Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

ถอดรหัสคึกฤทธิ์ใน “ไผ่แดง” (ตอนที่ ๒)


โดย จักรภพ เพ็ญแข จาก RED POWER ฉบับที่ 32 เดือนมกราคม 2556
ตอน ถอดรหัสคึกฤทธิ์ใน ไผ่แดง” (ตอนที่ ๒)
คอลัมน์ หนังสือกับประชาธิปไตย

 
 
ในบทต่อมาที่ชื่อ ข้าหวิดไม่แพ้ เป็นการแนะนำ แกว่น แก่นกำจร กับผู้อ่านอย่างเป็นทางการ ตัวละครที่ผู้เขียนกำหนดให้เป็นตัวแทนของลัทธิใหม่ทางการเมืองหรือคอมมิวนิสต์ คือนายแกว่นฯ คนนี้ เป็นกรณีคลาสสิคของการปั้น ผู้ร้าย แบบไทยๆ เพราะสุดท้ายผู้ร้ายคนนี้ก็กลับใจมาคิดอะไรอย่างเดิมๆ และรับใช้ทุกสิ่งทุกอย่างตามเดิม เป็นการกลับมาเป็นพระเอกตามคติไทยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ เปิดตัวนายแกว่นฯ ว่า

 
“...เขากลับเคยนึกฝันที่จะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีมีหน้ามีตา เขาเคยนึกว่าเขาจะไปศึกษาที่กรุงเทพฯ แล้วเข้ารับราชการ ได้มียศมีตำแหน่งมีบรรดาศักดิ์เป็นขุนหลวง มีทั้งเงินและอำนาจที่จะใช้คนอื่นอำนวยประโยชน์สุขให้แก่ตัวเขาเองได้ แต่ความปรารถนาอันหลงละเมอของเขานั้นได้ละลายหายสูญไปจนสิ้น เขาไปเรียนที่กรุงเทพฯ จริง แต่สอบตกย่อยยับอยู่บ่อยๆ จนระอา ต้องเลิกเรียนกลับบ้าน ระหว่างที่เขายังหนุ่มฉกรรจ์ พ่อแม่ก็ตายลง ทิ้งบ้านและไร่นาไว้ให้กับเขาผู้เป็นลูกคนเดียว ขณะนั้นเขาเป็นคนหนุ่มที่ยังอ่อนด้วยวัยและสติ มิได้นึกเฉลียวว่าทรัพย์สมบัตินั้นหมดไปได้ ถ้าหากใช้ด้วยความฟุ่มเฟือย แต่เขาก็เที่ยวเตร่คบเพื่อนฝูงและเล่นการพนันตามแบบอย่างที่คนหนุ่มชอบทำกัน ไร่นาที่เขาได้รับตกทอดมาจากพ่อแม่ก็หมดไปทุกที จนเหลือแต่นาอีกแปลงหนึ่งหลังบ้าน และตัวบ้านที่อาศัยอยู่ เพราะเหตุว่านายแกว่นเคยไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เขาจึงติดตามอ่านหนังสือที่มาจากกรุงเทพฯ โดยไม่ลดละ ชั้นบนของบ้านเขากองเต็มไปด้วยหนังสือต่างๆ ทั้งหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ และรายเดือน หนังสือเหล่านี้ นอกจากจะเป็นเพื่อนแล้ว ยังเป็นแสงสว่างฉายให้เขาได้เห็นชีวิตและความเป็นอยู่อันแท้จริงของสังคม หนังสือบางอย่างปลอบใจเขาให้รู้ว่าโชควาสนาอันอาภัพของเขานั้นมิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของเขาเองเลย แต่เป็นไปตามกำหนดของสังคมปัจจุบันและระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน สังคมที่ฟอนเฟะเหม็นเน่า น่าสะอิดสะเอียน และระบบเศรษฐกิจที่ทารุณขูดรีด ตั้งอยู่บนหยาดเหงื่อเลือดเนื้อและโครงกระดูกของคนเช่นเขา และชาวบ้านในบางนี้ ยกเว้นกำนันเจิมซึ่งเป็นตัวแทนของระบบศักดินาและสังคมที่น่ารังเกียจ และสมภารกร่างผู้เป็นทั้งตัวแทนของชนชั้นต่ำ ศักดินา และเป็นผู้ค้ายาเสพติดอย่างแรงคือ ศาสนา...

 

ตัวละครผู้ร้ายที่ท้ายเรื่องจะกลับมาเป็น พระเอก คนนี้ ถูกวางขั้นตอนของชีวิตให้สอดคล้องต่อความต่ำต้อยของชาวบ้านในสังคมแบบไทยเสียนี่กระไร อาวุธสำคัญ ๒ อย่างของการดำรงไว้ซึ่งสภาพนิ่งตายในสังคมไทยปัจจุบันอยู่ตรงนี้เอง หนึ่งนั้นคือความเชื่อว่าชาวบ้าน โง่ จน เจ็บ เพราะความเลวของตัวชาวบ้านเอง ไม่มีใครทำอะไรให้ และไม่มีใครที่ควรพุทโธ นานๆ ครั้งก็อาจจะขว้างเศษอาหารลงไปให้ด้วยความสมเพทเวทนาเท่านั้นเอง และสองคือความเชื่อว่าการเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมนั้น เกิดจากความล้มเหลวในชีวิตส่วนตัวของผู้เรียกร้อง และอาจจะเรียกร้องสิทธิด้วยความอิจฉาริษยาคนอื่นที่เขาขยันกว่าและมีความสามารถสูงกว่า ลัทธิบางอย่างเช่นคอมมิวนิสต์ก็มีไว้หลอกให้คนเหล่านี้ให้คิดโทษคนอื่นมากกว่าจะโทษตัวเอง โดยในตัวลัทธิไม่ได้มีคุณค่าหรือสาระสำคัญใดๆ อีกเลย ผมเองเคยศึกษาระบบการเมืองมาทุกระบบ และไม่ได้เห็นว่าลัทธิสังคมคอมมิวนิสต์แบบสุดขั้วจะเป็นคุณประโยชน์อะไรนักต่อสังคมมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นเพราะแนวคิดนั้นดีเกินกว่าที่ธรรมชาติและสันดานดั้งเดิมของมนุษย์จะอำนวยให้เป็นได้ แต่ผมก็คิดว่าผู้เขียนไม่ได้ให้ความเป็นธรรมนักต่อชาวบ้านที่ตั้งคำถามถึงระบอบการเมืองและเศรษฐกิจที่อยู่รอบตัวเขาว่าเป็นเหตุสำคัญเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาอยู่ในสภาพด้อยพัฒนาอย่างนี้หรือไม่

ไผ่แดง เขียนมานานขนาดไหนแล้ว แต่การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ชาวบ้านนิ่งตายต่อไปก็ยังไม่หยุดหย่อนและยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานความคิดไปจากเดิมเลย

ลองเปรียบเทียบกับ พ.ศ.๒๕๕๕ ดูก็ได้ วันนี้เรากำลังต่อสู้กับแนวคิดอะไร การที่มวลชนฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตยมีความเกลียดชัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอย่างรุนแรง ก็โยงได้ถึงเหตุผลในความเกลียดชังนั้นได้ไม่ยาก พูดไปพูดมาก็จะตีตราว่ามวลชนฝ่ายประชาธิปไตยนั้นโง่ รับสินบนนิดหน่อยจากระบบทักษิณอุปถัมภ์แล้วก็มาหลงรักเขาหัวปักหัวปำ และยืนยันให้สังคมกลับไปยืนอยู่ที่เดิมคือ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ โดยไม่ต้องมีคำว่า ประชาชน หรือ ประชาธิปไตย ต่อท้ายเลย ไม่ต่างอะไรจากเหตุผลที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ อธิบายปรากฏการณ์ส่วนตัวของ แกว่น แก่นกำจร แนวคิดที่ระบายออกมาทางองค์กรเฉพาะกิจอย่าง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ องค์การพิทักษ์สยาม ชี้สิ่งเหล่านี้ว่าไม่มีการพัฒนาขึ้นจากสังคมไทยสมัย ไผ่แดง เพียงใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยขึ้น

ใครที่อ่าน ไผ่แดง ในยุคนั้น โดยเฉพาะอ่านแล้วรู้สึกสนุกเข้าไส้และชื่นชมว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ช่างเข้าใจในจิตใจของชาวบ้านไทยเหมือนกับที่ผมเคยรู้สึก ย่อมจะคิดว่าสังคมไทยมีลักษณะพิเศษยิ่งไปกว่าสังคมอื่นใดในโลก โลกเขาเปลี่ยนมายอมรับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ ไทยไม่ต้องเพราะ เมืองไทยนี้ดี ตามที่โฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเวลา การเมืองของไทยก็ถูกวาดภาพให้ชั่วร้ายเลวทราม เพราะไม่ต้องการให้นักการเมืองมาแทนที่ผู้มีอำนาจเก่าๆ ที่ใครเลือกมาก็ไม่รู้ นี่คือวิธีสื่อสารที่ไม่มีความแตกต่างอะไรเลยจากวันที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ นั่งเขียนเรื่อง ไผ่แดง เป็นตอนๆ ให้กับนิตยสาร ชาวกรุง ซึ่งอยู่เครือเดียวกับ สยามรัฐ ที่ตัวเป็นเจ้าของ

อยู่มาวันหนึ่ง แกว่นก็เดินไปบ้านกำนันเจิม ใจคิดจะเอาเรื่องเต็มที่ เมื่อไปถึงแล้วก็เห็นกำนันกำลังสั่งการให้ลูกจ้างขนข้าวเปลือกออกจากลานนวดขึ้นฉางอยู่พอดี แกว่นจึงออกโรงทันที

ข้าวเปลือกนี่ท่านกำนันจะเก็บไว้ทำไม?” เขาถามขึ้น

อ้าว! กำนันออกอุทานแล้วก็มองหน้าเขาอย่างสงสัย ก็เก็บไว้กินบ้างทำบุญบ้าง เหลือก็ขาย เอ็งไม่รู้หรอกหรือ?”

