Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

แช่แข็งประเทศไทย ใครหนาว?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 387 วันที่ 24-30 พฤศจิกายน 2555 หน้า 18 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน



“วันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 วันพิพากษา ขับไล่รัฐบาล เผด็จศึกตระกูลชิน เวลา 09.01 น. ณ ลานพระบรรูปทรงม้า”

สโลแกนของ “องค์กรพิทักษ์สยาม” ที่ติดป้ายเชิญชวน “คนเกลียดทักษิณ” ให้มาร่วมชุมนุม ขณะที่ทวิตเตอร์ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม ใช้สโลแกน “มุ่งมั่น แช่แข็ง ประเทศไทย” จึงไม่แปลกที่เสธ.อ้ายจะไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยขณะนี้ อย่างที่ให้สัมภาษณ์ว่า

"ผมไม่เคยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงิน ลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ลองอธิบายหน่อย.."
การชุมนุมวันที่ 28 ตุลาคมที่สนามม้านางเลิ้ง ภายใต้ชื่อ “รวมพลังหยุดวิกฤตและหายนะชาติ” ที่มีองค์กรพิทักษ์สยามเป็นแกนนำ โดยมีแนวร่วม อาทิ กลุ่มสยามสามัคคี กลุ่มพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน (เสื้อหลากสี) และภาคีเครือข่ายต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะภาคีเครื่อข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้

ครั้งสุดท้ายหรือนับหนึ่ง

การชุมนุมครั้งแรก พล.อ.บุญเลิศได้แถลงวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า ต้องการขับไล่รัฐบาลและล้างระบอบทักษิณ โดยระบุว่า ทนไม่ได้กับการบริหารราชการของรัฐบาลภายใต้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 3 ประการ คือ 1.รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบัน โดยไม่มีการป้องกัน และยังดูเหมือนจะมีการส่งเสริมด้วยซ้ำ 2.รัฐบาลเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารและขาดธรรมาภิบาล และ 3.รัฐบาลปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น
อย่างไรก็ตาม การชุมนุมครั้งแรกจะเรียกว่า “น้ำจิ้ม” ก็ไม่ผิด แต่ที่เหนือความคาดหมายคือมีผู้มาร่วมชุมนุมหลายหมื่นคน ไม่ใช่หลักพันคนอย่างที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เย้ยหยันไว้ แต่ผุ้ชุมนุมจะมากหรือน้อยก็ตาม การชุมนุมที่นำโดยเสธ.อ้ายก็สะท้อนชัดเจนว่า กลุ่ม “เกลียดทักษิณ” ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเสธ.อ้ายที่ระยุว่า ต้องแช่แข็งประเทศ แช่แข็งนักการเมืองเลว 5 ปี เพื่อให้โอกาสคนดีมาบริหารและปฏิรุปการเมืองไทย
การชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายน จึงแตกต่างกับครั้งแรกอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาลที่เหมือน “กระต่ายตื่นตูม” กลัวจะซ้ำรอยม็อบพันธมิตรฯ ที่ถือโอกาสอยู่ยาวและหาเงื่อนไขเพื่อปิดล้อมรัฐบาล เพราะทุกสายข่าวยืนยันว่าจะมีผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน แต่เสธ.อ้ายยังมั่นใจอย่างน้อยก็มีจำนวนแสน แม้ไม่ถึงล้านอย่างที่เคยประกาศว่า จะเป็นครั้งสุดท้าย หากผู้ชุมนุมมาน้อยจะยุติการชุมนุม หากผู้มาชุมนุมมากถึง 1 ล้านคนตามที่วางเป้าหมายไว้ก็จะขับเคลื่อนขับไล่รัฐบาลตามแผน เป็นศึกที่ต้องรบให้ชนะ “ถ้าเขาอยู่ เราต้องไป ถ้าเราอยู่ เขาต้องไป”

“เสธ.อ้าย” คนเพื่อนมาก

ย้อนกลับมาประวัติความเป็นมาของเสธ.อ้าย ซึ่งศูนย์ข้อมูลการเมืองไทยเว็บไซต์รัฐสภาไทย ระบุว่า พล.อ.บุญเลิศ เป็นนายทหารผู้กว้างขวาง-มากเพื่อน– เปี่ยมบารมี-ใจใหญ่ แต่ชอบเก็บตัวเงียบเชียบ เน้นทำงานอยู่เบื้องหลังเสมอๆ เป็นนายพลที่เรียนเก่งจนเพื่อนให้เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 1 (ตท.1) และเป็น “ลูกป๋า” ระดับหัวกะทิที่เข้านอกออกในมาตลอด

