ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 379 วันที่ 29 กันยายน-5 ตุลาคม 2555 หน้า 5 คอลัมน์ ถนนประชาธิป โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
กรณีของปัญหาเริ่มจากนายคณิต ณ นคร
ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)
กล่าวในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555 ว่าได้เขียนบันทึกส่วนตัวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษต้องรู้จักคำว่าเสียสละ
แม้จะไม่กลับประเทศก็สามารถเป็นรัฐบุรุษได้เช่นกัน เหมือนนายปรีดี พนมยงค์
ที่ทำงานเพื่อประเทศโดยที่ไม่เคยกลับประเทศ เพียงเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ
ข้อเสนอของนายคณิตได้รับการวิจารณ์ทันทีว่าเป็นข้อเสนอที่มาจากความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด
และยังไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงของสังคมไทย
ส่วนหนึ่งมาจากทรรศนะของนายคณิตเองที่เห็นว่า
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น
แต่เป็นทรรศนะแบบด้านเดียว
เพราะปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ฝ่ายอำมาตยาธิปไตยและกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนการรัฐประหารก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นในรายงานของ คอป.
เองก็ระบุว่าสังคมไทยมีปัญหารากฐานในทางเศรษฐกิจและสังคมจำนวนมาก เช่น
ปัญหาช่องว่างระหว่างรายได้ ปัญหาความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท
ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง ฯลฯ
กรณีเหล่านี้คงแก้ไม่ได้ด้วยการเสียสละของ พ.ต.ท.ทักษิณ
แต่ที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์นั้นนายปรีดีต้องเดินทางออกจากประเทศเพราะถูกรัฐประหารเมื่อวันที่
8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
ในครั้งนั้นกำลังของฝ่ายรัฐประหารใช้รถถังบุกทำเนียบท่าช้างอันเป็นที่พำนักของนายปรีดี
ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยออกจากประเทศ
หลังจากนั้นนายปรีดีพยายามที่จะกลับประเทศหลายครั้ง
ครั้งสำคัญก็คือได้เดินทางกลับมาเพื่อยึดอำนาจคืนในกรณี “ขบวนการประชาธิปไตย 26
กุมภาพันธ์ 2492” แต่ล้มเหลว ถูกปราบปรามอย่างหนัก ซึ่งกรณีนี้รู้จักกันในนามว่า
“กบฏวังหลวง” นายปรีดีต้องหลบซ่อนอยู่ในบ้านแถวฝั่งธนบุรี 6 เดือน
จึงหลบหนีออกไปได้ และไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย
ประเด็นสำคัญต่อมาคือนายปรีดีถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมสร้างคดีใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่
8 และใช้ศาลเป็นเครื่องมือในการตัดสินประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ 3 คนคือ นายชิต
สิงหเสนี, นายบุศย์ ปัทมศริน และนายเฉลียว ปทุมรส
เพื่อเป็นการข่มขู่ไม่ให้นายปรีดีกลับประเทศ
ความจริงแล้วเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในเรื่องของนายปรีดีมีบทเรียนอันอุดม
จากการที่นายปรีดีมีพื้นฐานเป็นลูกชาวนา
แต่อาศัยความสามารถทางการศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสจนได้ไปศึกษาในต่างประเทศ
และกลายเป็นคนแรกของประเทศไทยที่สำเร็จถึงขั้นปริญญาเอกวิชากฎหมายจากประเทศฝรั่งเศส
แต่นายปรีดีมิได้มุ่งที่จะนำเอากฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจชนชั้นนำสถาบันหลักและทำร้ายประชาชนเหมือนนักกฎหมายจำนวนมากในยุคปัจจุบัน
หากแต่ต้องการใช้กฎหมายในการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม
และในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย นายปรีดีได้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร
ซึ่งกลายเป็นสมาคมที่มีบทบาทนำในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตยเมื่อวันที่
24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นายปรีดียังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอีกหลายประการในการสร้างระบอบใหม่
ตั้งแต่การมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้กันต่อมา