ถ้าเป็นฉัน ฉันกินไม่ลงหรอกท่านกำนันเขาพูดเรียบๆ พยายามข่มความรู้สึกที่มีอยู่ในใจของเขาไว้

เอ๊ะ! เอ็งเป็นอะไรไปหรือแกว่นกำนันถามอย่างไม่เข้าใจ เจ็บไข้เป็นอะไรจนกินข้าวไม่ได้เชียวหรือ?”

ข้าวน่ะฉันกินได้หรอกแกว่นตอบ แต่ที่ฉันกินไม่ได้และไม่ยอมกินนั้นก็คือ แรงงานส่วนเกินของชนชั้นที่ถูกขูดรีด

อะไรนะ?” กำนันหย่อนตัวลงมานั่งแล้วเหลียวมามองดูเขาด้วยความสนใจ ในดวงตาของกำนันนั้นแสดงว่ามีความตกใจและความวิตกอยู่มาก อะไรนะแกว่น? ไหนว่าให้ข้าฟังอีกทีเถอะ ข้ามันแก่แล้ว หูเฟืองมันไม่ใคร่ดี ได้ยินอะไรมันเขวๆ อยู่บ่อยๆ

แกว่นกำหมัดแน่นแล้วก็ตอบกำนันว่า

ฉันว่า ว่าข้าวเหล่านี้เกิดจากแรงงานส่วนเกินของคนอื่น มันควรจะเป็นของคนเหล่านั้นจึงจะถูก แต่นี่มันกลายเป็นของกำนันไปเขาพูดพลางกวาดตาดูรอบๆ เจ้าถม เจ้าซ้อน เจ้าแทน และคนอื่นๆ อีกสองสามคนซึ่งรับจ้างกำนันขนข้าววางสัดวางถังลงและยืนฟังเขาอย่างสนใจ เจ้าถมพยักหน้าให้เขาทีหนึ่งเป็นเชิงให้ท้าย ส่วนเจ้าแทนนั้นเบือนหน้าไปถ่มน้ำลายอย่างแรงเป็นการสนับสนุนคำพูดของเขา

กำนันยกมือเกาหัวแล้วก็พูดว่า

แกว่น นี่ถ้าเป็นคนอื่นพ่อตีกบาลแยกไปแล้ว แต่เอ็งมันเหมือนลูกเหมือนหลาน ข้าจึงไม่ถือ เอ็งว่าอะไรของใครก็ไม่รู้มันเกินเข้ามาในข้าวของข้า...

แรงงานส่วนเกินแกว่นแนะให้

เออ! นั่นแหละกำนันตอบ ข้าจะว่าให้เอ็งฟัง ข้าอยู่บางนี้มาตั้งแต่หนุ่มก่อนเอ็งเกิด คนบางนี้เขารู้จัก ถ้ามีอะไรเกินก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ข้าเอง ถ้ามีอะไรเหลือกิน ข้าก็ทำบุญบ้าง แจกจ่ายไปบ้าง ไม่เคยเก็บสุมหัวให้มันรกบ้านอย่างข้าวที่กำลังขนอยู่นี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนก็ไม่ต้องเสียอัฐ เพราะบอกแขกช่วยกันตั้งแต่ดำไปจนเกี่ยวมานวดมาขนและขนขึ้นยุ้งฉาง เดี๋ยวนี้เสียอีก ข้าต้องจ้างคนมาเกี่ยวมานวดมาขน เพราะข้าทำเองไม่ไหว แก่ก็แก่แล้ว งานหลวงก็ยังมีจะต้องทำ แต่ไอ้ข้าวที่เห็นนี่มันก็ไม่มากมายอะไร ลำพังข้ากับลูกหลาน กินบ้างทำบุญบ้าง ก็เกือบจะไม่พอ แต่ข้าบอกว่า ในบางนี้แหละ ถ้าใครอดใครอยากก็มาเอาไปกิน ข้าไม่หวง...

 

หลังจากที่ตัวละครฝ่าย ลัทธิใหม่ และฝ่าย อำนาจเก่า เปิดฉากโต้วาทีกันเรียบร้อยที่ลานนวดข้าวของกำนันเจิม แทนที่เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตจนกลายเป็น การปฏิวัติ กลางหมู่บ้านไปในบัดดล ปรากฏว่าท่านกำนันท่านก็แสดงบทบาทของอำนาจเก่าที่เราคุ้นเคยกันมานาน ซึ่งอาจเรียกได้ว่ายุทธศาสตร์ ปรองดอง

 

เอาเถิด! เอาเถิด! แกว่นข้ายอมแล้ว ข้าไม่มานั่งค้าความกับเอ็งอีตอนนี้ล่ะ นี่แน่ะกระบุง เอ็งเอาไปตวงข้าวโน่น ส่วนไหนมันเป็นอะไรส่วนเกินของเอ็ง เอ็งก็ตวงเอาไป อย่ามัวชักแม่น้ำทั้งห้าอยู่เลย ตะวันก็บ่ายแล้ว เสียเวล่ำเวลาทำมาหากินของคนอื่นเขาเปล่าๆ เอ็งก็เหมือนลูกเหมือนหลานข้าคนหนึ่ง อยากได้อะไรทำไมไม่บอกข้าตรงๆ ข้าเคยหวงกีดกันเอ็งมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

กำนันยังเข้าใจฉันผิด...แกว่นพูดแล้วกวาดสายตาดูรอบๆ แต่คนที่กำลังฟังเขาอย่างสนใจเมื่อกี้นั้นได้พากันขนข้าวเข้ายุ้งต่อไปเสียแล้ว คงเหลือแต่เขายืนพูดอยู่กับกำนันเจิมคนเดียวจะมีประโยชน์อะไรที่เขาจะพูดต่อไปกับกำนันเจิม ซึ่งจะไม่มีวันเข้าใจอะไรได้ เพราะคนอย่างกำนันเจิมนี่แหละที่จำเป็นต้องชำระล้างบัญชีกัน ในที่สุด เมื่อวันนั้นมาถึง แกว่นกางแขนยกไหล่ แล้วหันหลังขบกรามแน่น ลงเรือกลับบ้าน...

 

ถึงเรื่องจะพักลงตรงที่แกว่นไม่ยอมแพ้ ยังต่อสู้อย่างทรหดในใจของตนเองที่ไม่มีใครรู้เห็น แต่ผู้เขียนยังอุตส่าห์เขียนให้ มวลชน หมดความสนใจในสิ่งที่แกว่นนำเสนอ โดยหันหน้าไปขนข้าวต่อ

นี่คือแนวคิดที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ ผู้คนที่เห็นแตกต่างไปจากมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยจำนวนหนึ่งยังที่รู้สึกว่ามวลชนฝ่ายนี้เป็นเพียงเด็กเล็กๆ ที่กำลังอาละวาดกระทืบมือกระทืบเท้าเพื่อจะเอาของบางอย่างที่ตัวต้องการเท่านั้น หากฝ่ายอำนาจเดิมยื่นความเมตตาปรานีลงมาให้ เหมือนท่านกำนันเจิมที่โยนกระบุงมาให้แกว่นเอาไปตวงข้าว มวลชนก็จะดีอกดีใจเหมือนเด็กได้ของเล่น และบ้านเมืองก็จะกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ไม่น่าแปลกใจที่ฝ่ายอำนาจเก่าลองมาแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะยอมให้ชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาล (แต่ไม่ให้อำนาจรัฐอย่างแท้จริง) เสนอคืนเงินหลายหมื่นล้านที่ยึดมาจากอดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อแลกกับการยุติความบาดหมาง ฯลฯ แต่ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเพียงกระบุงข้าวที่โยนลงมาให้เพื่อตัดความรำคาญและตัดปัญหาเท่านั้น แกว่นหันหลังและเดินกลับไปลงเรือนั้นถูกแล้ว แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ยังวาดภาพต่อมาว่าแกว่นเดินกลับไปท่ามกลางความไม่สนใจของคนอื่นๆ ที่คอยลุ้นระทึกอยู่ เสมือนจะพูดว่าทุกคนต้องการผลได้ของตัวเองเท่านั้นเอง หากหลักการของแกว่นกินไม่ได้เขาก็ไม่เอาด้วย และพร้อมจะกลับไปหากินกับระบบของกำนันเจิมอย่างเก่า

ปัญหาคือฝ่ายเขายังโยนกระบุงข้าวมาเรื่อยๆ จนปัจจุบัน มวลชนประชาธิปไตยนั้นสว่างจนไม่น่ากลัวแล้วว่าจะไปงับเหยื่อเขา แต่ผู้นำการเมืองและแกนนำการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ดูจะพอใจกันง่ายๆ นี่สิ ไม่รู้ว่าจะรับกระบุงข้าวจากมือกำเนินเจิมหรือจะหันหลังลงเรือและพายกลับไปสู่ที่ตั้งเพื่อการต่อสู้อย่างเป็นระบบต่อไปกันแน่ คำพูดคำนี้ยังมีอานุภาพนัก มักจะลอยมาทางอากาศเสมอๆ ว่า เอ็งก็เหมือนลูกเหมือนหลานข้าคนหนึ่ง อยากได้อะไรทำไมไม่บอกข้าตรงๆ...” อันเป็นของที่พึงระวัง

