งานเสวนา "จากแบ่งแยกดินแดนถึงการกระจายอำนาจ
ความเป็นไปได้ ณ ปัจจุบัน" เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2555
ณ ร้าน Book Re:public
ที่มา เว็บไซต์ประชาธรรม
เมื่อวันที่
22 พฤษภาคม 2555 ปัตตานีฟอรั่ม(Patani Forum) ร่วมกับร้านหนังสือ Book Re:public จัดงานเวทีสาธารณะ
"Patani Cafe @Chiangmai" เสวนาเรื่อง"จากแบ่งแยกดินแดนถึงการกระจายอำนาจ ความเป็นไปได้ ณ ปัจจุบัน"
นายดอน ปาทาน
นายดอน
ปาทาน ผู้สื่อข่าวอาวุโส เดอะเนชั่น กล่าวว่า
หากลองมองอาเซียนโดยเอาเส้นแบ่งเขตแดนออก แล้วใช้วัฒนธรรม อัตลักษณ์เป็นอาณาเขต
จะเห็นความเป็นอัตลักษณ์ข้ามพรมแดน ฉะนั้นเวลามอง 3
จังหวัดชายแดนใต้จึงไม่ควรมองเฉพาะส่วนที่อยู่ฝั่งไทย
"กบฏ"
หรือ "ความรุนแรง"ในภาคใต้ เป็นเรื่องของการเจรจาต่อรองที่ยังไม่จบ
ความรุนแรงเป็นบทสะท้อนของ "การทูตที่ล้มเหลว"
คนทั่วไปมักจะมองไปไม่ถึงเนื้อหาของปัญหาชายแดนใต้
โดยมักจะมองว่า คนสอนศาสนาอิสลามผิด เป็นโจร หลงศาสนาตัวเอง
สำหรับตนคิดว่าปัญหาชายแดนใต้อยู่ที่ปัญหาอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับอัตลักษณ์ของมาลายูมันชนกัน
ไม่สามารถไปด้วยกันได้ "เรื่องเล่า"ทางประวัติศาสตร์ก็ไม่ไปด้วยกัน
ถ้าหาจุดต่อรองไม่ได้ความรุนแรงนี้ก็ไม่หยุด
เพราะผู้ก่อความรุนแรงก็ใช้จิตวิญญาณของอัตลักษณ์และเรื่องเล่าที่ต่างกันในการสร้างรุ่นใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ
ไม่ได้ใช้ศาสนาสร้าง
มีหลายเรื่องที่คนทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับปัญหา
3 จังหวัดชายแดนใต้ ข้อหนึ่ง คือ หลายคนมักจะมองว่าเป็นเรื่องศาสนามุสลิมตีกับศาสนาพุทธ
ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเรื่องของชาติพันธุ์และชาตินิยม
อีกเรื่องหนึ่งคือคิดที่ว่าความรุนแรงเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี
2004 ซึ่งถ้าย้อนดูแล้วจะเห็นว่า กลุ่มกบฏที่จับอาวุธขึ้นมาอย่างปูโร บีอาร์เอ็น
บีอาร์พีพี เริ่มมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 60
ซึ่งตนอยากให้นักวิชาการย้อนดูเหมือนกันว่าตอนกลายเป็นรัฐไทยใหม่ทำไมอยู่กันได้ถึง
60 ปี เขามีกระบวนการเจรจาต่อรองกันอย่างไร
เรื่องต่อมา
คือ มักจะคิดว่าเด็กวัยรุ่นติดยา หลงศาสนา
รวมถึงมักมองว่ากระบวนการนี้เป็นกระบวนการเดียวกัน มีผู้นำและองค์กรชัดเจน
ซึ่งตนเห็นว่ามีช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่
มีกลุ่มรุ่นเก่าที่วางอาวุธในช่วง "ใต้ร่มเย็น" แล้วไม่ได้จับอีกเลยก็มี
มีบางกลุ่มที่ไปอยู่ต่างประเทศแล้วพยายามติดต่อกับนักรบในพื้นที่และรัฐบาลเพื่อทำกระบวนการสันติภาพก็มี
อีกเรื่อง
คือ คนทั่วไปมักคิดว่า คนจาก 3 จังหวัด 4
อำเภอชายแดนใต้อยากจะแยกประเทศไปอยู่กับมาเลเซีย ซึ่งไม่ใช่เลย
คนสามจังหวัดยอมที่จะอยู่กับรัฐไทยแต่ต้องอยู่บนเงื่อนไขของเขา
