าก้าวสู่การปกครองระบอบทหารและปิดประเทศ
ตรงข้ามกับไทยที่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรี เปิดรับการลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก
จนปัจจุบันเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย
แต่ไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น
ตลอด 80 ปีกองทัพกลับรัฐประหารถึง 18 ครั้ง และล้มเหลว 7 ครั้ง
ทำให้ไทยไม่มีความแน่นอนทางการเมืองและฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก
ไดโนเสาร์เรียก “พี่”
ความเห็นของอดีตผู้นำสิงคโปร์จึงตอกย้ำชัดเจนว่ากองทัพยังมีบทบาทสำคัญกับการเมืองไทย
โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ที่ทำให้การเมืองไทยแตกแยกและขัดแย้งรุนแรงที่สุด ทั้งยังมีส่วนสำคัญกับเหตุการณ์
“เมษา-พฤษภาอำมหิต” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด”
ที่ทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิตล่าสุดรวม 99 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000
คน แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ
อดีตรองนายกรัฐมนตรี
ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดและผู้ใช้อำนาจสั่งการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
(ศอฉ.) วันนี้ยังยืนยันว่าไม่ผิด และเดินสายจัดเวทีปลุกกระแส “ชายชุดดำ”
เพื่อสร้างความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง
โดยการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ดาวเทียม “บลูสกาย” ตลอด 24 ชั่วโมง
และยืนยันว่าบลูสกายทีวีหาใช่ทีวี.ของพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม คำตัดสินของศาลคดีนายพัน คำกอง
แท็กซี่เสื้อแดงที่ถูกยิงเสียชีวิตที่ราชปรารภว่าเกิดจากฝีมือทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ
ศอฉ. ไม่เพียงแค่ยืนยันว่าไม่ใช่ฝีมือของ “ชายชุดดำ” เท่านั้น
กลับกลายเป็นว่ากำลังจะกลายเป็นคดีฆาตกรรมที่อาจตั้งข้อหา “ฆาตกรรม” กับ
“ผู้มีอำนาจสูงสุด” และ “ผู้สั่งการ”
ขณะนั้นคือนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพอยู่ในขณะนี้
แม้วันนี้ “ชายชุดดำ” ยังเป็นปริศนาว่าเป็นใคร
และเป็นฝ่ายใดกันแน่ที่ได้ประโยชน์จากการมีชายชุดดำ แต่วันนี้คนส่วนใหญ่ก็
“ตาสว่าง” เพราะได้เห็นภาพและคลิปมากมายที่ถูกเผยแพร่ผ่านตามสื่อต่างๆ
โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ซึ่งพัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทำให้โลกไร้พรมแดน
และนับวันจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เขามีใช้กันไปแล้วทั่วโลก
และกำลังก้าวสู่ 4จี แต่คนไทยยังทะเลาะดักดานอยู่กับการประมูล 3จี ไม่เลิก
จึงไม่แปลกที่ “ชายชุดดำ” ยังถูกบิดเบือนจนกลายเป็น “แพะชุดดำ” จาก
“ชายใจดำมือเปื้อนเลือด” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการฆ่า...
ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ลากใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินชั่วคราวยาวนานข้ามปีจึงจับ
“ชายชุดดำ” ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว?
ทำไมเจ้าหน้าที่จึงไม่ยิง “ชายชุดดำ” แต่กลับไปยิงชาวบ้านและผู้ชุมนุม?
ทำไม ศอฉ. จึงเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันเกิดเหตุถึง 3 วัน?
แล้วตอนนั้นนายกฯอภิสิทธิ์หายหน้าไปไหนนานนับสัปดาห์หลังการขอคืนพื้นที่
จนมีคนตายเป็นเบือในเวลาพลบค่ำ 10 เมษายน 2553
ตอนนั้นยังไม่มี 3จี
ความจริงผลุบๆโผล่ๆจึงถูกปกคลุมและตีโต้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อจาก
“สื่อรวมการเฉพาะกิจ” ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯที่เสนอข่าวด้านเดียว
ลาว เขมร เขาไป 3จี 4จี กันหมดแล้ว
ขนาดพม่ายังประนีประนอมยอมเปิดฟ้าให้ตาสว่าง
เหลือแต่ “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย” นี่แหละที่ไดโนเสาร์เรียก
“พี่”
อนาถ 3จี แบบไทยๆ!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น