ท่ามกลางความตึงเครียดในหมู่บ้านไผ่แดง ก็ปรากฏว่าทุกข์ร่วมกันของชาวบ้านเกิดขึ้นมาตามการกำหนดของผู้เขียน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาทันทีว่าควรแก้ไขปัญหาข้อใดก่อนดี ตัวละครที่ไม่ได้แสดงในเรื่องนี้ แต่ถูกเอ่ยอ้างเป็นผู้ร้ายตัวจริงมีชื่อว่า เสี่ยเหล็ง ซึ่งจู่ๆ ก็ประกาศเป็นเจ้าของที่ดินผืนมหาศาลในหมู่บ้านไผ่แดง โดยอ้างว่าตัวเองมีโฉนดที่ดินที่แสดงกรรมสิทธิ์อย่างครบครัน ขอให้ชาวบ้านทุกคนที่ล่วงละเมิดเขาอยู่จัดการอพยพไปอยู่เสียที่อื่นโดยพลัน มิฉะนั้นจะให้นักเลงหัวไม้ถิ่นอื่นมาแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันให้แหลกไปข้างหนึ่ง

โดยที่เชื่อว่านายอำเภอก็เป็นคนของฝ่ายนายทุนขุนศึก กำนันเจิมก็เป็นคนของหลวงและช่วยหลวงขูดรีดชาวบ้านอยู่ทุกเช้าค่ำ สมภารกร่างหรือก็เป็นตัวแทนของศาสนาที่คอยหลอกลวงและเอาเปรียบมวลชนอยู่อีกแรงหนึ่ง แกว่น แก่นกำจร จึงตัดสินใจรวมพลหมู่ชาวบ้านเข้าสู้ในงานนี้เอง เขากระชับไม้เหลี่ยมในมืออย่างมั่นใจก่อนจะพายเรือไปยังวัดไผ่แดง (ซึ่งไปทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะสถานที่ที่กะว่าจะเผชิญหน้ากับสมุนของเสี่ยเหล็งก็มิใช่ที่วัด แต่เป็นที่โคกกอไผ่หลังวัด)

เมื่อไปถึง แกว่นก็ต้องแปลกใจเมื่อ กองทัพของเขาจำนวนหลายคนพากันมารวมตัวอย่างชุลมุนอยู่บนศาลาวัด ปรากฏว่า สมภารกร่างกำลังทำพิธีแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ กับชายฉกรรจ์ทั้งหลายกันอย่างคึกคักอยู่ ณ ที่นั้น จนแกว่นต้องเอ่ยอย่างถากถางออกมาว่า

 

กำลังโรยยาพิษอยู่ทีเดียวสมภาร!

 

สมภารกร่างทำเป็นหูทวนลมและออกปากว่าได้เก็บพระเครื่องไว้ให้แกว่นองค์หนึ่ง เพื่อให้อยู่ยงคงกระพันถ้าจะต้องเข้าตีกับพรรคพวกของเสี่ยเหล็ง แต่แกว่นก็มิได้หยุดหย่อน ยังอยากประคารมกับเกลอเก่าคือสมภารกร่างต่อไป ฉากละครฉากนี้จึงเกิด

 

สหาย! ขอให้เราพูดกันอย่างเพื่อนเถิด สหายจงอย่าฉวยโอกาสในเมื่อประชาชนเดือดร้อนคับขัน ประกาศลัทธิอันล้าสมัยของสหายเลย วันหนึ่งการกระทำของสหายเช่นนี้จะถูกจับได้ สหายจะต้องรับผิดชอบต่อชนชั้นกรรมาชีพ จริงนะสหาย! เราเตือนอย่างเพื่อน

ชาวบ้านหลายคนพึมพำแสดงความไม่พอใจที่ได้ยินนายแกว่นเถียงพระ และขณะเดียวกัน ขันติของสมภารกร่างก็แตกเปรี้ยงเหมือนใครทุบหม้อ พระกร่างผุดลุกขึ้นแล้วก็ร้องว่า

ไอ้แกว่น! เอ็งอย่ามาเบ่งที่นี่! ไอ้พวกนี้มันมาขอพระข้าเอง ข้าไม่ได้ไปชักชวนมัน มันบอกว่ามันจะไปตีกับพวกที่เข้ามารุกที่ไล่ที่ ข้าห้ามมันมันไม่ฟัง ไอ้ข้าก็เห็นใจ เพราะไอ้พวกนักเลงจากจังหวัดมาข่มเหงคนถึงไผ่แดง ถ้ากูไม่ได้นุ่งผ้าเหลือง กูก็จะไม่ยอมเหมือนกัน แต่จะให้กูไปตีกับเขาทั้งผ้าเหลือง กูไม่ไป กูก็ได้แต่ใช้อาวุธของกู เออ! พระเครื่องตะกรุดที่มึงไม่เอานี่แหละวะ เมื่อมึงไม่เอาก็ดีแล้ว แต่มึงอย่ามาดูถูก ออกไปเดี๋ยวนี้ ไอ้แกว่นออกไปให้พ้นวัดกู พาพวกมึงออกไปด้วย! ไป! ขืนอยู่ช้ามึงจะเจ็บตัว มึงอย่าประมาทว่ากูเป็นพระทำอะไรมึงไม่ได้ มึงอยากจะลองก็เอา!...

 

แต่ความเป็นละครคงจะไม่พอ เมื่อถึงเวลาจะตีกันจริงๆ เพราะเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เดินข้ามทุ่งมาแต่ไกล ผู้เขียนก็ให้แกว่นวิ่งเข้ามาคุกเข่าประณมมืออยู่ข้างสมภารกร่างและกระตุกจีวรเสียถี่ยิบ

 

“...ก่อนที่สมภารจะพูดอะไรทัน แกว่นพูดละล่ำละลักขึ้นก่อนว่า

หลวงพ่อครับ... หลวงพ่อ... ขอพระผมองค์ครับ เร็ว! มันมาโน่นแล้ว ขอผมองค์... ตะกรุดยังเหลือก็เอา!

สมภารกร่างคอหอยตีบตันพูดไม่ออก หูอื้อ นัยน์ตาลาย ล้วงลงไปในย่ามด้วยมือไม้อันสั่น หยิบพระส่งให้แกว่นแล้วก็เสกพึมพำไปตามเรื่อง แกว่นรับพระไปใส่กระเป๋าก้มลงกราบที่ตีนสมภาร แล้วก็วิ่งเหย่ากลับไปหาพวกพ้อง...

 

ทัศนะหนึ่งของผู้มีอำนาจแต่เดิม เมื่อเห็นประชาชนทวงถามสิทธิและเสรีภาพขึ้นมา คือคิดว่าประชาชนในท้ายที่สุดก็ต้องวิ่งกลับมาและตนเป็นที่พึ่ง ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยในหลายประเทศจึงกลายเป็นบันทึกแห่งความรุนแรงและการเสียเลือดเนื้อ เพราะฝ่ายประชาชนก็สู้เต็มที่ในขณะที่ผู้ครองอำนาจเดิมเกิดชะล่าใจหรือประมาทว่าผู้คนเขายังรักตนอยู่ ซึ่งมักเกิดขึ้นเพราะไปเผลอหลงเชื่อในการโฆษณาชวนเชื่อเกียรติคุณอันหนักหนาที่ตนสั่งทำขึ้นเอง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ใช้พระเครื่องและตะกรุดเป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งปันเจือจานระหว่างผู้มีอำนาจและมวลชน ซึ่งดูเหมือนจะมีคุณค่าทางใจมากล้นจนแม้สมภารกร่างยังหยิบพระส่งให้เกลอเก่าด้วยมือไม้สั่น และทำให้สาแก่ใจโดยเขียนว่า แกว่นรับพระไปใส่กระเป๋าก้มกราบที่ตีนสมภาร... ทั้งที่คำว่าเท้าหรือแทบเท้าก็น่าจะได้ความหมายอย่างเดียวกัน

มวลชนที่วิ่งกลับมากอดเท้าเขา เพื่อขอส่วนแบ่งที่เป็นเศษเนื้อข้างเขียง ควรรู้ด้วยว่าเขาเหยียดหยามขนาดที่คิดว่ามากอด ตีน เขาด้วยซ้ำไป

เรื่องทั้งหมดกลับจบลงด้วยดี เมื่อชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่เดินมานั้น ปรากฏว่าเป็นพวกของนายอำเภอที่กำนันเจิมไปตามมาช่วยระงับข้อพิพาทในไผ่แดง หาใช่นักเลงของเสี่ยเหล็งไม่ นายอำเภอไหว้สมภารกร่างแล้วก็ชี้ทางออกที่ฟังง่ายเสียเหลือเกิน ตามประสาคนที่แก้ไขปัญหาของชาวบ้านด้วยปาก นั่นคือบอกว่า กรรมการสอบสวนเรื่องที่ดินรายนี้จะมาถึงมะรืนนี้ ฉันรับรองจะไม่ให้ใครมาทำอะไรพวกเราได้... ราวกับว่าประเทศไม่รู้จักกี่แห่งที่เขาลุกฮือขึ้นฟาดกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินเขาโง่เง่าเต่าตุ่นแท้ๆ

ท้ายของบทที่สอง สมภารกร่างกลับเข้าไปสารภาพกับหลวงพ่อพระประธานว่าลืมตัวขาดความสำรวม

 

ขออภัยผมเถิดครับ หลวงพ่อ

ขออภัยฉันไม่ได้หรอกสมภารหลวงพ่อตอบ เมื่อรู้ตัวว่าอาบัติแล้วก็ต้องรีบปลง

หลวงพ่อครับ... หลวงพ่อสมภารกร่างพูดอึกอัก ผมอาบัติข้อไหนน่ะครับ

เอ! ไม่รู้สิสมภารหลวงพ่อว่า แต่ถ้าสงสัยก็ปลงอาบัติทุกกฎไปก็แล้วกัน รีบไปปลงอาบัติกับหลวงตาหรุ่มเสียไป๊!