ไม่ใช่บนเงื่อนไขของกรุงเทพฯ คือ มีอัตลักษณ์ มีเรื่องเล่ามีฮีโร่ที่เป็นของเขา
อีกประเด็นที่มักเข้าใจผิดกัน
คือ พวกกลุ่มนักรบผลิตโดยปอเนาะห์ โรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ซึ่งก็ไม่จริง
เท่าที่ตนได้ตระเวนไปตามหมู่บ้าน ร้านน้ำชาคึกคักกว่าปอเนาะห์อีก
ซึ่งแน่นอนว่ามีเด็กจากปอเนาะห์เข้าร่วม แต่ก็จะเป็นกลุ่มเล็กๆหลายกลุ่ม มาหลายที่
ในทางสาธารณะรัฐบาลมักจะอ้างว่าไม่คุยหรือเจรจาต่อรองกับกลุ่มพวกนี้
แต่ความจริงแล้วตั้งแต่ปี 1980 มีการบินไปคุยกันที่ต่างประเทศตลอด
แล้วเรื่องก็เงียบหายไปเกือบสิบปี พอปี 2004 ก็ปะทุขึ้นมาอีก ปี 2005
มีการคุยที่ลังกาวีโดยนายกฯต่างประเทศมาเลเซียจัดให้
คุณอานันท์(ปัญญารชุน)ไปรับข้อเสนอแต่ก็ไม่เกิดอะไรเพราะ
รัฐบาลสมัยทักษิณมั่ววุ่นอยู่กับการเมืองในประเทศ
มีการเจรจาต่อรองตลอดแต่ไม่สำเร็จเพราะพยายามจะต่อรองครั้งเดียวให้จบ
ซึ่งตนคิดว่าการต่อรองไม่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคลอย่าง ทักษิณ หัวหน้าผู้ก่อความรุนแรง
แต่ขึ้นอยู่กับสังคม เวลาต่อรอง ต้องต่อรองกับสังคม ต้องทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเป็นเจ้าของประเทศ
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนเป็นเมืองขึ้น มีทหาร 30,000 กว่าคน
มีเจ้าหน้าที่ที่ติดอาวุธอีก 30,000 กว่าคน อยู่ในเมือง
หลายคนมักเสนอ
"เขตปกครองพิเศษ" เพื่อเป็นทางออกของปัญหา3จังหวัดชายแดนใต้
แต่ถ้าเราดูการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทุกพรรค ยกเว้นประชาธิปัตย์ชูนโยบาย
"นครปัตตานี" แต่ก็ไม่มีใครได้เก้าอี้ เพราะหลังจากกรณีตากใบ
พิสูจน์แล้วว่าระบบสภานั้นล้มเหลว
ฉะนั้นการจะแก้ไขปัญหาต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ที่ออกไปจากกรอบนี้
จะหวังพึ่งเพียงแค่ ศอบต. ไม่ได้ เพราะทำตามแต่ระบบราชการ
"เขตปกครองพิเศษอาจจะดีก็ได้
แต่ผมยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมเคยสัมภาษณ์กบฏบีอาร์เอ็นที่ต่างประเทศ เขาตอบว่า
ไม่รู้ว่าเขตปกครองพิเศษหมายความว่าอะไร ปัญหาของเรามันเป็นเรื่องศักดิ์ศรี และ Space(พื้นที่-ประชาธรรม)
มีถนนของเราไหม มีชื่อผู้นำของพวกเราไหม ชื่อหมู่บ้านบางหมู่บ้านก็เปลี่ยนชื่อเป็นไทย...คือเขาไม่มีส่วนร่วม
ไม่มีความเป็นเจ้าของ"
นายชำนาญ จันทร์เรือง |
ายชำนาญ
จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า
เชียงใหม่มีประวัติศาสตร์ไม่ต่างจากที่ปัตตานี แนวคิดการจัดการตนเองมีมานานแล้วหลายสิบปี
แต่สิ่งที่เป็นตัวเร่งให้เกิดร่างพ.ร.บ.เชียงใหม่มหานครฯคือสถานการณ์การเมืองเหลือง-แดงในช่วงที่อภิสิทธิ์เป็นนายก
เนื่องจากเมื่อนายกฯจะลงพื้นที่ก็มีม๊อบมาต้านตลอด
คนที่เดือดร้อนก็คือคนเชียงใหม่ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงที่ไม่ประกอบธุรกิจไม่ได้
