จาก RED POWER ปีที่ 2 ฉบับที่ 29 เดือน ตุลาคม 2555
คำว่า “สารละลาย”
ในศตวรรษที่ 21 ได้เกิดคำแผลงใหม่ต้องสะกดเป็น “ศาลละลาย” โดยใช้ควบกับคำว่า “รัฐประหาร” เมื่อใช้เป็นกิริยาจะมีความหมายว่า “ลักษณะอาการที่แสดงออกเพื่อแก้ปัญหาความอุดตันทางการเมืองอย่างหนึ่ง
จากที่เคยใช้ทหารเป็นเครื่องมือก็มาใช้ศาลเป็นเครื่องมือ”
หากจะขยายความที่มาของคำเต็มๆว่า
“รัฐประหารศาลละลาย” ด้วยหลักภาษาไทยของคนเสื้อแดงก็จะเห็นได้ว่าคำๆนี้เป็นคำสะแลงที่สรุปให้เห็นถึงสถานการณ์
6 ปี หลังการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ว่าได้เกิดการพังทลายของกระบวนการยุติธรรมไทยแล้วโดยมีความหมายเต็มๆของเหตุการณ์ดังนี้
“รัฐประหารศาลละลาย”
เป็นผลจากการทำรัฐประหารที่แปลกแหวกแนวที่สุดในโลกซึ่งจะเป็นการรัฐประหารครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของประเทศไทย
ลักษณะแปลกแหวกแนวคือเป็นการรัฐประหารที่ไม่เหมือนใครในโลกทั้งรูปแบบและเนื้อหา
ดูผิวเผินก็คล้ายกับการรัฐประหารในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายแต่ดูลึกลงไปกลับกลายเป็นการรัฐประหารที่พัฒนาขึ้นแต่หนักหน่วงกว่าประเทศด้อยพัฒนาเพราะเป็นการรัฐประหารที่ผู้สั่งการทำตามอำเภอใจโดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่ากำลังทำลายระบอบอำนาจเก่าแก่ของตัวเอง
ด้วยความสับสนในสมองจึงเกิดภาวะโกลาหลของรัฐตลอดระยะเวลา 6 ปี
ตั้งแต่ทำลายชื่อเสียงของประเทศด้วยการยึดสนามบิน,ยึดทำเนียบรัฐบาล
และฆ่าประชาชนเพียงเพราะเกลียดทักษิณจากคนใกล้ชิดเป่าหูและอยากจะยึดอำนาจนาน 10 ปี
เพื่อเป้าหมายบางอย่างที่แปลกประหลาดแต่ก็กล้าๆกลัวๆ โดยหัวหน้าคณะผู้ยึดอำนาจไม่กล้าแสดงตัวเปิดเผยและไม่กล้าทำอะไรตรงๆเหมือนในอดีตเพราะกลัวทหารที่ถูกใช้ให้ทำรัฐประหารจะเชิดอำนาจจนเอาลงไม่ได้เหมือนรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ต่อเชื่อมถึงรัฐบาลจอมพลถนอมจึงต้องสร้างรัฐบาลหุ่นเชิดประชาธิปไตยและใช้ศาลคุมอำนาจช่วย
ดังนั้นการเขียนบทละครการรัฐประหารจึงเริ่มจากล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากการเลือกตั้งเสียก่อน
โดยใช้ศาลเป็นกองหน้าในการยึดอำนาจร่วมกับทหารซึ่งเป็นรูปแบบของการใช้กำลังข่มขู่เพื่อมิให้ประชาชนขัดขืนเฉพาะวันที่ขับไล่รัฐบาลแต่หลังจากนั้นก็สลัดทหารทิ้งแล้วให้ศาลเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างเปิดเผยตั้งแต่เป็นรัฐมนตรี
สมาชิกสภานิติบัญญัติ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อควบคุมอำนาจทางการเมืองทั้งหมดตามรัฐธรรมนูญที่ศาลร่างขึ้น
โดยผู้พิพากษาจำแลงแปลงกายเข้าสู่อำนาจภายใต้ป้ายชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญ
องค์กรอิสระ และสมาชิกวุฒิสภา โดยมีจุดมุ่งหมายที่แฝงเร้นอำพรางโดยขาดผันครองอำนาจไว้เป็นเวลา
10 ปี
โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันอำพรางผู้สั่งการตัวจริงด้วยการนำระบบกฎหมายคุกตะรางและกระบวนการทั้งหมดมาข่มขู่ประชาชนให้กลัวแทนปืนและรถถัง
แต่การสลัดทิ้งทหารที่ส่งให้ไปฆ่าประชาธิปไตยแล้วไม่ให้สืบทอดอำนาจหลังการรัฐประหารไม่ต่างอะไรจากการทิ้งผ้าอนามัยลงถังขยะจนก่อให้เกิดความเคียดแค้นฝังลึกของพลเอกสนธิ