 

การทำผิดผีทางการเมือง มักจะแตกต่างจากความผิดทางกฎหมายที่มักบอกกันได้ชัดเจนว่าผิดอะไรและผิดมากผิดน้อยอย่างไร เพราะการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจแท้ๆ เหมือนหมาที่มันถูกหมาอีกตัวฟัดเอาจนต้องยอมศิโรราบ มันก็จะลงไปนอนหมอบและยอมรับความผิดในทุกกฎทุกข้อเหมือนกัน เพราะมันต้องการโอกาสในทางการเมืองอีกครั้ง

แต่ในเมื่อมวลชนฝ่ายก้าวหน้าที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงในบ้านเมือง มองผู้นำฝ่ายเราอยู่อย่างตาไม่กระพริบ ข้อความข้างบนนี้ย่อมไม่ใช่คำแนะนำต่ออดีตนายกรัฐมนตรีที่ไหนทั้งนั้น.

 

(อ่านต่อฉบับหน้า)

*************************************************************************************************

 

คอลัมน์ "ร้านทีพีนิวส์แนะนำหนังสือ"

คีตกวีลูกทุ่ง... ไพบูลย์ บุตรขัน

"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลมิห่างหันเหไปจนไกล..." เพลงอมตะที่มีชื่อว่า "ค่าน้ำนม" จากฝีมือและหัวใจของครูเพลงที่ชื่อ ไพบูลย์ บุตรขัน เป็นเพียงเสี้ยวส่วนหนึ่งของอัจฉริยภาพอย่างไทยที่คนไทยจำนวนมากยังไม่รู้จัก น่าดีใจที่นักเขียนมือรางวัลและเป็นกวีเสื้อแดงที่น่าภาคภูมิใจอย่าง วัฒน์ วรรลยางกูร ได้เสียสละเวลามาค้นคว้า สัมภาษณ์ ครุ่นคิด และเรียบเรียงออกมาเป็นสารคดีประวัติที่อ่านสนุกไม่แห้งแล้ง เพราะเขียนด้วยฝีมือนักเขียนอาชีพ หนังสือที่ได้รับรางวัลจากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติเล่มนี้ย่อมเป็นการเล่าเรื่องของชีวิตหนึ่งที่เราได้เคยสัมผัสผลงานของท่านมาอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะแง่มุมของเพลง "ค่าน้ำนม" ที่ครูไพบูลย์ฯ เขียนเป็นของขวัญให้กับแม่ของท่านเอง ขณะที่เจ้าตัวไม่มีเงินที่จะซื้ออะไรให้แม่ผู้เป็นที่รักของตนเลย


 

การเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งฯ

เรามักพูดถึงการเลือกตั้งกันอย่างหยาบๆ ฉาบฉวย ในทำนองว่าการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้มวลชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งสามารถแสดงเจตนารมณ์ของตนได้ ในสังคมเผด็จการจึงสาละวนอยู่กับการเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้ง ไปจนถึงการเลือกตั้งที่ต้องโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม แต่อาจขาดความเข้าใจที่ลุ่มลึกเพียงพอ หนังสือรวมบทความของนักวิชาการต่างประเทศทั้ง ๔ คน และมีอาจารย์ประจักษ์ ก้องกีรติ เป็นบรรณาธิการเล่มนี้ เป็นการรวมดาราที่ศึกษาจนชำนาญในเรื่องของไทยศึกษา และลงไปเก็บข้อมูลในสนามอย่างท้าลุย ใครที่อยากรู้จักตัวเองว่าการเลือกตั้งในเมืองไทยเราเป็นกระจกสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยจริงหรือ ต้องจับเล่มนี้ขึ้นอ่าน อย่าให้การเมืองแดง เหลือง และหลากสีบังตาเราจนลืมศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์ของบ้านเมือง อยากรู้ว่าชนบทไทยรู้สึกนึกคิดจริงๆ อย่างไรเกี่ยวกับการเลือกตั้งไทยโดยตลอดมาก็ต้องอ่านในเล่มนี้เช่นกัน

ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น

ตบหน้าฉาดใหญ่ท่ามกลางสังคมอันฉ้อฉลของไทย เมื่อท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้ล่วงลับแล้วทั้งคู่ ได้เขียนพินัยกรรมด้วยสำนวนเรียบๆ แต่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งสังคมว่า "ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น" คนรุ่นหลังที่ไม่รู้ลึกว่าเหตุใดประโยคที่ดูเหมือนธรรมดานี้จึงไม่ธรรมดา และถึงกับทำให้กลุ่มคนเล็กๆ ที่นึกว่าตนเองเป็นเจ้าของประเทศไทยถึงกับนั่งนอนไม่ติดที่อยู่หลายสัปดาห์ หนังสือเล่มนี้นอกจากจะรวมเรื่องราวคำอธิบายการต่อสู้ของลูกผู้หญิงที่กร้าวแกร่งเสมอด้วยสามีของท่าน ยังเป็นที่รวมภาพประวัติศาสตร์อีกมากมายที่นักประชาธิปไตยทั้งหลายควรเก็บรักษาไว้ อย่างน้อยชีวิตของท่านก็เป็นกำลังใจอย่างสำคัญให้กับเราว่า สุภาพสตรีผู้สูญเสียสามี ลูกชาย ชื่อเสียงเกียรติยศไปทั้งหมดทั้งปวง ท่านรักษาจิตใจของท่านไว้ได้ด้วยอะไร


**************************************************************************

 

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

ถอดรหัสคึกฤทธิ์ใน “ไผ่แดง” (ตอนที่ ๑)


โดย จักรภพ เพ็ญแข จาก RED POWER ฉบับที่ 31 เดือนธันวาคม 2555

ตอน ถอดรหัสคึกฤทธิ์ใน ไผ่แดง” (ตอนที่ ๑)

คอลัมน์ หนังสือกับประชาธิปไตย

 

 

นักอ่านที่มีอายุเกิน ๔๐ ปี น่าจะคุ้นเคยกับงานเขียนที่โด่งดังมากอีกเรื่องหนึ่งของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นงานเขียนที่สะท้อนความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของตัวผู้เขียนและสังคมไทยได้ดียิ่ง ด้วยเป็นงานผสมผสานระหว่างการเล่าเรื่องของชาวบ้านอย่างมีชีวิตชีวาแบบที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ถนัดนัก กับการทำภารกิจต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุคที่ต่อมาเรียกกันว่า สงครามเย็นผู้เขียนจะรับงานจากใครมาเขียนหรือจะเขียนเองด้วยอุดมการณ์ฝ่ายขวาของตนก็สุดจะเดา รู้เพียงว่า งานที่เขียนเป็นตอนๆ ลงในนิตยสาร ชาวกรุงเล่มนี้กลายเป็นงานการเมืองเต็มรูปแบบที่รับใช้ผลประโยชน์ของฝ่ายหนึ่งในภาวะเผชิญหน้าในครั้งนั้นอย่างเต็มสูบ และที่น่าสนใจก็คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ไม่ค่อยได้พูดถึงงานชิ้นนี้ในเวลาต่อมานัก ผิดกับ สี่แผ่นดิน” “หลายชีวิต” “ห้วงมหรรณพและอีกหลายเล่มที่ผู้เขียนมักนำมาคุยถึงด้วยอารมณ์สนุกและภาคภูมิใจอยู่เนืองๆ ทั้งที่งานชิ้นนี้แพรวพราวไปด้วยศิลปะการประพันธ์อย่างยากที่จะหางานอื่นมาเปรียบได้ แถมยังเน้นอุดมการณ์แบบ ไทยที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ พยายามตีตราประทับเอาไว้ให้มั่นคง ทั้งความยอมรับในวิถีชีวิตแบบไทย รวมทั้งให้ยอมรับในความยากจนและความด้อยพัฒนาแบบสุดขั้ว การหลงรักในสถาบันกษัตริย์อย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่ต้องตั้งคำถาม ความเข้มแข็งของชาวบ้านในการต่อต้านลัทธิที่เห็นว่า แปลกปลอมเข้ามา แต่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ก็ไม่นิยมนำหนังสือเล่มนี้มาเอ่ยอ้างถึง ซึ่งทำให้น่าสงสัยว่างานชิ้นนี้อาจเป็นภารกิจเฉพาะหน้าที่ทำแล้วก็อยากให้ผ่านพ้นไปโดยไม่ต้องมานั่งจดจำกันอีก แบบที่ทางจิตวิทยาใช้คำว่ามีปมความผิดหรือ guilt complex

 

ไผ่แดงคือหนังสือเล่มที่ว่านี้

ผมอ่าน ไผ่แดงครั้งแรกมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมและอ่านอย่างชื่นมื่นสนุกสนานซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนถึงปัจจุบัน ความรู้สึกที่ไม่ได้เปลี่ยนแปรไปตามเวลาก็คือความชื่นชมในศิลปะของผู้เขียน ซึ่งสามารถนำความเป็น ชาวบ้านมาเล่าให้เราฟังอย่างสนุกสนาน แถมยังยิ่งใหญ่เกรียงไกรและกลายเป็นกลไกส่งเสริมระบอบรัฐไทยเพื่อสู้กับศัตรูหมายเลขหนึ่งในครั้งนั้นอย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก การเล่าถึงฉากหลัง การวางบุคลิกตัวละคร การเดินเรื่องอย่างฉับไวราวภาพยนตร์ ล้วนทำด้วยมือครู ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เขียนจะได้รับผลสัมฤทธิ์ในทางการเมืองสมตามความตั้งใจของตน

แต่เมื่อผมมาอ่านงานชิ้นนี้ซ้ำ ซ้ำในห้วงเวลาที่บ้านเมืองเกิดการแบ่งแยกอุดมการณ์และความเชื่อแบบกีฬาสีคือ แดง เหลือง ชมพู และหลากสีขึ้นแล้ว มีอะไรบางอย่างที่กระโดดออกจากตัวอักษรที่ร้อยเรียงกันสวยงาม อันเป็นสิ่งใหม่ที่ผมไม่ได้นึกคิดมาก่อน สิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้เป็นผลการสังเกตอาการใหม่ๆ เหล่านั้น เหมือน แดน บราวน์ ที่เห็นอะไรหลายอย่างกระโดดออกจากงานศิลปะของ ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ แล้วนำมาแต่งนวนิยายเรื่อง The Da Vinci Code จนทำให้เรามองเห็นประวัติศาสตร์สายธารที่สองที่เราอาจไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะถูก ประวัติศาสตร์สายหลักทับซ้อนจนมิด

 

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ เริ่มต้นว่า...

