ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 387 วันที่ 24-30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 หน้า 10 คอลัมน์ เพื่อชาติประชาชน โดย Pegasus
ยุทธศาสตร์ 3 ก้าวของทฤษฎีเติ้ง เสี่ยว ผิง คือเริ่มจากประกาศแผนในปี 1979 จะทำให้เศรษฐกิจจีนในปี ค.ศ. 1990 โตเป็น 2 เท่าของปี 1980 เพื่อให้สังคมพ้นจากความยากจน ปี 2000 เศรษฐกิจจะโตขึ้นอีก 2 เท่า ประชาชนจะกินดีอยู่ดีโดยพื้นฐาน และก้าวที่ 3 ปี 2050 จีนจะรุ่งเรืองระดับโลก มีความมั่งคั่งร่ำรวยถ้วนหน้า
สถานการณ์ในขณะนี้หลังการประชุมสมัชชาครั้งที่ 18 จีนจะหันมาสนใจสิ่งแวดล้อม ดูแลด้านการสาธารณสุข ลดการเติบโตอย่างร้อนแรงเพื่อให้เกิดภาวะสมดุลมากขึ้น โดยกล่าวอย่างอหังการว่าปี 2020 จะไม่เหลือคนจนอีกต่อไป
แน่นอนว่าเป้าหมายของจีนที่จะเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลกในปี 2050 ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่ออีกต่อไป หันมาเปรียบเทียบกับไทยที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน เริ่มแรกประชากรยากจนน้อยกว่า ต่างชาติต้องการเข้ามาลงทุนจำนวนมาก มีก๊าซธรรมชาติส่งออกเป็นลำดับที่ 27 ของโลก มีน้ำมันส่งออกเป็นลำดับที่ 33 ของโลก
แต่ไทยทำอะไรอยู่ ทำไมประชาชนจึงยังลำบากยากแค้น ฆ่าฟันสังหารหมู่กันเองไม่เลิก ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันจีนเปิดประเทศจากที่เศรษฐกิจล้าหลังและยากจนในปี 1980 หรือ พ.ศ. 2523 ขณะที่ไทยมีคนบางกลุ่มคิดจะ “แช่แข็งประเทศ” 5 ปี โดยเริ่มใน พ.ศ. 2556
พ.ศ. 2523 พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก มีการพบแหล่งก๊าซธรรมชาติ ยุติสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แต่ยังใช้ประชาธิปไตยเสี้ยวใบ ครึ่งใบ มีความพยายามทำรัฐประหารหลายครั้ง จนวันที่ 4 สิงหาคม 2531 พล.อ.เปรมวางมือทางการเมืองหลังมีการเดินขบวนเรียกร้องให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ
พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากพรรคการเมือง เริ่มนโยบายใหม่ “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ทำให้มีการเก็งกำไรในที่ดินอย่างรุนแรง เงินเฟื่องฟู แต่รัฐบาลอยู่ได้ 2 ปีกว่าก็ถูกยึดอำนาจโดย รสช. เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 แล้วให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอก เป็นการ “แช่แข็งประเทศ” 1 ปี หลังจากนั้นมีการจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาชนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง มีการปราบปรามผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จบลงด้วยชัยชนะของประชาชนที่นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
แต่ประธานรัฐสภาในขณะนั้นกลับละเมิดกติกาประชาธิปไตย และประชาชนถูกหลอกให้หลงงมงายไปกับสื่อเลือกข้างจนยอมละทิ้งหลักการ โดยสนับสนุนให้มีนายกรัฐมนตรีจากคนนอกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคือนายอานันท์ เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ต่ออีก 1 ปี จนมีการเลือกตั้งโดยนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.เปรม โดยพลิกชนะ พล.ต.จำลองอย่างเหลือเชื่อในปี 2535-2538 เหตุการณ์ช่วงนี้บ้านเมืองสงบเงียบ มีแค่กรณีส่งสุนัขมากัดเกษตรกรชาวอีสานที่มาประท้วงขอความเป็นธรรม
แต่ที่สำคัญคือมีการเปิดเสรีให้นำเงินกู้ต่างประเทศเข้ามาโดยไม่ปล่อยค่าเงินให้ลอยตัว ทำให้มีเงินไหลเข้าประเทศมหาศาลและไร้ทิศทาง ส่งผลให้รัฐบาลต่อมาคือ นายบรรหาร ศิลปอาชา เผชิญหน้ากับเศรษฐกิจขาลง ทั้งยังถูกโจมตีกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าวอีก จึงใช้วิธียุบสภา ทำให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รับเคราะห์วิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ฟองสบู่แตก และต้องลาออก นายชวนได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 และมีการสั่งปิด 56 สถาบันการเงิน มีหนี้เสียจำนวนมหาศาล มีการจัดตั้งองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ขึ้นมาสะสางหนี้ แต่ ปรส. ก็ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้ว่ามีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 10 ข้อหา แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่มีการดำเนินคดีจนจะหมดอายุความในปี 2556
มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งต้องการให้พรรคการเมืองมีความมั่นคง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2544 และชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลสมัยที่ 2 แต่กลับมีการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีการตั้งรัฐบาลชั่วคราว โดยมี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คลอดรัฐธรรมนูญประหลาดฉบับ 2550 แต่ยังได้รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาคือ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่ก็ถูกกลุ่มเสื้อเหลืองชุมนุมกดดัน และรัฐบาลก็มีอันเป็นไปจากอำนาจ “ตุลาการภิวัฒน์” พร้อมกับการเข้ามาของรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารที่ปราบปรามประชาชนจนเสียชีวิตและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์
เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ประชาชนก็ยังเลือกพรรคเพื่อไทยเข้ามา โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็อาจจบลงด้วยอำนาจนอกระบบอีกครั้งจากความคิดจะ “แช่แข็งประเทศไทย 5 ปี”
จีนได้นโยบาย 4 ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยว ผิง ที่ว่า “ปลดปล่อยความคิด ยึดติดความจริง” ทำให้วันนี้จีนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยกวาดล้างพวกกลัวการเปลี่ยนแปลง เกลียดการเลือกตั้ง เพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวและบริวาร
ประเทศไทยจึงถึงเวลาที่ประชาชนทั้งมวลจะลุกขึ้นต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อขับไล่กลุ่มที่กดขี่ประชาชน เพื่อให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง เพื่อให้ลูกหลานมีอนาคตที่ดี แต่ต้องสู้อย่างฉลาด ไม่ประมาท ใช้ปัญญาและรอจังหวะที่เหมาะสม ประชาธิปไตยและประชาชนจงเจริญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น