บุญยรัตกลิน จนถึงขั้นแอบนั่งประดิษฐ์วาทะกรรมที่ล้ำลึกเพื่อเปิดโปงผู้สั่งการเป็นเชิงสัญลักษณ์ว่า
“แม้ตายไปก็บอกไม่ได้ว่าใครสั่ง”
ดังนั้นตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมาจากมูลเชื้อที่แปลกประหลาดเหล่านี้เราจึงเห็นความวิปริตของบ้านเมืองที่เห็นผู้พิพากษากลุ่มหนึ่งมาแสดงละครตลกที่เรียกชื่อว่า
“ตุลาการภิวัฒน์” และได้กลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” โดยศาลได้ใส่หัวโขนเป็นผู้บริหารอำนาจเหมือนนักการเมืองโดยแสดงถึงอำนาจพิเศษประสานกับองค์กรอำนาจต่างๆตามรัฐธรรมนูญที่ศาลได้ตั้งขึ้นและที่เด่นชัดที่สุดคือการแสดงออกถึงการปกป้องพรรคพวกทางการเมืองของตนด้วยการลงโทษอย่างหนักหน่วงกับผู้ที่แข็งขืนแต่ผ่อนปรนโทษทัณฑ์ให้กับพรรคพวกของฝ่ายตนที่มุ่งทำลายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ซึ่งเป็นเป้าหมายของการรัฐประหาร
ด้วยเหตุนี้กลุ่มผู้สนับสนุนศาลจึงสร้างวาทะกรรมเชิดชูศาลว่า
“ตุลาการภิวัฒน์” แต่กลุ่มที่ต่อต้านการรัฐประหารที่ได้รับความเจ็บปวดจากศาลมักจะชอบเรียกอย่างท้าทายว่า
“ตุลาการวิบัติ” เพราะได้เกิดรูปธรรมการตัดสินและวินิจฉัยคดีต่างๆโดยเฉพาะที่เกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีลักษณะ
“สองมาตรฐาน” อย่างเด่นชัดจึงเกิดภาวะการเสื่อมศรัทธาในองค์กรศาลจนเกิดภาวะที่เรียกว่า
“ศาลละลาย”
ทำไมต้องเป็นรัฐประหารครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
?
การรัฐประหารตลอดระยะเวลา 80 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนับตั้งแต่ 24
มิถุนายน 2475 เป็นต้นมาที่มีมาหลายครั้งแต่จะไม่เห็นผู้สั่งการที่แอบแฝงอยู่หลังฉากที่แสดงตัวประเจิดประเจ้อเด่นชัดเท่ากับการรัฐประหารเมื่อ
19 กันยายน 2549 และในอดีตทหารจะเป็นผู้ตัดสินใจและรับผิดชอบตัวเองในฐานะผู้กระทำการรัฐประหารเอง
แต่ครั้งนี้พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
ผู้บัญชาการทหารบก ที่นำกำลังออกมายึดอำนาจกลับละล้าละลังอยู่นาน
และเป็นการรัฐประหารครั้งแรกที่กว่าจะเปิดตัวหุ่นเชิดผู้นำการรัฐประหารทั้ง 4
เหล่าทัพได้ต้องใช้เวลานานกว่า 2 วัน
เพราะเขาเหล่านั้นมิใช่ตัวจริงที่กระทำการรวมตลอดทั้งพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน
ผู้ที่แสดงตัวเป็นหัวหน้าก็ไม่มีอำนาจใดๆในทางการเมืองเลยและต้องพ้นจากอำนาจทั้งๆที่ยังนั่งเป็นหัวหน้าคณะอยู่เนื่องจากเกษียณอายุราชการโดยไม่มีอำนาจใดๆในรัฐธรรมนูญที่ถูกจัดร่างขึ้นใหม่รองรับการดำรงอยู่ทางอำนาจของพลเอกสนธิเลย
แต่ในทางตรงกันข้ามผู้มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญกลับเป็นของผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูง
ศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงศาลบางคนก็ยอมลาออกจากการรับราชการศาลเพื่อมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญเช่นประธานองค์กรอิสระ
และประธานวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา จึงถือเป็นครั้งแรกของการรัฐประหารโดยใช้อำนาจตุลาการเข้าครอบงำอำนาจของรัฐสภาทั้งหมดโดยศาลเป็นผู้เขียนรัฐธรรมนูญเอง