 

ถ้าหากว่า จะมีเทวดาตนใดเหาะเหินเดินอากาศจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปทางเหนือของพระมหานครนั้นประมาณแปดสิบหรือเก้าสิบกิโลเมตร ด้วยระยะทางที่เทวดาเหาะ เทวดาตนนั้นจะมองเห็นคลองเล็กๆ สายหนึ่ง แยกออกจากแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วเลื้อยคลานเข้าไปอย่างลดเลี้ยว ถ้าหากว่าเทวดาตนนั้นจะเหาะตามคลองนั้นเข้าไป โดยไม่เบื่อหน่ายต่อภูมิประเทศที่ไม่มีอะไรจะดูเกินไปกว่าไร่นาและควาย ในไม่ช้า เทวดาตนนั้นจะมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ หมู่หนึ่ง มีบ้านคนไม่กี่สิบหลังคาเรือน มีจำนวนคนอยู่ไม่กี่ร้อยคน กลางหมู่บ้านนั้นมีวัดซึ่งเป็นวัดที่แสดงฐานะทางเศรษฐกิจของหมู่บ้านนั้นเองให้เห็นได้ว่าไม่รุ่งเรืองนัก หลังคาชาวบ้านนั้นมุงด้วยจากเป็นส่วนมาก มีหลังคากระเบื้องดินเผาและสังกะสีอยู่ไม่กี่หลัง ส่วนโบสถ์ของวัดนั้นก็มุงด้วยดินเผาธรรมดา มีศาลาการเปรียญขนาดย่อมมุงสังกะสีอีกหลังหนึ่งและกุฏิพระสองหลัง มุงจากแกมสังกะสี หอระฆังที่โซเซน่ากลัวหอหนึ่งและมีศาลาท่าน้ำของวัดปลูกอยู่ริมคลองอีกหลังหนึ่ง...

 

อ่านครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน ผมเกิดมโนภาพราวกับว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ พาเราไปทัศนาจรชีวิตชาวบ้านไผ่แดงด้วยเครื่องบินขนาดเล็กที่บินต่ำจนมองเห็นสรรพสิ่งต่างๆ ทำให้นึกนิยมในกลวิธีอันชาญฉลาดของผู้เขียน แต่มาในบัดนี้กลับทำให้นึกไปเสียอีกแง่หนึ่ง แท้ที่จริงแล้วผู้เขียนกำลังพาเราซึ่งเป็น ชนชั้นสูงหรือ ชนชั้นกลางไปสังเกตธุระของ ชนชั้นล่างในลักษณะที่มองลงมาจากที่สูง สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีในประโยคแรกของ ไผ่แดงคือสำนึกของความเป็นเทวดาน้อยๆ ของเราเอง ทันที่เรา เหาะไปดูชาวบ้าน ก็เท่ากับเราอยู่เหนือหัวชาวบ้านขึ้นมาแล้ว อะไรจากนี้ไปก็ทำให้เผลอคิดไปได้ว่าเป็นเรื่องของสิ่งที่ต่ำกว่าตนทั้งนั้น รวมทั้ง (ความ) เบื่อหน่ายต่อภูมิประเทศที่ไม่มีอะไรจะดูเกินไปกว่าไร่นาและควาย...พอคิดได้อย่างนี้มโนภาพก็เปลี่ยนไปทันที ในยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์นั้น รัฐไทยและผู้มีอำนาจไทยได้รับความช่วยเหลือทางทหารจากหัวหน้าค่ายโลกเสรีคือสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่ รวมถึงพาหนะทางอากาศทั้งเครื่องบินทหารและพลเรือน เราทั้งหลายที่อ่าน ไผ่แดงคงไม่ใช่เทวดาที่เหาะเหินเดินอากาศได้ด้วยตัวเองเสียแล้ว แต่เรากำลังนั่งเฮลิคอปเตอร์ทหารบินฉวัดเฉวียนไปตามไร่นาสาโทต่างๆ เหนือหัวชาวบ้านด้วยเสียงโรเตอร์ดังพั่บๆ จนหมูหมากาไก่เบื้องล่างต้องตกอกตกใจ และมองลงมาเห็นชีวิตเล็กๆ จนหลงผิดไปได้ว่าชีวิตเหล่านั้นเล็กน้อยและไม่สำคัญเท่ากับตน แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับว่า เฮลิคอปเตอร์ลำที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ นั่งมากับเราลำนี้ กำลังลดระดับลงจอดที่หมู่บ้านไผ่แดง และกำลังจะส่งกองกำลังชอนไชเข้าไปในหัวใจและความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้านไผ่แดงอย่างที่พวกเขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพื่อจะผูกอุดมการณ์ใหม่ให้กับเขา นั่นคืออุดมการณ์ที่ดูจะเป็นเป็นพระรัตนตรัยใหม่ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายกับเส้นเชือกที่ผูกความคิดและจิตใจของคนไทยส่วนใหญ่ไว้กับเสาต้นหนึ่ง และยังผูกไว้เช่นนั้นจนปัจจุบัน

ตัวละครแรกที่โผล่ออกมารับคนดูบนเวทีก็คือตัวละครที่คลาสสิคที่สุดตัวหนึ่งในโลกวรรณคดีไทย และจะเป็นพระเอกตัวจริงของ ไผ่แดงไปจนตัวอักษรสุดท้ายของเล่ม

 

“...สมภารกร่างเป็นคนอายุราวสามสิบเจ็ดถึงสามสิบแปดปี อายุพรรษานับได้สิบแปดพรรษาพอดี เพิ่งได้เป็นสมภารเมื่อสองปีที่แล้ว หลังจากที่สมภารเก่าได้มรณภาพไป พระกร่างมีรูปร่างกำยำล่ำสันเหมือนกับชายฉกรรจ์อื่นๆ ในละแวกบ้านนั้น และเมื่อก่อนอายุจะครบบวชก็ได้เคยทำไร่ไถนา อันเป็นสัมมาอาชีพและได้เคยทำบาปกรรมต่างๆ มาไม่น้อยกว่าคนหนุ่มอื่นๆ ในละแวกบ้านเดียวกัน แต่เมื่อพระกร่างได้เข้ามาบวชเรียนตามประเพณี อะไรบางอย่างในวัดได้ทำให้ผ้าเหลืองเกาะตัวอยู่อย่างเหนียวแน่น เปลื้องไม่ออก พระกร่างก็อยู่ในเพศบรรพชิตเรื่อยๆ มา ได้เรียนนักธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี แต่แล้วก็เรื้อๆ ไป จะสอบนักธรรมโทก็ดูจะติดขัดอยู่ พอดีสมภารองค์เก่ามรณภาพ พระกร่างก็ได้เป็นสมภาร อาศัยที่วัดไผ่แดงนั้นเล็ก อยู่ห่างไกลและไม่มีใครสนใจ และเนื่องด้วยพระกร่างเป็นคนเกิดที่ละแวกบ้านไผ่แดง หายจากบ้านไปนั้นก็เฉพาะเมื่อวันเป็นนาคไปบวชที่วัดปากคลอง เพราะท่านสมภารที่นั่นเป็นอุปัชฌาย์ และเมื่อตอนไปสอบนักธรรม ชาวบ้านบ้านไผ่แดงก็มิได้มีใครรังเกียจ เมื่อพระกร่างกลายเป็นสมภารกร่าง คงให้ความเคารพนับถือและเชื่อฟังต่อไป เช่นเดียวกับที่เคยให้แก่สมภารองค์เก่า...

 

