ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 380 วันที่ 6 - 12 ตุลาคม 2555 หน้า 13 คอลัมน์ พายเรือในอ่าง โดย อริน
สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเสด็จขึ้นครองราชย์นั้น
สยามมีทาสเป็นจำนวนกว่า 1 ใน 3 ของพลเมืองของประเทศ เพราะเหตุว่าการเกิด “(ลูก)
ทาสในเรือนเบี้ย” เป็นทาสตลอดชีวิตสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด
โดยลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อๆกันเรื่อยไป
ซึ่งตามกฎหมายโบราณที่สืบเนื่องมาจากสมัยอยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์กำหนดว่าด้วยลักษณะทาสได้จัดประเภทของทาสไว้
7 อย่างคือ
1.ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์ หรือ “ทาสสินไถ่”
หมายความว่าเป็นสถานภาพของบุคคลซึ่งเดิมเป็นทาสของคนอื่น
แล้วผู้ใดผู้หนึ่งนำเงินไปไถ่ตามค่าตัวที่ได้กำหนดไว้ ทำให้ทาสเปลี่ยนมือหรือ
“นายทาส”
หรืออีกความหมายหนึ่งอธิบายว่าหมายถึงทาสที่ขายตัวเองหรือถูกผู้อื่นขายให้แก่นายเงิน
ต้องทำงานจนกว่าจะหาเงินมาไถ่ค่าตัวได้จึงจะหลุดพ้นเป็นไท
2.“ทาสในเรือนเบี้ย” หมายถึงลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาส
ย่อมเป็นทาสไปด้วย
3.ทาสได้มาแต่ฝ่ายมารดาบิดา
หมายความถึงทาสที่บุคคลได้รับมรดกจากมารดาบิดาของตน
4.ทาสที่มีผู้ให้ หรือ “ทาสท่านให้”
คือทาสที่เดิมเป็นของผู้หนึ่งแล้วถูกยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกผู้หนึ่ง
5.ทาสอันได้มาด้วยการช่วยกังวลธุระทุกข์แห่งคนอันต้องโทษทัณฑ์ หรือ
“ทาสที่ช่วยมาจากทัณฑโทษ” คือผู้ที่ถูกต้องโทษ ต้องเสียค่าปรับแต่ไม่มีเงินให้
ต่อเมื่อมีนายเงินเอาเงินมาใช้แทนให้ ผู้ต้องโทษก็ต้องเป็นทาสของนายเงิน
6.ทาสที่เลี้ยงไว้เมื่อเกิดทุพภิกขภัย หรือที่บัญญัติไว้เป็น
“ทาสอันได้เลี้ยงไว้ในกาลเมื่อข้าวแพง”
คือทาสที่เข้ามาสมัครใจยอมตัวเป็นทาสเนื่องจากสาเหตุข้าวยากหมากแพง ไม่มีจะกิน
ต้องอาศัยมูลนายกิน ในที่สุดต้องยอมเป็นทาสของมูลนายนั้น
7.ทาสที่ได้มาจากการรบศึกชนะ หรือที่เรียกว่า “ทาสเชลย” หรือ “เชลยทาส”
โดยทั่วไปจะเป็น “ทาสหลวง” ก่อน
แล้วพระมหากษัตริย์จะพระราชทานแก่ขุนนางและเจ้านายที่มีความดีความชอบในการทำศึกสงคราม
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้นตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12
ตำลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่งชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง
แต่ข้อเท็จจริงคือการคำนวณการลดนี้อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1
ตำลึง หญิง 3 บาท แปลว่าผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย
ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้วก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต
การดำรงอยู่ของ “ระบบทาส/ไพร่”
ที่เคยเป็นรากฐานสำคัญของระบอบการปกครองและระบบการผลิตแบบ “ศักดินา”
กลายเป็นตัวการขัดขวางพัฒนาการของสังคมสยามนับจากการเข้ามาของการขยายตัวลัทธิเจ้าอาณานิคม
เพื่อขยายตลาดวัตถุดิบ ตลาดการผลิต และตลาดการค้าใหม่ ทั้งนี้
มูลเหตุที่นำไปสู่ความจำเป็นของการเลิกทาสและไพร่ (ดังที่กล่าวไปแล้ว)
พอสรุปได้คือ
1.เพื่อให้เกิดแรงงานอิสระที่สามารถเดินทางไปรับจ้างได้ทั่วราชอาณาจักร
ไม่จำกัดจากการสังกัดมูลนาย
2.เป็นผลดีต่อการเตรียมการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินจากระบอบจตุสดมภ์สู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ในรูปกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งที่สำคัญคือการใช้คนในส่วนกลางเป็นพื้นฐาน
(ในเวลาต่อมาจึงเกิด “โรงเรียนฝึกหัดข้าราชการ”; ดูบทความ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”
กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในโลกวันนี้ ฉบับวันสุข 11-17 กุมภาพันธ์ 2555)
3.ราษฎรหันมาจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์
และพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจมากขึ้น
ในที่สุดก็มีอำนาจสำเร็จเด็ดขาดเมื่อการปฏิรูประบบราชการแผ่นดินสำเร็จลง
ทั้งทางการคลัง การทหาร และการปกครองเป็นสำคัญ
เกิดการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครอง
4.เปลี่ยนระบอบการทหารจากที่กระจายอยู่ในมือของเชื้อพระวงศ์และขุนนางอำมาตย์
(ไพร่สม) มาสู่ “ทหารของพระมหากษัตริย์ (ไพร่หลวง)”
เกิดการเกณฑ์ทหารและจัดระบบกองทัพแบบใหม่ขึ้น
5.เพื่อลดอิทธิพลและอำนาจของขุนนางลงและ “ยุติ”
ระบอบจตุสดมภ์/ศักดินาสวามิภักดิ์ลงได้ในที่สุด
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งบรมราชจักรีวงศ์
มิได้ทรงดำเนินการเลิกทาสขาดลงไปคราวเดียว เพื่อลดการต่อต้านจากนายทาส
ที่สำคัญคือนายทาสที่เป็นเชื้อพระวงศ์ ขุนนางอำมาตย์ ตลอดจนพ่อค้าซึ่งเป็นนายเงิน
จึงทยอยประกาศพระราชบัญญัติสลับกับประกาศพระบรมราชโองการเป็นคราวๆไป
จนถึงได้ออกพระราชบัญญัติทาสในที่สุด
ซึ่งถ้าจะประมวลการดำเนินงานเป็นขั้นๆตามตัวบทกฎหมายจะเห็นได้ดังนี้
1.พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท จุลศักราช 1236 โสณสังวัจฉระ สาวนมาส
ชุณหปักษ์ นวมีดีถีศุกรวาร (วันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417) มีเนื้อหาหลักกำหนดให้ทาส
7 ประเภทดังกล่าวข้างต้นที่เกิดตั้งแต่ปีมะโรงสัมฤทธิศก จ.ศ. 1230 (คือปี พ.ศ. 2411
อันเป็นปีเสวยราชย์) เป็นต้นไป เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7
ตำลึง ให้ขึ้นค่าตัวจนถึงอายุ 8 ปี ต่อจากนั้นให้ลดลงตามระยะเดือน ปี
อันตราไว้ในพระราชบัญญัติ จนถึงอายุ 21 ปี
หมดค่าตัวและให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง; ถึงแม้ว่าบุคคลซึ่งเกิดตั้งแต่
พ.ศ. 2411 เป็นต้นมานั้นจะได้รับการปลดปล่อยตามเงื่อนไขเวลาที่กล่าวมาแล้ว
ต่อเมื่อถึง พ.ศ. 2431 เป็นต้นไปก็ตาม
แต่ก็สามารถได้รับการไถ่ถอนให้พ้นจากความเป็นทาสได้ในราคาพิเศษซึ่งถูกกว่าทาสที่เกิดก่อน
พ.ศ. 2411; กำหนดว่าถ้าผู้ใดจะนำบุตรหลานของตนไปขายเป็นทาสซึ่งเกิดตั้งแต่ พ.ศ.
2411 และมีอายุต่ำกว่า 15 ปีลงมาไปขายเป็นทาส
จะต้องขายในอัตราซึ่งกำหนดไว้ในพิกัดเกษียณอายุใหม่ในรัชกาลที่ 5; ห้ามผู้ที่เกิดใน
พ.ศ. 2411 หรือบิดามารดาของตนเองขายตนเป็นทาส
โดยที่ตนเองและบิดามารดากล่าวเท็จว่ามิได้เกิดใน พ.ศ. 2411 จะต้องถูกลงโทษด้วย;
ห้ามมูลนายคิดค่าข้าว ค่าน้ำ กับเด็กชายหญิงที่ติดตามพ่อแม่ พี่น้อง ป้า น้า
อาของตนที่ขายตัวเป็นทาส จนกลายเป็นเจ้าหนี้ของเด็กและเอาเด็กเป็นทาสต่อไปด้วย
พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท พ.ศ. 2417 นี้มิได้ใช้บังคับในทุกมณฑล
มีบางมณฑลมิได้บังคับใช้ คือมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือหรือมณฑลพายัพ
มณฑลตะวันออกหรือมณฑลบูรพา มณฑลไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู
เนื่องจากขณะนั้นมณฑลเหล่านี้ยังเป็นประเทศราชอยู่
จึงไม่นับรวมเข้ามาในพระราชอาณาเขตตามความหมายของพระราชบัญญัตินี้
2.พระบรมราชโองการหมายประกาศลูกทาส ประกาศ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 13 ค่ำ
ปีจอ ฉศก จุลศักราช 1236 (8 ตุลาคม พ.ศ. 2417)
ให้สลักหลังสารกรมธรรม์ของทาสที่เกิดในปีมะโรงสัมฤทธิศก (พ.ศ. 2411)
ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท โดยให้อำเภอ กำนัน
พร้อมกันกับตัวทาส
สลักลังสารกรมธรรม์ไว้เป็นแผนกกับให้ระบุลูกทาสซึ่งติดมากับมารดาบิดาโดยชัดเจน
ถ้ามีผู้ไปติดต่อที่อำเภอห้ามเรียกเงินค่าตัว
3.พระบรมราชโองการประกาศเกษียณอายุลูกทาสลูกไท ประกาศ ณ วันอาทิตย์ เดือน 11
ขึ้น 8 ค่ำ ปีจอ จุลศักราช 1236 (18 ตุลาคม พ.ศ. 2417) บรรดาคนที่เป็นไทอยู่แล้ว
หรือทาสที่หลุดพ้นค่าตัวไปแล้ว ต่อไปห้ามมิให้เป็นทาส
บรรดาทาสที่มีอยู่ในเวลาออกพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ทาสที่หลบหนี
ให้เจ้าเงินลดค่าตัวให้คนละ 4 บาทต่อเดือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น