โดย ก.ไก่
“แข็งแค่ไหนก็แตกได้ ใหญ่ขนาดไหนก็พังเป็น”
สัจธรรมคำนี้คนใหญ่คนโตในเมืองไทยนั้นจงสำเหนียกเพราะตรงกับวลีทองก้องโลกของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง
ชาลส์ ดาร์วิน ที่กล่าวไว้ว่า
“สิ่งมีชีวิตที่อยู่รอดได้
ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดหรือฉลาดที่สุด
แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด”
ถ้าเอ่ยชื่อ “โนเกีย” (NOKIA) สาวแก่แม่หม้ายทั่วโลกใครก็รู้จักเพราะเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์ชื่อดังของประเทศนอร์เวย์
เริ่มผลิตโทรศัพท์มือถือให้ชาวโลกรู้จัก ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2530แต่เริ่มเป็นที่รู้จักและเริ่มใช้อย่างแพร่หลายเมื่อปี 2535 ผลิตโทรศัพท์มือถือให้คนทั้งโลกใช้กันนับเป็นหลายล้านเครื่องแต่วันนี้กำลังจะเจ๊งครับ
ขนาดบริษัทฟิล์มยักใหญ่ที่ทุกคนรู้จักดีอย่าง “โกดัก” ก็ยังเจ๊งอันนี้ก็พอเข้าใจเพราะใหญ่จริงแต่ไม่ยอมปรับตัว
ทั้งที่โลกทั้งๆที่ทั้งโลกเขาพัฒนาระบบการถ่ายรูปไปใช้ระบบดิจิตอลแทนระบบฟิล์มดังนั้นบริษัทโกดักผลิตฟิล์มขายมากมายแต่ก็มีอันพังพาบไปเรียบร้อย
แต่ที่น่าสนใจวันนี้มนุษย์ยังอยู่ในยุคของการสื่อสารและที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือเรื่องของโทรศัพท์มือถือ
ที่อยู่ๆ ทำไม “โนเกีย” ถึงจะใกล้เจ๊ง ก่อนอื่นเรามาดูข่าวที่น่าสนใจข่าวนี้ก่อนครับ
ฟิตซ์ หั่นเครดิตหนี้โนเกียเป็นBBB-
บ.ฟิตช์ เรตติ้ง
หั่นเครดิตหนี้ บ.โนเกีย สู่ระดับ BBB- (ความหน้าเชื่อถือทางความสารมารถในการชำระหนี้ระดับ
ทริปเปิล บี ลบ) หลัง สถานการณ์ของธุรกิจของโนเกียในปัจจุบัน กำลังลำบาก
และผลกำไรที่ย่ำแย่ในไตรมาสแรก
สำนักข่าว บลูมเบิร์ก รายงานว่า บ.ฟิทช์
เรตติ้ง เอเจนซี่ ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือหนี้สินของ บ.โนเกีย ผู้ผลิตโทรศัพท์ยักษ์ใหญ่ของฟินแลนด์
ลดสู่ระดับ BBB-
ซึ่งสะท้อนผลกำไรที่ย่ำแย่ในไตรมาสแรกของค่ายมือถือดังกล่าว
ซึ่งหมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกดาวน์เกรดเพิ่มอีกในอนาคต โดย ฟิตซ์
ระบุ ในแถลงการณ์ว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลดเครดิตซ้ำอีก โนเกีย จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงขนานใหญ่
ในครึ่งหลังของปีนี้ และครึ่งแรกของปี 2556
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บ.โนเกีย
ได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก ที่ย่ำแย่ที่สุดครั้งหนึ่ง โดยขาดทุนถึง 929 ล้านยูโร
ราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้
และคาดว่า แนวโน้มจะยังไม่เปลี่ยนแปลงในไตรมาสปัจจุบัน
เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ครับ