ด้วยวัตรปฏิบัติที่น่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส พูดหวาน ขานเพราะ จึงเป็นน้องอ้ายที่พี่ๆรัก เป็นพี่อ้ายที่น้องๆ นับถือ เสธ.อ้ายจึงมีทั้งคนรักและคนยำเกรงไม่น้อย  เป็นเพื่อนรัก พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ คนใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แต่ที่สนิทแนบแน่นชนอดแกะไม่ออกคือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เพื่อนรุ่นพี่ที่ติดคุก “กบฏ 26 มีนา” จึงไม่แปลกที่เสธ.อ้ายได้เป็นเลขาธิการราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) ที่พล.ต.สนั่นเคยนั่งอยู่

การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่เสธ.อ้ายเป็นประธาน จึงไม่ใช่ “ม็อบกระจอก” แม้จะไม่ใช่ “ตัวจริงเสียงจริง” ก็ตาม แต่เป็นการจุดชนวนขบวนการ “ขับไล่รัฐบาล เผด็จศึกตระกูลชิน” อย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากหมดยุคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่แกนนำและกลุ่มทุนที่สนับสนุนแตกกันจนเย็บไม่ติด

มหากฐินล้ม “ปู”

กลุ่มเกลียดทักษิณประกาศชัดเจนว่า พร้อมจะโค่นล้มรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งแต่วันแรกที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหนึ่งในสถานที่เคลื่อนไหวของกลุ่มเกลียดทักษิณคือ บ้านเช่าหลังใหญ่ที่ “ลูกป๋า” หลายคนเป็นสมาชิกสำคัญในการหารือและวางแผนต่างๆ แม้แต่การจัดตั้งมวลชนทั่วประเทศ ซึ่งล้วนเคยเป็นแกนนำสำคัญที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรฯ
จึงไม่แปลกที่การชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามจะได้การสนุบสนุนจากแกนนำพันธมิตรฯ โดยเฉพสะพล.ต.จำลอง ศรีเมืองที่ประสานกับกลุ่มสันติอโศกให้เป็นแกนกลางสำคัญในการปักหลักชุมนุมถ้ายืดเยื้อ ซึ่ง นายชัยวัฒน์ สุรวิชัย หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ ระบุว่า  “โพธิรักษ์” เจ้าสำนักสันติอโศกได้ย้ำตลอดเวลาเรื่อง “พลังสามัคคี” โดยเรียกร้องให้พันธมิตรฯ กลุ่มหลากสี และเครือข่ายต่างๆ ร่วมมือกันขจัดสิ่งที่ชั่วร้ายของแผ่นดิน ตือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบของทักษิณที่เป็นระบบทุนสามานย์ทำลายชาติ ทำลายจิตใจและคุณค่าของความเป็นคน

“ตอนนี้มันเทศกาลกฐิน วันที่ 28 พฤศจิกายนจะเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลกฐิน วันที่ 24-25 พฤศจิกายน หลายคนที่ตั้งกฐินไว้ เขามีความคิดว่ากฐินที่เขาทำไปมันสู้จะนำมาทำมหากฐินที่กู้ชาติกู้แผ่นดินไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคนจะมาทอดมหากฐินกู้ชาติกู้แผ่นดินที่พระรูปร.5 ฤกษ์ชัยคือ 901 (เวลา 09.01 น.) อันนี้จะเป็นการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง"

นายชัยวัฒน์กล่าวและเชื่อว่า มหากฐินกู้ชาติกู้แผ่นดินครั้งนี้จะเป็นประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยอีกครั้งหนึ่ง

กลุ่มทุน-อีแอบ

เสธ.อ้ายจึงกล้าประกาศว่า การชุมนุมวันที่ 24 พฤศจิกายนจะมีคนชุมนุมเป็นล้าน แม้ต่อมาจะลดเป็นจำนวนแสนก็ตาม แต่ก็ถือเป็นการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกของกลุ่มเกลียดทักษิณในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่งมีการหารือตลอดเวลา การชุมนุมครั้งนี้จึงไม่ต่างจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีกลุ่มสันติอโศก พันธมิตรฯ กลุ่มสหภาพแรงงานของนายสมศักดิ์ โกสัยสุข กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และเครือข่ายประชาชน 16 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานะเสียงสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์

ส่วนกลุ่มทุนที่ประกาศตัวโจ่งแจ้งที่สุดคือ นายสมพจน์ ปิยะอุย  เจ้าสัวเครือโรงแรมดุสิตธานี เพื่อน “กบฏ 26 มีนา” ร่วมกับเสธ.อ้าย และมีความใกล้ชิดอย่างยิ่งกับ น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แกนนำสำคัญในการโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนายสมภพจึงป็นหนึ่งในศูนย์กลางการระดมทุนในการชุมนุมครั้งนี้ นอกจากกลุ่มทุน “อีแอบ” อีกหลายกลุ่มที่เป็นศัตรูกับพ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งกลุ่มชนชั้นสูงที่ใกล้ชิดสถาบัน ตุลาการอาวุโสและอดีตข้าราชการระดับสูง

