นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 7 ฉบับที่ 358 วันที่ 5-11 พฤษภาคม
พ.ศ. 2555 หน้า 10
คอลัมน์
เพื่อชาติประชาชน
โดย Pegasus
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี ค.ศ. 1941 เยอรมันกับสหภาพโซเวียตขณะนั้นยังเป็นพันธมิตรกัน นาซีได้เข้าไปในเขตเคียฟและยูเครนไล่ต้อนชาวยิวตามชุมชนต่างๆตลอดรายทาง และให้ขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วร่วมกับตำรวจของรัสเซียในแต่ละเมืองยิงใส่ข้างหลังจนเสียชีวิตแล้วราดด้วยปูนขาวฝังกลบ คาดว่ามีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 1.5 ล้านคน
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยังใช้กระสุนยิงกราดชาวเมืองที่มายืนดูกันจำนวนมาก ผู้ถูกสังหารมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก แต่มีเด็กคนหนึ่งหนีรอดมาได้เพราะพ่อเอาตัวบังกระสุนไว้ โดยขุดดินแล้วหนีออกมา ซึ่งมีชาวโปแลนด์ 3 คนมาพบ คนหนึ่งเข้าใจว่าเป็นคนต่างศาสนาจากศาสนายูดายพูดว่า “นั่นพวกยิวนี่ หนีออกมาทำไม ทำไมไม่ไปอยู่ที่หลุมอย่างที่ควรจะอยู่”
ชาวบ้านที่เคยเห็นเหตุการณ์ต่างเล่าว่าการสังหารครั้งนั้นฆ่าแม้แต่เด็กเล็กๆที่บางคนยังถือขนมปังอยู่ตอนถูกยิง
คนเหล่านี้ที่อยู่ในชุมชนมีทั้งเป็นหมอ เป็นพยาบาล เป็นพ่อค้า เป็นครู เป็นเพื่อนนักเรียน และเด็กทารก รูปถ่ายคนตายสูงเป็นภูเขาเลากานั้นเป็นเสื้อผ้าและรองเท้าที่ถูกสั่งให้ถอดทิ้งไว้ก่อนจะต้อนลงไปในหลุม รูปทหารนาซียิงใส่ข้างหลังประชาชนที่ไม่มีอาวุธอย่างเหี้ยมโหดถูกแพร่กระจายออกไปทั่วยุโรป ชาวยิวเมืองแล้วเมืองเล่า ครอบครัวแล้วครอบครัวเล่า ต่างล้มตายลงไปโดยไม่มีความผิด ด้วยข้อกล่าวหาเป็นคนต่างลัทธิ ต่างชาติพันธุ์ และต่างความเชื่อ
ทหารเยอรมันที่เป็นคนยิงในรูปก็เห็นว่ายิงด้วยความเบื่อหน่าย เพราะแต่ละวันต้องยิงไปตามขั้นตอนจำนวนมากและสยดสยอง ท่ามกลางเสียงร้องโอดครวญและกรีดร้องที่โหยหวนของคนไม่มีทางสู้ แม้กระทั่งไฮน์ริช ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสที่เป็นหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาของนาซี ยังสั่งให้เปลี่ยนแปลงวิธีการใหม่ โดยใช้การสร้างค่ายกักกันและรมแก๊สแทน
คำถามสำคัญและน่าจะเป็นบทเรียนสำหรับสังคมไทยคือ อะไรที่ทำการล้างสมองทหารที่ปรกติควรสู้รบกับศัตรูที่มีอาวุธเท่าเทียมกันให้มาทำหน้าที่สังหารหมู่ประชาชนหรือล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันได้ขนาดนี้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งเราพอทราบกันดีว่านาซีใช้การล้างสมองประชาชนด้วยเทคนิคหลายประการ เช่นคำพูดของนาซีหน่วยหนึ่งที่ว่า
“I have for my leader;” said one leading Nazi to me, “a love which is as deep as my love for my country, and I have in him a faith than which no faith, even faith in religion, could be deeper. Hitler can never be wrong, and his orders I shall carry out to the death.” สรุปความได้ว่า “ชีวิตของเขาเพื่อท่านผู้นำ ความรักที่ลึกซึ้งเท่ากับความรักในประเทศชาติ เขารักด้วยศรัทธา และศรัทธายิ่งกว่าศาสนาเสียด้วยซ้ำ ฮิตเลอร์ไม่มีวันผิด และคำสั่งของท่านแม้ให้ไปตายก็ไม่ปริปาก”
ความเชื่อและความศรัทธาอย่างไม่มีเหตุผลนี่เองที่ทำให้คนเยอรมันได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุดชาติหนึ่งของโลก และกระทำเรื่องอัปยศอดสูที่สุดในโลก หรือกล่าวได้ว่าสุดจะโง่เขลาและน่าสมเพชที่สังหารประชาชนที่ปราศจากอาวุธ
ถ้าใครเห็นว่าการสังหารนั้นน่าสะอิดสะเอียนก็ถือว่าเป็นมนุษย์ปรกติ แต่ถ้าใครยินดีและสนับสนุนการสังหารแบบนั้นน่าจะมีความผิดปรกติและห่างไกลจากคุณธรรมของมนุษยชาติ จนไม่ควรแม้แต่จะเปิดปากพูด
กลับมาประเทศไทย มีทหารสารภาพกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าได้สังหารประชาชนผู้ปราศจากอาวุธ ซึ่งรวมถึงพยาบาลชื่อ “น้องเกด” น.ส.กมนเกด อัคฮาด เพราะได้รับคำสั่ง ซึ่งไม่ได้แตกต่างกับการล้างสมองของนาซีที่ปลุกเร้าให้ทหารอยากฆ่าประชาชนและยอมรับการปกครองที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนหลักของเหตุผลและประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ความเชื่อและความศรัทธาที่อิงลัทธิความเชื่อแบบไร้เหตุผลไม่ต่างจากนาซี รวมถึงการสาปแช่งด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ทราบว่ามีจริงหรือไม่ เพื่อเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองกำจัดศัตรูที่ขวางผลประโยชน์ รวมถึงความไร้เดียงสาหรือโง่เขลาของผู้ได้รับคำสั่งที่เหมือนสัตว์เลี้ยง พร้อมฆ่าคนด้วยสัญชาติญาณ
จึงให้ตระหนักไว้ว่าตราบใดที่สังคมไทยยังไม่ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ตราบนั้นการสังหารหมู่และการเข่นฆ่าประชาชนก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมจิตสำนึกของเสรีภาพที่ฝังลึกอยู่ในยีนที่เรียกว่า HFW บนปลายแขนของโครโมโซมที่ 22 ที่ทำให้มนุษย์ในสังคมต่างๆลุกขึ้นมาต่อสู้กับการกดขี่และล้างสมองทุกหนแห่งในโลก
อาการ “ตาสว่าง” ที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองและการเข้าใจความจริงนั้น
สังคมไทยถูกปกปิด บิดเบือน และหลอกลวงมาโดยตลอด คือกุญแจแห่งการบรรลุความสำเร็จในการสถาปนาประชาธิปไตยที่แท้จริงในอนาคต
ปฏิเสธอำนาจนอกระบบโดยไม่ย่อท้อ ไม่ว่าวีรชนจะต้องเสียสละไปอีกมากเท่าไรก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น