สังเกตไหมครับว่า ในเรื่องการเมืองการปกครองแล้วเมืองไทยเป็นเมืองประหลาด ผู้นำท้องถิ่นของเรามีมานานแล้วและเรียกขานตำแหน่งเปลี่ยนแปลงกันมาเรื่อยตามยุคตามสมัย ก่อนจะเป็นกำนันผู้ใหญ่บ้านก็มีพ่อหลวง หัวหน้าคุ้ม และอีกหลายอย่างไปจนถึงพ่อขุน แต่ภายหลังที่ได้รวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่กษัตริย์ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๕ ของกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว ดูเหมือนว่าผู้นำท้องถิ่นจะค่อยๆ ถูกลดบทบาทลงไปจนแทบจะหมดความสำคัญ จนถึงเล่นรังแกกันอย่าง ครูบาศรีวิชัยทางเหนือหรือ กบฏผีบุญทางอีสานก็โดนกันมาแล้วทั้งนั้น สุดท้ายตัวละครที่เป็นตัวแทนอำนาจท้องถิ่นก็ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับสมภารกร่าง นั่นคือเป็นคนชั่วๆ ดีๆ ได้เข้าสู่อำนาจก็เพราะไม่มีใครมาแข่งขันด้วย ถึงจะยอมรับกันว่าเป็นผู้นำการเมืองหรือเป็นผู้นำทางความคิดของชาวบ้าน แต่ก็ถูกตีตราว่าไม่ได้ดีวิเศษไปกว่าชาวบ้านธรรมดาที่ชนชั้นบนเขาเหยียดหยามอยู่ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ ทางการมีความชอบธรรมที่จะกวาดต้อนผู้คนทั้งหมดเหล่านี้ไปอยู่ภายใต้อำนาจที่ใหญ่หลวงของแผ่นดิน เพราะอำนาจนั้นเขาดีกว่าวิเศษกว่าและมี ความชอบธรรมในทุกทางมากกว่า อ่านเผินๆ ก็ดีอยู่หรอกครับที่นิทานชาวบ้านทำให้พระสงฆ์องคเจ้าหรือกำนันผู้ใหญ่บ้านท่านออกมาในแนวเงอะๆ งะๆ เซ่อๆ ซ่าๆ หากว่าเราอยู่ในระบอบอื่นที่มิใช่ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยเขาบอกว่าประชาชนปกครองกันเอง จึงต้องหาทางออกในทุกปัญหาและแสวงหาปัญญากันเอาเองในวงประชาชน แต่ถ้าระบอบอื่นเขาจะบอกทีเดียวว่าประชาชนไม่พร้อมหรอก โง่เง่าเซอะซะถึงขนาดนั้นจะไปปกครองตัวเองอย่างไรไหว คนอ่านยุคก่อนอาจจะประทับใจว่าสมภารกร่างท่านเป็นคนธรรมดาสามัญไม่น่าหมั่นไส้ แต่มายุคนี้เรารู้ทันขึ้นมาหน่อยว่า ตัวผู้เขียนเขาวางบุคลิกลักษณะของสมภารกร่างอย่างนั้น ก็เพื่อให้สมภารกร่างท่านเป็นเพียงหัวหน้าชุมชนเล็กๆ และต้องขึ้นกับชุมชนที่ใหญ่โตขึ้นไปจนถึงระดับชาติเท่านั้นเอง พูดง่ายๆ ว่า สมภารกร่างถูกวางตัวให้เหมือนกันชาวบ้านร้านถิ่น เก่งก็ไม่เก่ง ออกจะกลางๆ เรียนหนังสือก็ค่อนมาทางไม่เก่ง หัวไม่ดี แถมยังเคยทำบาปทำกรรมมาก่อนตามประสาลูกทุ่งที่อยู่ใกล้ธรรมชาติ จะเป็นเทวดาในวันหนึ่งคงไม่ได้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ฯ คงกำหนดไว้ในใจว่า ความภาคภูมิในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับมาตามธรรมชาติโดยไม่มีใครต้องมอบให้ หรือความคิดทางการเมืองแบบทะเยอทะยาน อันเป็นสิทธิที่ชอบธรรมของคนในสังคมประชาธิปไตยนั้น ออกจะแสลงและเป็นอันตรายกับระบอบที่สถาปนาตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ จึงต้องทำกรอบเอาไว้ด้วยการตีตราว่าไอ้ชาวบ้านเรามันก็เท่านี้ จะไปตั้งตัวใหญ่โตสลักสำคัญอะไรกันนักหนา

ระหว่างนั่งทอดหุ่ยอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ สมภารกร่างก็มองเห็นกำนันเจิมพายเรือมุ่งหน้ามาหา ทันทีที่เห็นภาพกำเนินเจิม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ก็บรรยายความในใจของสมภารกร่างในทันที สมภารจะแยกคนอย่างกำนันเจิมว่าเป็นฝ่ายที่เรียกว่า อาณาจักรซึ่งเป็นคนของหลวงหรือของรัฐ ในขณะที่คนอาศัยวัดอย่างสมภารกร่างถือเป็นฝ่าย พุทธจักรแยกกันเสียอย่างเพื่อ ทำให้สมภารได้รับความสะดวกในการวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้หลายอย่างจนติดเป็นนิสัย...

ตลอดประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าจะในศาสนาใดนั้น การแบ่งสังคมเป็นฝ่ายรัฐและฝ่ายศาสนาเกิดขึ้นตลอดมา ในยุโรปก็มีศาสนจักรและอาณาจักร (Church and State) ที่ได้ทำสงครามขับเคี่ยวกันมาตลอดเพื่อชิงอำนาจสูงสุดทางการเมือง ในศาสนาอิสลามก็แบ่งชัดเจนระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับคนอื่นๆ ที่มิใช่ แม้มีหน้าที่เผยแผ่ศาสนาก็มิใช่ตัวศาสดานั้นเอง ในสังคมพุทธของไทยก็เป็นอย่างที่สมภารกร่าง ท่านรำพึง แบ่งออกได้เป็นอาณาจักรและพุทธจักรจริงๆ แต่น่าสังเกตตรงที่ว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ท่านเริ่มนี้ไว้ใน ไผ่แดงแต่ท่านไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านี้ การเขียนงานต่างๆ ต่อมาหลายครั้ง จะเน้นการโจมตีจนถึงขั้นทำลายล้างต่อพระสงฆ์หรือผู้นำศาสนาหลายองค์และหลายคน เช่น วิวาทะกับท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่องจิตว่าง ซึ่งนำมาสู่การเรียกขานสำนักของท่านพุทธทาสคือสวนโมกข์ว่าเป็นเพียง ไนต์คลับเป็นต้น ซึ่งดูจะเป็นงานชั่วชีวิตของท่าน การสร้างอำนาจที่คานกันเองในหมู่บ้าน ระหว่างอาณาจักรกับพุทธจักร ซึ่งดูเสมือนว่าเป็นการแบ่งปันอำนาจกันอย่างสงบสันตินั้น แท้ที่จริงก็เป็นการคานเพื่อให้หาใครที่ใหญ่จริงไม่ได้เท่านั้นเอง สุดท้ายหมู่บ้านอย่างไผ่แดงก็ต้องขึ้นกับอำนาจตัดสินที่สูงกว่าและใหญ่ยิ่งกว่า และนำไปสู่การปกครองในระบอบที่อำนาจแผ่ไปรวมเก็บไว้ในที่เดียว การเตรียมให้คิดยอมรับอำนาจที่เหนือกว่าเป็นภารกิจที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ รับมาปฏิบัติมานานนักหนาแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าตนเองจะไม่ได้ดีอะไรในฝ่ายคณะราษฎร์ จึงตัดสินใจออกมาข้างฝ่ายตรงข้ามกับคณะราษฎร์เสียเลย

นักเคลื่อนไหวอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ จึงมีนัยซ่อนเร้นอยู่เสมอเมื่อพูดถึงประชาธิปไตย สิ่งที่ท่านไม่ได้บอกชัดๆ คือประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนนั้นคนพันธุ์ท่านเขาไม่เอา เพราะมีแต่ประชาชน คนที่เหนือกว่าประชาชนจะไม่มีที่ยืนเลย แต่ถ้าบอกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขล่ะก็ได้ ท้ายที่สุดคนอย่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ก็ต่อต้านทั้งระบอบคู่แข่งทั้งสองระบอบ นั่นคือระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหลือรอดอยู่เพียงระบอบเดียวอย่างที่พรรณนามาอย่างมีศิลปะใน ไผ่แดงนี่เอง

กำนันเจิมมาหาสมภารกร่างด้วยเรื่องร้อนใจเกี่ยวกับตัวละครหลักอีกตัวหนึ่งคือนายแกว่น แก่นกำจร ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมก๊วนมากับสมภารกร่างสมัยยังเป็นเด็กและวัยรุ่น แกว่นเป็นคนที่ชาวบ้านเคารพยำเกรงและมีลูกน้องเดินตามหลังมากที่สุดในหมู่บ้าน เรื่องที่กำนันกังวลคือ แกว่นดูท่าว่าจะได้รับความคิดแทรกซึมจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ จนเริ่ม จัดตั้งลูกน้องของตัวตลอดจนชาวบ้านร้านถิ่นเข้าให้แล้ว ว่าแต่ว่าอะไรคือคอมมิวนิสต์นั้น ดูกำเนินเจิมแกก็ยังงงๆ อยู่

 

ท่านรู้จักไอ้ตัวอะไรนั่นไหม?”

ตัวอะไร? สมภารย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ

ไอ้ตัวนิดๆ หน่อยๆ อะไรนั่นน่ะครับ... เอ! ติดริมฝีปากอยู่เมื่อกี้นี้เอง... อ้อ! นึกออกแล้ว... ไอ้ตัวคอมมิวนิสต์ที่หลวงท่านสั่งให้ต่อต้านนั่นปะไร ท่านว่ามันร้ายนักเชียว พอมันมาถึง ไร่นามันก็ริบหมด วัดวาอารามก็เลิก แล้วก็ โอ๊ย! อะไรอีกตั้งพะเรอเชียว

 

แต่จะเข้าใจคอมมิวนิสต์หรือไม่เข้าใจ สิ่งหนึ่งที่กำเนินเจิมแกเข้าใจอย่างแน่นอน คือคำสั่งของฝ่าย อาณาจักรย่อมใหญ่หลวงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเสียกว่าความรู้สึกของชาวบ้านซึ่งรวมเอาฝ่าย พุทธจักรเข้าไว้ด้วย

 

ฉันจะไปห้ามเขาอย่างไรกำนัน ฉันเป็นพระ ไม่เห็นจะเกี่ยว...