ทหารแก่ไม่มีวันตาย

แต่ที่ทำให้การชุมนุมของเสธ.อ้ายยิ่งมีสีสันและถูกจับตามองมากขึ้น คือ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป อดีตนายทหารคนสนิทของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่ประกาศจะร่วมการชุมนุมกับองค์การพิทักษ์สยาม แต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับพล.อ.เปรม เพราะแม้แต่ภรรยาตนยังไม่รู้เลย ซึ่งตนไม่ได้รู้จักกับพล.อ.บุญเลิศเป็นการส่วนตัว หรือไปประชุมวางแผนเรื่องม็อบ แต่ที่ร่วมชุมนุมเพราะความรักชาติและเป็นทหารแก่ที่จะไม่มีวันตายไปจากการรักชาติบ้านเมือง ห่วงใยกองทัพ ปกป้องสถาบัน ตามที่เคยได้ตั้งปฏิญาณว่า จักรักษามรดกของพระองค์ท่านไว้ด้วยเลือด จึงขอเตือน พ.ต.ท.ทักษิณว่าอย่ามายุ่งกับตนเอง เพราะตนเองจะขอยืนตรงข้ามกับนักการเมืองที่โกงชาติบ้านเมือง

“ผมเป็นทหารแก่ที่ไม่มีวันตาย จากการต่อสู้รักษาความถูกต้อง ผมจะสู้กับนักการเมืองเลวๆ ถ้าทำให้ผมตาย ญาติพี่น้องผมก็จะลุกขึ้นมาล้างแค้นสู้ต่อไป ผมยังกินเงินเดือนบำนาญจากทหาร ผมจะสู้ จะชุมนุม ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่พวกนักการเมืองชั่วเอาความสุขของผมไป”

นายกฯพระราชทาน

นายกรหริศ บัวสรวง โหรประจำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม กล่าวผ่านรายการ "เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์" ว่า วันที่ 24 พฤศจิกายนจะมาต่ำสุดประมาณ 500,000 คน วันนั้น 24 เดือน 11 ปี 2012 เมื่อนำตัวเลขบวกกัน 2+0+4+7 จะเท่ากับ 13 หมายความว่า Transformation จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือผ่าตัดครั้งใหญ่

“ถ้าคนมาหลักแสนหลักล้านจะปิดเกมวันนั้นเลย จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จะสแกนทุกอย่างออกมาทุกชั่วโมง แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ จะให้รัฐบาลและคนสำคัญที่มีตำแหน่งสำคัญได้รับทราบทุกระยะว่า มีเหตุการณ์แบบนี้ ประชาชนมีฉันทามติว่าไม่เอาแล้วรัฐบาลชุดนี้ และนำเสนอตัวนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ฉีกรัฐธรรมนูญแน่นอน และไม่ใช่ให้ทหารปฏิวัติ แต่จะให้นายกฯปูลาออก และขอพระราชทานนายกฯตามมาตรา 7”

นายกรหริศกล่าวและขยายความฃนายกฯพระราชทานนั้นยังไม่ได้คุยกัน แต่จะเร่งรัดคดีความต่างๆ ให้รวดเร็ว จะเป็นใครก็ได้ ไม่ว่าพลเรือนหรือทหาร แต่ความจริงควรเป็นทหาร หรือมีเชื้อสายของทหาร เพราะดวงเมืองเราเป็นอย่างนั้น ซึ่งจะเป็น "น.ต.คนหนึ่ง" หรือไม่ก็ไม่แน่ใจ
“ชงเองกินเอง”ล้มรัฐบาลใน 1 วัน?

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่ากรกระทรวงพาณิชย์ แกนนำคนเสื้อแดง ก็ยอมรับว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามจะมีผู้มาร่วมชุมนุมไม่น้อย แต่คงไม่มากจนถึงล้นถึงสะพานผ่านฟ้าตามที่พล.อ.บุญเลิศประกาศ อย่างไรก็ตามสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีคนชุมนุม 50,000 คนหรือล้านคน แต่อยู่ที่สถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโค่นล้มขับไล่รัฐบาลภายในเวลา 1 วัน แต่ถ้าจะเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าจะต้องมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นมาจริงๆ ในวันที่มีการชุมนุม ไม่ว่าจะเกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุมและผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังซึ่งตนก็เป็นห่วง