มีส่วนในการปฏิรูปกฎหมายให้ประเทศไทยมีความทันสมัย และมีระบอบนิติรัฐอย่างแท้จริง
จากนั้นก็เป็นผู้ผลักดันหลักการปกครองท้องถิ่นเพื่อการกระจายอำนาจ
เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศที่เดินทางไปเจรจาเลิกสัญญาไม่เป็นธรรมกับมหาประเทศ
ทำให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์ เป็นผู้ผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจ
สร้างเศรษฐกิจชาตินิยม สร้างระบบภาษีใหม่ให้มีความเป็นธรรม และเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ
เป็นต้น
ต่อมาเมื่อเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา
นายปรีดีได้รับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัชกาลที่ 8
และกลายเป็นผู้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทย
ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากฐานะที่จะเป็นผู้แพ้ในสงครามโลก
เป็นผู้ผลักดันให้การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2488 เป็นต้นมา
และเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8
เสด็จนิวัติพระนครก็ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐบุรุษอาวุโสและเป็นนายกรัฐมนตรี
จึงสรุปได้ว่านายปรีดีมีบทบาทสำคัญและสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทยเป็นอย่างมาก
ความเป็นนักประชาธิปไตยของนายปรีดียังเห็นได้จากความพยายามในการประนีประนอมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
โดยการนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองฝ่ายนิยมเจ้าเมื่อ พ.ศ. 2488
และยังเปิดให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมออกหนังสือพิมพ์เพื่อเผยแพร่แนวคิดของตนและให้ตั้งพรรคการเมืองลงแข่งขันในการเลือกตั้ง
โดยหวังว่าจะใช้กติกาประชาธิปไตยเข้ามาคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง
หมายถึงว่าถ้าพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้รับความนิยมจากประชาชนด้วยคะแนนเสียงที่มากเพียงพอก็สามารถเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้เช่นกัน
แต่กรณีนี้กลายเป็นความผิดพลาด
เพราะกลุ่มอนุรักษ์นิยมมิได้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย
เมื่อเปิดทางให้ฝ่ายนี้มีบทบาททางการเมือง
กลุ่มอนุรักษ์นิยมก็ใช้การเมืองแบบใส่ร้ายป้ายสีเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของนายปรีดีและรัฐบาลพลเรือน
โดยเฉพาะการสร้างกระแสใส่ร้ายเรื่องกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8
จากนั้นก็สนับสนุนให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารเพื่อทำลายคณะราษฎร ฉีกรัฐธรรมนูญ
และทำลายประชาธิปไตย ผลจากการรัฐประหารนี้เองที่ทำให้ปรีดี พนมยงค์
ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศดังที่กล่าวมา
ดังนั้น ถ้า
พ.ต.ท.ทักษิณจะรับบทเรียนจากนายปรีดีคงไม่ใช่เรื่องการลี้ภัยไปต่างประเทศโดยไม่กลับตามที่นายคณิตเสนอ
แต่เป็นเรื่องที่ต้องสรุปว่าพวกอนุรักษ์นิยมอำมาตยาธิปไตยนั้นไม่มีแนวคิดประชาธิปไตย
ชอบสนับสนุนการรัฐประหาร เข่นฆ่าประชาชน และไว้ใจไม่ได้
คนเหล่านี้ชอบอ้างสถาบันหลักเพื่อใส่ร้ายทำลายผู้บริสุทธิ์
ดังนั้น
ถ้าหากต้องการปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะต้องอาศัยการสนับสนุนจากประชาชนไปดำเนินการ
การประนีประนอมอ่อนน้อมต่อฝ่ายกระแสหลักนั้นไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด
บทเรียนในระยะ 6 ปีสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณเองก็บอกความข้อนี้
เพราะถ้าหากไม่มีการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของประชาชนคนเสื้อแดง
พ.ต.ท.ทักษิณคงหมดบทบาทไปแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ก็คงไม่สามารถมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้
กลุ่มชนชั้นนำอำมาตยาธิปไตยก็คงมีอำนาจนำได้อย่างสมบูรณ์
การตื่นตัวและการต่อสู้ของประชาชนจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญแห่งอนาคตที่จะทำให้สังคมไทยก้าวหน้าต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น