และจากผลของการกระทำดังกล่าวได้เกิดภาวะการใช้อำนาจทางการเมืองของศาลที่ขัดแย้งกับหลักการยุติธรรมเพียงเพื่อจะทำลายอำนาจทางการเมืองของ
พ.ต.ท.ทักษิณ หรือกลุ่มอำนาจที่เชื่อมโยงกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อไม่ให้ฟื้นคืนชีพและไม่ให้ขยายตัว
ดังจะเห็นได้ชัดจากการตัดสินล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์ เพื่อจะอุ้มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ขึ้นมาบริหารประเทศโดยยุบพรรคทุกพรรคที่อยู่ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ
และทำการคุ้มครองพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นแนวร่วมหลักในการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ
ด้วยการตัดสินไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์
รวมตลอดทั้งวินิจฉัยลงโทษบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเริ่มตั้งแต่การไม่อนุญาตให้ประกันตัวในชั้นศาลของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งๆที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ
แต่ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองหรือกลุ่มพันธมิตรฯกลับได้รับการผ่อนปรนทุกประการในฐานะลูกสมุนที่ซื่อสัตย์แม้จะมีการกระทำความผิดที่รุนแรงอย่างเห็นได้ชัดเช่นการยึดทำเนียบรัฐบาล
การยึดสนามบินสุวรรณภูมิ
รวมตลอดถึงขับรถทับเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะปฏิบัติหน้าที่ที่บ่งบอกถึงเจตนาฆ่าก็ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ชั้นพิจารณาและตัดสินให้รอลงอาญา
เป็นต้น
ดังนั้นบทบาทของกระบวนการยุติธรรมไทยที่มีศาลเป็นตัวแสดงหลักจึงเกิดการเสื่อมศรัทธาจากสังคมอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ซึ่งส่งผลให้ระบบโครงสร้างสังคมไทยที่เคยค้ำจุนด้วย 3
เสาหลักแห่งอำนาจอธิปไตยเกิดการเสื่อมทรุดทั้ง 3
เสาที่เคยยึดโยงอยู่ด้วยกันจนน่ากลัวว่าอนาคตจะเกิดการพังทลายทางโครงสร้างและจะต้องจัดตั้งระบบของ
3 เสาหลักใหม่ โดยทั้งหมดจะต้องยึดโยงกับประชาชนเพื่อให้เกิดอำนาจรัฐที่เป็นจริงและมั่นคงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเพราะทุกวันนี้สถาบันศาลได้ลักลอบเข้ามามีอำนาจทางการเมืองโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของประชาชนทั้งๆที่ศาลเข้ามาควบคุมอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของการเมืองไทยครั้งใหญ่
และแม้ศาลผู้มีอำนาจจากการรัฐประหารที่เป็นอยู่ในขณะนี้จะขัดขวางการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยการทำรัฐประหารซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของศาลไว้ก็เป็นไปได้ยากยิ่ง
ด้วยปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ (1) ได้เกิดการเสื่อมทรุดในศรัทธาอย่างยิ่งในตัวผู้สั่งการให้รัฐประหารจนยากที่จะสั่งการได้อีก
และ (2) ทหารที่เคยเป็นเครื่องมือก็ได้รับการถ่ายทอดบทเรียนความเจ็บปวดอย่างยิ่งของพลเอกสนธิ
อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร ดังนั้นการรัฐประหารโดยใช้ “ศาลเป็นสารละลาย”
จึงยากที่จะเกิดขึ้นได้อีก
ว่ากันจริงๆ วันนี้ผู้สั่งการให้ยึดอำนาจกำลังเกิดภาวะงุนงงและสับสนในตัวเองว่าจะเอาอย่างไรดี