ก็ถึงว่าเถอะครับกำนันพูดอย่างเห็นใจ ผมบอกกับเจ้านายที่อำเภอท่านแล้วเชียว ว่าท่านเป็นพระเป็นเจ้า จะมาเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่เขากลับบอกว่า จะต้องใช้ต่อต้านคอมมิวนิสต์กันให้หมด ไม่ว่าพระว่าสงฆ์กันล่ะ ต้องขอแรงกันทั้งนั้น

 

เมื่อกำนันตัวแทนฝ่ายอาณาจักรพายเรือกลับไปแล้ว ความกังวลใจของสมภารกร่างก็มิได้ลดน้อยลงไป ท่านจึงทำสิ่งที่ทำทุกครั้งเมื่อเกิดความรู้สึกว่าหาทางออกไม่ได้ นั่นคือเดินเข้าโบสถ์ที่ว่างคนแล้วปิดประตูลั่นดาลอยู่ในนั้นแต่องค์เดียว เมื่อประตูโบสถ์วัดไผ่แดงปิดลงแล้วนั่นเอง ความสำคัญที่สุดของนวนิยายเรื่องนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางความตระหนกตกใจจนแทบคุมสติไม่อยู่ของสมภารกร่าง สมภารกร่างพบว่าทางออกของเรื่องนี้มิได้อยู่ที่ฝ่ายพุทธจักรหรือฝ่ายอาณาจักรเลย แต่กลับไปอยู่เสียที่อำนาจบางอย่างที่สูงล้ำขึ้นไปอีกจนมนุษย์ธรรมดามิอาจหยั่งได้

 

นี่คือฉากที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ พรรณนานำทางมา

 

“...พอเข้าไปถึงในโบสถ์ สมภารก็ปิดประตูลั่นดาลเพราะอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากให้ใครมากวน ครั้งแล้วก็จุดเทียนหน้าพระหลายดวง และจุดธูปบูชาพระอีกกำมือหนึ่ง ลงกราบพระแล้วก็นั่งมองพระพุทธรูปที่เป็นประธานในโบสถ์วัดไผ่แดง

สมภารกร่างไม่มีความรู้ในทางโบราณวัตถุ แต่ก็รู้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพระพุทธรูปโบราณมาก พระประธานวัดไผ่แดงเป็นพระสำริด บริสุทธิ์เท่าขนาดคน สมภารกร่างเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนนั้น บางนี้ยังไม่มีหมู่บ้านและยังไม่มีวัด มีคนแก่ปลูกเรือนอยู่ริมคลองหลังเดียว วันหนึ่ง หลวงพ่อพระประธานก็ลอยน้ำมาติดอยู่ริมตลิ่ง คนแก่นั้นไปพบเข้า ก็ไปตามชาวบ้านจากบางอื่นมาช่วยกันยกขึ้นตั้งไปบนฝั่ง เป็นที่สักการะของคนที่สัญจรไปมา จนที่สุดที่ที่หลวงพ่อตั้งอยู่ก็กลายเป็นวัดและบ้านไผ่แดงก็มีคนมาปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่กันเป็นหมู่จนทุกวันนี้...

 

ทันทีทันใดนั้นเอง ผู้เขียนก็วกเข้าสู่หัวใจของเรื่อง ไผ่แดงอย่างชนิดที่คนอ่านแทบจะไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

“...สมภารกร่างนั่งมองหลวงพ่ออยู่นาน แสงเทียนจับองค์พระให้แลดูงามนัก ใจนั้นนึกว่า ถ้าปีหน้าข้าวกล้างาดำในบางนี้งอกงามดี ก็จะบอกบุญชาวบ้านปิดทองหลวงพ่อเสียใหม่ให้งดงามขึ้นไปอีก ขณะที่ใจนึกอยู่นั้น ตาก็มองอยู่ที่หน้าหลวงพ่อ แล้วสมภารกร่างก็เห็นกับตาว่าหลวงพ่อยิ้มด้วย

สมภรกร่างขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่ก็ข่มใจไว้ด้วยเหตุผล เพราะแสงเทียนที่เคลื่อนไหวนั้นอาจทำให้ตาฝาดไปก็ได้ แต่จิตใจสมภารยังไม่ทันจะสงบดี หลวงพ่อก็พูดออกมาว่า

สมภารมีทุกข์ร้อนอะไรหรือ วันนี้ดูหน้าไม่สบาย?”

 

“ใจหนึ่งนั้นอยากจะวิ่งหนี แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่เชื่อหู สมภารเหลียวเลิกลักดูในโบสถ์รอบๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครมาแอบแฝงอยู่ได้ เพราะโบสถ์วัดไผ่แดงเป็นโบสถ์เล็ก ไม่มีที่ที่จะแอบแฝง ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดมาจากพระประธานอีกว่า”

 

อย่าตกใจไปเลย ฉันอยากคุยกับสมภารมานานแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลาและโอกาส

หลวงพ่อ... หลวงพ่อครับ...สมภารพูดละล่ำละลัก ใจนั้นก็นึกถึงผลของการปาฏิหาริย์ครั้งนี้ ชาวบ้านจะแตกตื่นสักเพียงไร คนจะมานมัสการกันสักเท่าไหน และสภาพวัดไผ่แดงจะต้องเปลี่ยนไปเป็นวัดที่ใหญ่วัดที่สำคัญ แต่ทันใดนั้น หลวงพ่อก็พูดสอดขึ้นมาว่า

ฉันพูดกับสมภารแล้ว สมภารอย่าไปบอกกับใครนะ เขาหาว่าสมภารโกหกฉันไม่รู้ด้วย ต่อหน้าคนอื่นฉันไม่พูดหรอก ไม่เชื่อคอยดูไปซี...

 

ในที่สุดตำนานอันลือลั่นพระประธานพูดได้ก็เริ่มขึ้นในบทที่หนึ่งของนวนิยายเรื่อง ไผ่แดงนี่เอง หลวงพ่อพระประธานท่านไม่ได้พูดทักทายสมภารกร่างเพียงเท่านี้ แต่ทั้งเรื่องต่อมาท่านได้กลายเป็นที่ปรึกษาใหญ่ของสมภารกร่างเลยทีเดียว พูดคุยแนะนำอะไรต่างๆ กันแทบทุกบททุกตอน และเป็นตัวละครที่ใหญ่โตมโหฬารไปจนจบเรื่อง

ผมเองก็เป็นพุทธศาสนิกชนที่ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิตย์ การได้อ่านนวนิยายในทำนองพุทธสัญลักษณ์อย่างเรื่องนี้ย่อมจะทำให้เกิดความปีติยินดีอยู่มาก ใครเล่าจะไม่ดีใจที่พระพุทธรูปในโบสถ์ท่านพูดได้สอนได้ขึ้นมา ใครเล่าจะเป็นที่ปรึกษาชีวิตได้ดีไปกว่าพระประธานในโบสถ์ที่สงบเงียบสงัดคน นึกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในจินตนาการอันสมบูรณ์ของผู้เขียนและหวังให้เป็นเรื่องจริงขึ้นมาในใจเราเอง แต่เมื่อเติบโตขึ้นในแนวคิดทางการเมือง ความรู้สึกนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป ความสนใจในพระธรรมยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่จะมากขึ้นตามทุกข์ของชีวิตที่มีมากขึ้นตามครรลองของมนุษย์ปุถุชน แต่ความสงสัยในสัญลักษณ์ที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ นำมาใช้ในเรื่องนี้มีมากขึ้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ตั้งใจสื่อสารสิ่งใดที่ทำให้พระประธานพูดได้ โดยเฉพาะในเมืองไทยขณะนั้นที่ดูเหมือนจะเคลื่อนใกล้สงครามกลางเมืองระหว่างอำนาจเก่ากับฝ่ายคอมมิวนิสต์ขึ้นทุกขณะ คิดไปก็รู้สึกขึ้นว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ คงจะไม่ได้สอนธรรมะผ่านปากพระประธานวัดไผ่แดงอย่างที่เราเคยเข้าใจกันแต่แรก แต่หวังผลการเมืองที่ซ่อนเร้นลึกซึ้งในระดับชาติทีเดียว

โดยเฉพาะเมื่อบทแรกนี้จบลงตรงที่สมภารกร่าง หารือกับหลวงพ่อพระประธานว่าปัญหาของ แกว่น แก่นกำจร ที่หลวงเขากล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์นี่จะทำอย่างไรดี

 

“...(แต่) ผมหนักใจเรื่องทางอาณาจักร เขาสงสัยว่ามันจะผิดอย่างไรอยู่ ผมจึงอยากรู้ว่าผมจะทำอย่างไรดี จะเตือนมันตรงไหนดี เพราะความผิดความถูกเดี๋ยวนี้ ดูมันจะเกินศีลห้าธรรมบถสิบออกไปทุกที ผมเองก็จนปัญญาไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก

ฉันไม่มีปัญญาจะบอกสมภารหรอกในข้อนี้หลวงพ่อว่า เพราะฉันเองอยู่มาจนป่านนี้ ก็ไม่เคยเล่นการเมืองและก็ไม่คิดว่าจะเล่นหรือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

 

คำตอบของพระประธานวัดไผ่แดง เสมือนการตอกหน้าผากของคนที่สนใจการเมืองไทยและติดตามการเมืองไทยมานานพอควร สมภารกร่างดีอกดีใจที่หลวงพ่อท่านพูดได้ และถือเอาโอกาสนั้นปรึกษาหลวงพ่อในเรื่องที่หนักอกอยู่ แต่หลวงพ่อท่านก็พูดให้กำลังใจกลับไปกลับมา คล้ายบทสนทนาระหว่างพระเจ้ามิลินทร์กับพระนาคเสน ที่ฟังแล้วก็เลื่อมใสในปัญญาของผู้พูด แค่ผู้ฟังแทบจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย สมภารกร่างมิได้แสดงความรู้สึกใดๆ ในคำตอบจากหลวงพ่อ ได้แต่นั่งนิ่งๆ จนเทียนดับไปเอง โดยหลวงพ่อและสมภารต่างก็มิได้สนทนาปราศรัยอะไรกันอีก ผู้เขียนลงท้ายว่าเรื่องหลวงพ่อพูดได้กลายเป็นความลับสำคัญที่สมภารกร่างเก็บไว้กับตนเพียงองค์เดียว มิได้แพร่งพรายให้ใครได้ทราบเลยนับแต่คืนนั้นเป็นต้นมา