ตั้งแต่เข้าสู่ยุค 3G ต่อเนื่อง 4G ยอดขายของโนเกีย ก็ตกต่ำลงตาลำดับตั้งหลังปี 2553
ที่ผ่านมาเป็นยุคที่แม้แต่ “บิลเกตส์” ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ยังเคยกล่าวไว้ว่า
“ยุคหลังปี 2553 เป็นยุคของการ ทะลักล้นของข้อมูลและข่าวสาร” ทำให้เกิด นวัตกรรมใหม่ๆในการสื่อสารมากขึ้นจึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า
“สมาร์ทโฟน” ซึ่งรวมทุกๆอย่างไว้ในมือถือ แต่ในยุคก่อนปี 2553 โนเกีย
ก็ยังเป็นเจ้าตลาดมือถือแต่กลับไม่ได้พัฒนาอะไรให้แก่ผู้บริโภคมากนักจึงเป็นช่องว่างให้กับบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่อย่าง
“Apple (แอปเปิ้ล)” ซึ่งได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า iPhone
วางขายเป็นครั้งแรกเมื่อ 9 มกราคม 2550
ซึ่งรวมเอาเครื่องเล่นเพลง+กล่องถ่ายรูป+โทรศัพท์+เกมส์+อินเตอร์เน็ตผ่านระบบไร้สาย
(wifi) เอาไว้ด้วยกัน(เรียกได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์บนฝ่ามือเลยก็ว่าได้)
ทำให้ได้รับความนิยมอย่ารวดเร็วเพราะสิ่งที่ได้นั้นคุ้มค้ากับราคาที่จ่ายเพราะไม่ใช่เป็นแค่มือถืออีกต่อไป
แต่โนเกียก็ยังคิดว่ายังไม่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนอะไรมากนักเพราะยังฝันหวานกับตลาดที่กินสบายๆอยู่
ซึ่งในขณะนั้นก็ยังอยู่ในยุคของ 2G และกำลังเข้าสู่ยุคต้น
3G และโนเกียก็ประเมินแล้วว่า ไอโฟนราคาแพงเกินกว่าคนทั่วๆไปจะเป็นเจ้าของได้
แต่พอรู้ตัวอีกทีโนเกียก็ได้สูญเสียตลาดบนให้กับไอโฟนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อ
กลางปี 2551 แอปเปิ้ล ก็ได้ออก iPhone 3G ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลอินเตอร์เน็ตผ่านระบบสัญญาณมือถือได้รวดเร็วขึ้นเกือบจะเรียกได้ว่าเร็วเทียบเท่าอินเตอร์เน็ตบ้านเลยทีเดียว(เมืองนอกนะจ๊ะไม่ใช่เมืองไทย)
ทำให้เกิดการขยับตัวครั้งใหญ่ของผู้บริโภคทั่วโลก ประกอบกับใน 2552 โลกก็พัฒนาแข่งขันกันอย่างไม่หยุดยั้งแต่
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือยักษ์ฝรั่งยังมียักษ์เอเชีย” ยักษ์ใหญ่ตัวใหม่แห่งเอเชียนามว่า
ซัมซุง (Samsung) ได้ออกโทรศัพท์สมาร์ทโฟนชื่อ Samsung
galaxy s บนระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ (Android OS) ซึ่งระบบปฏิบัติการนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยยักษ์ใหญ่ด้านการค้นหาทางอินเตอร์เน็ตนามว่า กูเกิ้ล
(Google) ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Apple iPhone
3G แถมยังมีกล้องด้านหน้าและด้านหลังแต่ราคาถูกว่า iPhone ประมาณ 25% และยังได้สเปคที่สูงกว่า เลยทำให้ “โนเกีย” ต้องสูญเสียตลาดระดับกลางไปอย่างหน้าเสียดาย แถมซ้ำ Google Android OS และ Apple iOS ทั้งสองค่ายยังเปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟแวร์ผลิตซอฟแวร์เข้ามาขายหรือให้ใช้ฟรีๆ