เพราะเกิดภาวะสถาบันหลักคือ ศาล ที่เคยใช้ค้ำจุนระบบก็เกิดพังทลายแล้ว
แต่การยึดอำนาจที่ผ่านมาก็ยังหาความชอบธรรมไม่ได้และก็ยังกดหัวทักษิณไม่ลงจากศรัทธาของประชาชนเข้าลักษณะยิ่งตีก็ยิ่งโต
ครั้นจะรวบอำนาจใหม่ให้เบ็ดเสร็จด้วยการรัฐประหารอีกครั้งก็ยากเต็มที
ดังนั้นการรัฐประหารศาลละลายจึงเป็นรัฐประหารครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
ภายใต้ภาวะการเมืองปัจจุบัน
การคิดจะรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยทางทฤษฎีแม้จะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
แต่ในทางปฏิบัติกลับยากยิ่ง
เพราะภาวะแห่งระบอบการรวมศูนย์อำนาจในอดีตได้เกิดการพังทลายแล้วโดยธรรมชาติทั้งวัยและเวลาที่โลกได้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์และไม่มีประเทศมหาอำนาจใดๆในโลกนี้สนับสนุนการทำรัฐประหาร
จึงเป็นผลให้องคาพยพต่างๆไม่มีใครกล้าที่จะประกอบอาชญากรรมแห่งรัฐที่ร้ายแรงที่สุด
เพราะการรัฐประหารวันนี้มิใช่เป็นเพียงกบฏภายในราชอาณาจักรหากแต่เป็นกบฏต่อระบอบเศรษฐกิจการเมืองโลกที่เรียกว่า
“โลกาภิวัฒน์” อีกด้วย อีกทั้งกองกำลังทหารหลักในกองทัพไทยก็เกิดภาวะตาสว่างร่วมกับประชาชน
โดยเห็นว่าการพัฒนาสังคมที่จะนำความอุดมสมบูรณ์และเป็นธรรมมาสู่ประชาชนได้นั้นคำตอบอยู่ที่ระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น
แต่แม้หากจะมีทหารบางกลุ่มที่มีภาวะทางจิตผิดปกติที่จะกระทำการรัฐประหารขึ้นก็เชื่อแน่ว่ากำลังทหารส่วนใหญ่จะทำการต่อต้านการรัฐประหารแต่แม้จะปฏิเสธอำนาจการบังคับบัญชาไม่ได้ก็จะเกิดการวางเฉย
และยิ่งภาวะปัจจุบันได้เกิดการตื่นตัวของประชาชนคนเสื้อแดงโดยเกิดการจัดตั้งทางความคิดและจัดตั้งองค์กรกระจายตัวกันทั่วประเทศเพื่อต่อต้านการรัฐประหารอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยแล้ว
ก็น่าเชื่อว่าผู้กระทำการยึดอำนาจในภาวะอำนาจรวมศูนย์พังทลายดังกล่าวข้างต้นจะไม่สามารถรักษาอำนาจจากการรัฐประหารไว้ได้และจะเกิดภาวะการที่เรียกว่า
“รัฐประหารซ้อน” ของทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่รอจังหวะเสียบหลังและอาจจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่ควบคุมยากยิ่ง
ดังเช่นที่เกิดในหลายประเทศในกลุ่มประเทศอาหรับ
ยิ่งวันนี้คณะผู้ยึดอำนาจต้องประสบกับภาวะหน้าแหกเรื่องทุจริต
CTX 9000 ด้วยแล้ว คณะผู้ยึดอำนาจก็ยิ่งปวดหัวหนัก
ในบรรดาเหตุผลที่แอบอ้างเพื่อทำรัฐประหารจนเกิดการกลียุคของบ้านเมืองป่นปี้และเกิดการเข่นฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยนั้น
การจัดซื้อเครื่อง CTX 9000 ราคาประมาณ 600 ล้านบาท
ซึ่งเป็นเครื่องตรวจอาวุธติดตั้งที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นรูปธรรมหนึ่งในหมวดของการแอบอ้างว่ารัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
มีการทุจริต ซึ่งในโอกาสครบรอบ 6 ปีของการรัฐประหารนี้นอกจากยังหาความผิดใดๆตามที่เคยตะโกนโกหกประชาชนไว้ว่าทักษิณทุจริตได้แม้แต่เรื่องเดียว
โดยเฉพาะล่าสุดจากการวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ว่าไม่มีการทุจริตในการสั่งซื้อเครื่อง CTX 9000 ดังกล่าวด้วยแล้วคณะรัฐประหารตัวจริงก็หมดความชอบธรรมที่จะทำลาย
พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว
คำวินิจฉัยของ
ป.ป.ช.ที่ศาลเป็นผู้แต่งตั้งและส่วนใหญ่เป็นผู้พิพากษานั้นเกิดขึ้นหลังจากผลคำวินิจฉัยที่ทางสหรัฐอเมริกาประกาศแล้วว่า
จากการตรวจสอบหลักฐานทางบัญชีของการจัดซื้อจัดจ้างที่สหรัฐอเมริกาแล้ว “ไม่พบการทุจริต” ดังนั้นคำวินิจฉัยของ
ป.ป.ช.ที่เกิดขึ้นจึงมิใช่เหรียญตราประดับเกียรติคุณความมีคุณธรรมให้แก่ศาลและหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงแต่อย่างใด
หากแต่เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. ไม่อาจจะฝ่าฝืนหลักฐานและสายตาประชาชนที่จับจ้องได้
และจากเหตุการณ์คำวินิจฉัยนี้ได้กลายเป็นพันธนาการมัดกลุ่มตุลาการชั้นผู้ใหญ่ที่เข้าร่วมการรัฐประหารอย่างดิ้นไม่หลุดท่ามกลางเสียงสาปแช่งของประชาชนที่เรียกร้องความรับผิดชอบของศาลที่ชอบกล่าวอ้างคุณธรรมแต่กลับกระทำผิดฝ่าฝืนคุณธรรมอย่างร้ายแรงที่สุด
คือ “การก่ออาชญากรรมต่อบ้านเมือง” ด้วยการโกหกสารพัดนับตั้งแต่ 19 กันยายน 2549
และกระทำผิดต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้
แม้ว่าจะเกิดภาวะเน่าเฟะของการรัฐประหาร
6 ปี จนผู้คนตาสว่างกันทั่วประเทศแล้ว
แต่ก็ยืนยันได้ว่าสงครามไล่ล่าทักษิณยังไม่เลิกง่ายๆ
เพราะเนื้อแท้ของการยึดอำนาจอยู่ที่ต้องการทำลายตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เมื่อคณะตุลาการภิวัฒน์ยังหาความถูกต้องชอบธรรมตามคำกล่าวอ้างในวันยึดอำนาจเรื่องการทุจริตที่โกหกสังคมไทยไว้ไม่ได้ก็เชื่อแน่เหลือเกินว่าศาลในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงจะต้องตามล่าหาความผิดยัดให้
พ.ต.ท.ทักษิณต้องมัวหมองให้ได้
Red Power ฉบับที่ 20 ประจำเดือนกันยายน 2554
ได้เคยพาดหัวไว้ในโอกาสครบรอบ 5 ปี รัฐประหารว่า “5 ปี 19 กันยา ตาสว่าง
ปัญหาไม่ใช่ตัวทักษิณ แต่เป็น...?” นั้นเมื่อถึงวันนี้ข้อความที่พาดหัวดังกล่าวยิ่งถูกต้องชัดเจนยิ่ง
ดังนั้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณยิ่งจะรุนแรงยิ่งขึ้น
และจะยิ่งก่อการปะทุให้เกิดแก่สังคมไทยมากยิ่งขึ้นเพราะขณะนี้ “ตุลาการภิวัฒน์” ได้พังทลายกลายเป็น “ตุลาการวิบัติ” แล้วและยังหาทางลงไม่ได้ แม้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ได้ยื่นบันได (พ.ร.บ. แก้ไขรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ)
ที่ประดับด้วยช่อดอกไม้ให้ไต่ลงแล้วแต่ฝ่ายตุลาการผู้มัวเมาในอำนาจกลับแข็งขืนไม่ยอมเดินลงและยังแสดงบทยักษ์มารต่อไป
เพื่อจะฆ่าทักษิณเซ่นสังเวยบูชายันต์เพื่อล้างอายการกระทำผิดของตัวเองให้ได้ต่อไป
ดังนั้น
แม้เหตุการณ์การยึดอำนาจจะผ่านมาถึง 6 ปีแล้วก็ตาม แต่พิมพ์เขียวที่ผู้สั่งการได้วางแผนไว้บนหอคอยงาช้างอย่างสวยหรูว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผน
แต่จนถึงวันนี้ศาลที่ถูกใช้ให้เป็นผู้กระทำการรัฐประหารดูเหมือนว่ากำลังลุยหล่มโคลนที่กลายเป็นบ่อโคลนดูด
ที่เดินต่อไปก็จะยิ่งถอนตัวไม่ขึ้นและจะถูกบ่อโคลนดูดจนจมหายไปในที่สุดจนกลายเป็นที่มาของคำว่า
“รัฐประหารศาลละลาย”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น