เมื่อเราโตขึ้น เราก็รู้ว่าเมืองไทยเรามีพระประธานที่พูดได้เหมือนกัน จะวัดไหนก็คงไม่ต้องบอก พระประธานพูดได้ในเมืองไทยของเรานี้ เอาเข้าจริงแล้วก็พูดตามคติของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ อย่างไม่หนีกันเลย หลวงพ่อของเราเลือกที่จะพูดในบางเวลา เลือกที่จะพูดกับคนบางคน และเลือกเสียด้วยว่าจะให้ใครเข้าใจในสิ่งที่พูดและใครจะต้องรู้สึกงุนงงสับสนจนแทบจะไปกระโดดหน้าผาตาย เพราะหลวงพ่อพูดได้ของเราท่านพูดให้คนเอาไปตีความตามใจตัวเอง มองในทางหนึ่งก็เป็นปรัชญาอันลึกซึ้งแหลมคมนัก แต่มองอีกทางหนึ่งก็ขาดความรับผิดชอบอย่างมากในฐานะของผู้เป็นประธาน เพราะไม่ต้องร่วมรับผิดชอบอะไรใดๆ คำว่า กิจของสงฆ์นั้นมีหลักการและคำอธิบายที่ชัดเจน ไม่ใช่คำกล่าวอ้างอย่างมักง่ายเพียงเพื่อตนเองจะได้อยู่เหนือน้ำตลอด โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อใครนอกจากตนเอง

พระประธานในโบสถ์วัดไผ่แดงที่แท้ น่าจะเป็นผู้สอนธรรมะและเตือนสติสมภารกร่างและใครๆ ในยามขาดสติหรือตกเป็นเหยื่อของอกุศลมูลจนโงหัวไม่ขึ้น หาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ฯ ไม่ได้เขียน ไผ่แดงและ ไผ่แดงถูกจารจารึกโดยพุทธทาสภิกขุ ศรีบูรพา หรือแม้แต่พระพยอม กัลยาโณแห่งวัดสวนแก้ว เชื่อว่าหลวงพ่อไผ่แดงคงจะยกข้อธรรมะหรือพุทธวัจนะที่จับใจมาแนะนำสมภารกร่าง แทนที่จะแนะนำในทางโลกย์แต่ถ่ายเดียว ธรรมะในพระพุทธศาสนานั้นมีมากนัก และหลายข้อก็ตรงกับปัญหาชีวิตของคนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้อย่างเหมาะเหม็ง พระหรือโยมที่สอนธรรมะได้เพียงจำกัด หากมิใช่เจตนาก็ย่อมแสดงถึงปัญหาส่วนองค์หรือส่วนตนที่ยังศึกษาไม่เพียงพอ หาใช่ความจำกัดของพระศาสนาไม่

......................................................

 

คอลัมน์ "ร้านทีพีนิวส์แนะนำหนังสือ"

ญี่ปุ่นขึ้นเมือง

ในกระบวนผู้ที่มีความนับถือและผูกพันกับ ดร.ปรีดี พนมยงค์ จนถึงขนาดอุทิศชีวิตและน้ำพักน้ำแรงในการกู้ชื่อเสียงและจารึกเกียรติประวัติไว้ให้ในผลงานหลายสิบเล่ม น่าจะไม่มีใครเกิน คุณลุงสุพจน์ ด่านตระกูล ผู้ล่วงลับ คุณลุงเคยเล่าให้พวกเราฟังว่าท่านแทบจะไม่ได้รู้จัก ดร.ปรีดี เป็นการส่วนตัวเลย ชั่วชีวิตมีโอกาสได้พบหน้ากับครั้งเดียวที่ฝรั่งเศส แต่ที่ค้นคว้าและเขียนไว้ทั้งปวงก็เพราะศรัทธาและระลึกถึงบุญคุณของบุคคลผู้เป็นรัฐบุรุษอาวุโสของชาติโดยแท้จริง "ญี่ปุ่นขึ้นเมือง" เล่มนี้ เป็นอีกชิ้นหนึ่งที่คุณลุงสุพจน์ฯ บันทึกประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ในขณะที่ญี่ปุ่นบุกและยึดครองประเทศไทยเอาไว้โดยละเอียด ใครที่หลับตานึกภาพประวัติช่วงนี้ไม่ออก ควรหามาอ่านและศึกษาเอาไว้ในระบบความคิด เพื่อความเข้าใจต่อเนื่องไปถึง ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้เป็นกำลังสำคัญในการวางกุศโลบายรับมือกับกองทัพญี่ปุ่นและเหตุการณ์ภายหลังจากนั้นทั้งหมด


คนแคระ

"อะไรเล่าจะน่าพรั่นพรึงไปกว่าจิตใจที่จ้องลึกลงไปในตัวมันเอง" ประโยคนี้ก็คงเพียงพอที่นักอ่านผู้ใช้ความคิดจะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอย่างศึกษาและเพื่อความอิ่มเอมทางอารมณ์ โดยไม่ต้องพ่วงท้ายว่า "นวนิยายรางวัลซีไรต์ประจำปี ๒๕๕๕" ของ วิภาส ศรีทอง ด้วยซ้ำ ตะวันตกเองมีสำนวนที่ใกล้เคียงกันว่า "เมื่อเรามองลึกลงไปในบ่อลึกดำมืด ความดำมืดนั้นก็มองสวนขึ้นมายังเราด้วย" มนุษย์ออกเดินทางไปไกลถึงดาวอังคารและลงไปลึกถึงท้องพระมหาสมุทรที่ลึกที่สุด แต่จิตมนุษย์นั้นเองยังคงเป็นความสนเท่ห์อย่างยิ่งยวด รอให้เราต่างเข้าไปร่วมรับรู้และค้นหาความหมายและจุดประสงค์ของมัน

....................................

'ควีนเบียทริกซ์' แห่งฮอลแลนด์ สละราชสมบัติ มอบบังลังก์แก่พระราชโอรส

โดย ประชาไท
เรียบเรียงจาก CBS News, กรุงเทพธุรกิจ



สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์วัย 75 พรรษา มีกำหนดสละราชสมบัติ 30 เม.ย.นี้ แก่เจ้าฟ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ ตรัสภาระรับผิดชอบต่อประเทศควรถูกส่งต่อแก่คนรุ่นใหม่
สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ ทรงมีพระราชดำรัสเผยแพร่ทางโทรทัศน์ทั่วประเทศวานนี้ว่า ในวโรกาสที่พระองค์จะทรงมีพระชนมายุครบ 75 พรรษาในวันพฤหัสบดีนี้ และในปลายปีนี้เนเธอร์แลนด์จะฉลองครบรอบการสถาปนาประเทศนาน 200 ปีซึ่งจะเป็นการก้าวสู่ศักราชใหม่ของประวัติศาสตร์ประเทศ จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ องค์พระประมุขแห่งเนเธอร์แลนด์ ในวันที่ 30 เมษายนนี้ พร้อมกับตรัสว่า ภาระรับผิดชอบต่อประเทศชาติควรถูกส่งต่อให้กับคนรุ่นใหม่
พระองค์จะทรงมอบราชบัลลังก์ให้พระราชโอรสองค์โต เจ้าฟ้าชายวิลเล็ม อเล็กซานเดอร์ องค์มกุฎราชกุมาร ที่มีพระชนมายุ 45 ชันษา เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีในวันเดียวกัน ซึ่งจะทรงเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีพระองค์แรกในรอบ 122 ปี นับตั้งแต่การสวรรคตของสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม ที่ 3 เมื่อปี 2433
 
พระราชวงศ์แห่งเนเธอร์แลนด์เป็นหนึ่งในพระราชวงศ์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในทวีปยุโรป สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2523 เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา พระมารดาทรงสละราชสมบัติ แม้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระองค์ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแค่ในพระราชพิธี แต่พระองค์ก็ทรงเป็นที่รักของผสกนิกรชาวดัทช์
 
สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ได้เผชิญความเศร้าโศกเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว หลังจากที่เจ้าชายฟรีโซ พระราชโอรสองค์ที่สองของพระองค์ประสบอุบัติเหตุจากการเล่นสกีในออสเตรีย ทำให้อยู่ในอาการโคม่า หลายฝ่ายจึงคาดว่าเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระองค์ตัดสินใจสละราชสมบัติในช่วงนี้ 
 
ถึงแม้พระองค์จะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นพระราชพิธีส่วนใหญ่ แต่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ชุดที่แล้วก็ได้ปลดอำนาจของพระองค์ที่มีอยู่ไม่กี่อย่างออกไป นั่นคือการเสนอชื่อผู้ตั้งคณะรัฐมนตรีหลังจากการเลือกตั้งรัฐสภา 
 
ทั้งนี้ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พระราชินีเบียทริกซ์ทรงลี้ภัยไปอยู่แคนาดากับสมาชิกในราชวงศ์ และเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมของรัฐในเมืองออตตาวา ก่อนที่จะกลับมาสู่ฮอนแลนด์หลังสงครามสิ้นสุดลง 
 
พระราชสวามีของพระองค์ เจ้าชายเคลาส์ ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 2545 พร้อมกับความโศกเศร้าเสียใจของประชาชนทั้งประเทศ ทั้งๆ ที่การเสกสมรสของพระองค์ได้รับการต่อต้านในช่วงแรก เนื่องจากเจ้าชายคลาวส์เคยเป็นทหารของนาซีเยอรมนี และการเข้ายึดครองเนเธอร์แลนด์ของกองทัพนาซีก็ยังคงเป็นแผลใจของประชาชนส่วนใหญ่ 
 
เจ้าชายวิลเลม อเล็กซานเดอร์ ทรงเสกสมรสกับสาวสามัญชน แมกซิมา ที่มีถิ่นกำเนิดในอาร์เจนตินาเมื่อปี 2545 และทรงมีพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ เจ้าชายทรงเป็นองค์ปาฐกในการประชุมเกี่ยวกับเรื่องน้ำบ่อยครั้งเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของประเทศที่ประสบภัยภัยแล้ง
 
ขณะที่เจ้าหญิงแมกซิมา ทรงเคยเป็นนักการธนาคารฝ่ายการลงทุน และสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ ตรัสแสดงความเชื่อมั่นว่า ทั้งเจ้าชายวิลเลมอเล็กซานเดอร์และเจ้าหญิงแมกซิม่าทรงมีความพร้อมสำหรับพระราชกรณียกิจในอนาคต และจะทรงปกครองประเทศด้วยความทุ่มเทเสียสละ