ให้ลูกค้าของตนเองได้ดาวน์โหลดใช้กัน มีทั้งเกม, เพลง, ซอฟแวร์แต่งภาพถ่ายภาพ และซอฟแวร์ต่างๆ
ฯลฯ (จริงๆแล้วยังมีโทรศัพท์อีกเยอะที่เป็นสมาร์ทโฟน
แต่ผู้เขียนขออนุญาตกล่าวถึงเพียงแค่สองแบรนด์ดังนี่เท่านนั้น)
ขณะที่มีการแข่งขันกันอย่างหนักในการพัฒนาของสมาร์ทโฟน กว่าโนเกียจะรู้ตัวอีกที่ก็สายไปเสียแล้ว
และเมื่อก้าวเข้าปี 2553 แล้วแถมยังเกิดวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ในปี 2552ต่อเนื่อง2553
ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นวิกฤตการณ์เศรษฐกิจตกต่ำที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
แต่โนเกียได้สูญเสียตลาดบนที่สามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำได้อย่างสบายๆ
และตลาดกลางที่เป็นฐานผู้บริโภคสำคัญไปแล้ว คงเหลือตลาดล่างที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าแค่โทรออกรับสายได้ก็พอแล้ว
แถมยังต้องไปแข่งกับบริษัทใหม่ๆที่เกิดขึ้นอีกมากมาย จึงทำให้ประสบปัญหาอย่างหนักด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง
จนล่าสุดที่เป็นข่าวข้างต้น บ.ฟิตช์ เรตติ้ง หั่นเครดิตหนี้ บ.โนเกีย สู่ระดับ BBB-
ซึ่งเป็นระดับที่อาจะเสี่ยงต่อภาวะล้มละลายได้
นี่เป็นอุทาหรณ์ที่อำมาตย์ไทยต้องศึกษา ไม่ว่าจะเป็นอำมาตย์ใหญ่ฝ่ายขวาหรือซ้าย, อำมาตย์เหลืองหรือแดง ต้องเข้าใจว่าสรรพสิ่งในโลกล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไป เป็นเรื่องธรรมดา ขนาดยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่างโนเกียยังตกต่ำลงได้ถ้าไม่ปรับตัว ดังนั้นโนเกียก็เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการหลงลำพองในสิ่งที่ตนประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต แล้วไม่ยอมพัฒนาและไม่ยอมรับในสิ่งใหม่ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ตอนแรกอยากอ่านเหมือนกัน หัวข้อน่าสนใจดี
ตอบลบแต่พอเห็นขึ้นว่า โนเกียมาจากนอร์เวย์ เลิกอ่านเลย
แค่นี้ก็ไม่รู้จริงแล้ว ไม่ต้องห่วงเลยว่าเนื้อหาทั้งหมดที่จะกล่าวต่อไป
ต้องจับแพะชนแกะแน่นอน
นอร์เวย์ พ่อง!!! ไม่รู้จริงอย่าเขียนดีกว่ามั้งคุณ
ตอบลบควายเฮ้ย
ตอบลบแล้วทำไมจะต้องเอ่ยถึงอำมาตย์ด้วยคะ เกี่ยวไรกันอ่ะ ถ้าจะพูดถึงการเมือง คุณมึงก้ไม่ต้องแทรกเข้ามาในนี้สิคะ อยากอยู่นอร์เวย์หรือดูไบ หรือเขมรประเทศพ่องมึงก้กลับไปตายที่ประเทศนั้นนะคะ อย่าเกิดมาบนกล่าวชุ่ยๆให้หนักแผ่นดินไทยเลยจ้า
ตอบลบเขาเกิดที่ฟินแลนไม่ใช่หรอครับ โนเกียน่ะ เห็นว่าเคยทำพวก กระดาษ ด้วยมั้ง
ตอบลบสมน้ำหน้า ปากหมาดีนัก
ตอบลบ