จึงนำมาสู่การคุยกันของคนเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง
(แต่กลุ่มที่ฮาร์ดคอก็ปฏิเสธที่จะคุย) ซึ่งประเด็นตรงกัน คือ
การรวมศูนย์อำนาจปัญหาที่ทำให้เราแก้ไขปัญหาของเราไม่ได้ ก็เลยมีการจัดเวทีพูดคุย
จนนำมาสู่การร่างพ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร
หลักการส่วนใหญ่ของพ.ร.บ.ฉบับนี้รับมาจากญี่ปุ่น
และกรุงเทพมหานคร แต่มันแตกต่างจากที่อื่นโดยมีหลักสำคัญอยู่ 4 ข้อ คือ หนึ่ง
ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค เหลือแต่ราชการส่วนกลางและท้องถิ่นเต็มพื้นที่
ไม่ใช่ไข่แดงแบบพัทยา แบ่งเป็นสองระดับ ข้างบนกับข้างล่าง ข้างบนเรียกว่า
"เชียงใหม่มหานคร"
ข้างล่างเรียกเทศบาล(อบต.เปลี่ยนเป็นเทศบาลหมด)โดยแบ่งหน้าที่กันทำชัดเจน
ไม่ได้หมายความว่าให้เชียงใหม่มหานครเป็นผู้บังคับบัญชาของเทศบาล
ระดับเชียงใหม่มหานคร หัวหน้าฝ่ายบริหารเรียกว่า
"ผู้ว่าราชการเชียงใหม่มหานคร" ในส่วนของฝ่ายบริหารจะทำทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุข
แต่จะไม่ยุ่งอยู่ 4 เรื่อง คือ การทหาร การต่างประเทศ ระบบเงินตรา การศาล
สอง
มีสภาพลเมือง เพื่ออุดช่องว่างจุดอ่อนระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน เช่นการซื้อเสียง
ขายเสียง การฮั้วกัน โดยมีตัวแทนจากกลุ่มอาชีพต่างๆ ทำหน้าที่ในการตรวจสอบติดตามเพื่อถ่วงดุลอำนาจการบริหาร
แต่ไม่มีหน้าที่ในการตัดสินเพราะมีองค์กรปปช.และศาลอยู่แล้ว
สาม
รายได้ภาษีอากรทั้งหลายจากที่เคยจัดสรรมาเป็นงบประมาณเชียงใหม่ ประมาณร้อยละ 25 เปลี่ยนใหม่เป็นรายได้ทั้งหมดร้อยละ
70 ให้ท้องถิ่น อีกร้อยละ 30 เก็บเข้าส่วนกลาง โดยให้ท้องถิ่นเป็นคนเก็บ
อีกอันหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ใช่ประเด็นหลักแต่ทุกคนใฝ่ฝันอยากให้เกิดขึ้น
คือ ตำรวจขึ้นอยู่กับท้องถิ่น จะมีองค์กรดีเอสไอก็ไม่มีปัญหา แต่จุดประสงค์หลัก
คือ แก้ไขปัญหาตำรวจคนเดียว ดูแล ตำรวจทั้งประเทศ 2-3 แสนคน
หลังจากยุบส่วนภูมิภาคแล้ว
ข้าราชการส่วนภูมิภาคสามารถเลือกได้ว่า จะกลับไปอยู่ส่วนกลางโดยสังกัดกระทรวง
ทบวงกรม หรืออยู่กับท้องถิ่นโดยขึ้นกับผู้ว่าฯ
ส่วนกำนัน
ผู้ใหญ่ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ปรับบทบาทเป็นฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อย
เป็นหัวหน้าฝ่ายตำรวจ
"ผมตอบแทนไม่ได้ว่า
(แนวคิดเรื่องการจัดการตนเอง) เหมาะหรือไม่เหมาะกับพื้นที่สามจังหวัด
แต่โดยธรรมชาติของคนไม่ว่าชาติไหน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สิทธิในการจัดการชีวิตตนเองในระดับหนึ่งต้องมี หลักร่วมกันต้องมี แต่ผมคิดว่าถ้ารวมกัน
3 จังหวัด ฝ่ายทหารคงระแวง โอกาสต้านคงเยอะ
แต่ถ้าใช้จังหวัดเป็นฐานแบบของเชียงใหม่ โอกาสจะเกิด จะง่ายกว่า"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น