“สถานการณ์พิเศษต้องอาศัยคนสร้าง และคนที่จะสร้างก็คือคนที่จัดการชุมนุม และชักใยการเคลื่อนไหวอยู่ เวลานี้มือที่สอง มือที่สามไม่น่ากังวล แต่ที่ต้องจับตามองคือมือที่มองไม่เห็นทั้งหลายว่าได้เตรียมการวางแผนที่จะแช่แข็งปิดประเทศแบบไหน อย่างไร ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดิมที่เคยเคลื่อนไหวโค่นล้มขับไล่รัฐบาลตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ มาจนถึงยุคนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งปัจจุบันมือที่มองไม่เห็นยังอยู่ครบถ้วน ประกอบไปด้วยนักเคลื่อนไหว นักวิชาการ ข้าราชการเกษียณอายุ และพรรคการเมือง ซึ่งผมมั่นใจว่าตัว พล.อ.บุญเลิศไม่ใช่คนสั่งการ และไม่ใช่คนคุมเกมทั้งหมด ดังนั้นหากมีการชุมนุมแล้วกลุ่มผู้ชักใยต้องการจะให้มีการขับเคลื่อนมวลชน พล.อ.บุญเลิศไม่ได้อยู่ในจุดที่จะตัดสินใจอยู่แล้ว”

นายณัฐวุฒิ กล่าวและว่า การที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์คนสนิท พล.อ.เปรมยังเข้ามาร่วมด้วยนั้น เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ถือเป็นเรื่องดีที่พล.ร.อ.พะจุณณ์พูดชัดเจน ตรงไปตรงมา แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่ว่าจะเป็นคนของพรรคการเมืองที่เข้ามาติดต่อประสานงานกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวและบรรดาคนหน้าเดิมที่ยังไม่ปรากฏตัว

ส่วนคนเสื้อแดงนั้น นายณัฐวุฒิยืนยันว่า ไม่มาเผชิญหน้าแน่ เพราะรู้ทันว่าเรื่องนี้เขาตั้งใจจะชงเองกินเองอยู่แล้ว  แต่ถ้าเลยเถิดจนมีการโค่นล้มรัฐบาลและแช่แข็งประเทศไทย ก็ถึงเวลาและเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เพราะตนอยู่ในประเทศเหมือนที่ พล.อ.บุญเลิศพูดไม่ได้ แต่ขณะนี้ยังมั่นใจคำสัตย์ของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทุกคนที่ลั่นวาจาว่าทหารจะอยู่ในที่ตั้ง วางตัวเป็นกลางทางการเมือง แต่สถานการณ์ก็ทำให้ประมาทไม่ได้ เพราะ 5-6 ปีที่ผ่านมา อะไรที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น มันก็เกิดได้ในการเมืองไทย

“แช่แข็ง” ใครหนาว?

การประกาศจะ “แช่แข็งประเทศไทย-แช่แข็งนักการเมือง” ขององค์การพิทักษ์สยาม และให้มีนายกฯ พระราชทานนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการเมืองไทย เพราะแม้แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ยังพยายามใช้วาทกรรมให้คนไทยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นศูนย์กลางของปัญหาบ้านเมือง โดยใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ แต่ต้องการให้มีการเมืองแบบพรรคเดียว ไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียว จึงเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดความวุ่นวายและความตึงเครียดในสังคมตลอดเวลา

แต่ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐที่ถือเป็นผู้นำโลก กลับกล่าวชื่นชมนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า  “ผมยินดีที่ได้มายืนเคียงข้างผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศไทย เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการยึดถือในประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล นิติรัฐและหลักสิทธิมนุษยชนสากล.."

จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของเอแบคโพลล์จะระบุว่า ประชาชนถึงร้อย 94.5 ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่จะนำประเทศไปสู่การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และเบื่อพฤติกรรมของนักกรเมืองทุกครั้งที่มีการสำรวจความเห็น ทั้งที่ขณะนี้เศรษฐกิจบ้านเมืองกำลังเดินข้างหน้า ผู้นำประเทศมหาอำนาจมาเยือนไทยติดๆ กันถึง 2 คน แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งต้องการ “แช่แข็งประเทศ-แช่แข็งนักการเมือง” ซึ่งไม่ต่างกับพม่าหรือเกาหลีเหนือที่ปิดประเทศ โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะหายนะอย่างไร

อย่างที่ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ความเห็นในเฟซบุ๊คว่า “..การเมืองไทย การเมืองอาเซียน การเมืองโลก ได้วิ่งเลย ‘คนรุ่นเก่า’ หรือ ‘อำนาจเก่า/บารมีเก่า’ ไปแล้วครับ”

แต่สังคมไทยกลับจมปลักกับความรุนแรงและความคิดแบบไดโนเสาร์เต่าล้านปี ซึ่ง นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ ให้ความเห็นว่าวิธีสู้กับฝ่ายขวาจัดว่า ไม่ใช่ปราบปรามกดขี่ให้พวกนี้เป็นวีรชน แต่ต้องล้อเลียนให้เป็นตัวตลกที่ขวางโลก อย่างที่เสนอให้ “แช่แข็งประเทศ”

แช่แข็งประเทศ..จึงมีคนหนาวแน่ แต่ไม่รู้ใครจะหนาว ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น