จาก มิติชนออนไลน์ วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาผ่าทางตัน 3 จี ในหัวข้อ "3 G...อนาคตหลังศาลปกครอง" ว่า
ประเด็นเกี่ยวกับคดีประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิร์ต หรือ 3 จี
ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นผู้ร้องต่อศาลปกครองให้มีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน
หลังจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
มีมติให้สัมปทานสิทธิ์และใบอนุญาตดำเนินการบริการ 3 จี แก่ผู้ประกอบการ 3 ราย คือ บริษัท แอดวานซ์
ไวร์เลส เน็ตเวิร์ค จำกัด ในเครือ เอไอเอส บริษัท ดีแทค เน็ตเวิร์ค จำกัด ในเครือดีแทค และ บริษัท เรียล
ฟิวเจอร์ จำกัด ในเครือทรู คอร์เปอเรชั่นนั้น
ตามกฎหมายปกครองและพระราชบัญญัติ
กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) พ.ศ.2552
กำหนดแนวทางไว้แนวทางเดียวคือให้เปิดประมูล 3 จี
ดังนั้นปัญหาจึงเกิดขึ้นเพราะมีคนโต้แย้งทันทีว่ารัฐได้รับค่าสัมปทานน้อยกว่าความจริงบ้าง และ
ประกาศหลักเกณฑ์การประมูลไม่เป็นธรรมบ้าง
โดยก่อนหน้านี้มีกลุ่มคนที่อ้างเป็นตัวแทนผู้บริโภคไปยื่นฟ้องศาลปกครองกลางรวม
6 คดี (ฉบับ) เพื่อขอให้มีคำสั่งคุ้มครอง และ/หรือ
เพื่อทำให้เอกชนที่ได้รับสัมปทานต้องหยุดเดินหน้าการลงทุนขั้นต่อไป ต่อมาศาลปกครองกลางมีคำสั่งยกคำฟ้อง
เนื่องจากผู้ยื่นฟ้องเป็นผู้บริโภคและการให้บริการ 3 จี
ยังไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้การอ้างเป็นคนไทยเป็นสภาวะที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะคนที่ถือบัตรประชาชนทุกคนก็เป็นคนไทย
เป็นที่น่าสังเกตกรณีศาลปกครองกลางเขียนลงไปในคำฟ้องทั้ง
6 ฉบับ ว่าผู้มีสิทธิหรืออำนาจฟ้อง กสทช.ในการกำหนดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ คือผู้ตรวจการแผ่นดิน
ปัญหาอยู่ที่ว่าเวลาไปฟ้องศาล ศาลต้องบอกไม่รับเรื่องจากโจทก์
เพราะศาลไม่ใช่ที่ปรึกษากฎหมายที่จะต้องแนะนำต่อท้ายว่าให้ไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน
จากนั้นก็ปรากฎว่าคนกลุ่มนี้ไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน
โดยทำหนังสือไปถึงเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ก่อน
ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วไปนำเรื่องยื่นต่อไปฟ้องศาลปกครอง ปัญหาคือผู้ตรวจฯ อาศัยอำนาจไปฟ้อง
เราต้องมาดูว่าหน่วยงานใดบ้างที่อยู่ในอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดิน
เมื่อย้อนกลับไปดูในพระราชบัญญัติตรวจการแผ่นดิน มาตรา 13 (1) ก.
บรรดาคนที่จะไปอยู่ภายใต้อำนาจผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แก่ ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง 3 กลุ่มนี้
ของสังกัดหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ และ ราชการส่วนท้องถิ่น ส่วน กสทช.เป็นหน่วยงานอิสระ
ไม่ได้เข้ากลุ่มตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวเลย
ดังนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินจะลงไปตรวจ
กสทช.ไม่ได้แล้ว และผู้ตรวจการแผ่นดินก็รู้ถึงเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจ
จึงเขียนชัดในคำฟ้องที่ยื่นไปยังศาลปกครองว่า คณะกรรมการ กสทช.ทั้ง 11 คน
ไม่ได้อยู่ในอำนาจการตรวจสอบของผู้ตรวจการแผ่นดิน
พูดง่าย ๆ
คือตัวกฎหมายไม่เปิด แต่ไปอ้างตามศาลปกครองกลางเขียนไว้
อีกทั้งยังบอกว่าบอร์ด
กสทช.ไม่ได้อยู่ในอำนาจ ดังนั้นจึงพุ่งเป้าไปเล่นงานที่ตัวบุคคลคือ เลขาธิการ
กสทช.ซึ่งทำหน้าที่เป็นธุรการสังกัดหน่วยงานรัฐ
ผู้ตรวจการแผ่นดินยังได้ขอศาลอีกเรื่องคือ เรื่องประกาศหลักเกณฑ์การประมูล
ที่ออกโดยบอร์ด กสทช.ทั้ง 11 คน ในหลักกฎหมายหากจะร้องเรื่องนี้
ตามกฎหมายจะร้องได้ต้องพุ่งไปที่ตัวเลขาธิการ และ รองเลขาฯ
กสทช.เท่านั้น
เมื่อมาพิจารณาโดยอิงกับกฎหมายของอเมริกาจะแบ่งการพิจารณารับคำร้องออกเป็น
2 ส่วน
ส่วนแรก เป็นส่วนประกอบคำวินิจฉัยหรือธงของคดี ส่วนที่ 2
ส่วนประกอบไม่ได้เกี่ยวกับคำวินิจฉัย
ในความเห็นของผมการที่ศาลปกครองกลางไปแนะนำว่าคนที่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนประกาศหลักเกณฑ์การประมูล
ส่วนขยายที่ศาลปกครองกลางเขียนต่อท้ายเป็นเพียงส่วนประกอบคำวินิจฉัยเท่านั้น
ไม่ได้เป็นเหตุผลหลักหรือแก่นของคำสั่ง
จึงไม่ผูกพันกับคนอื่น
คำฟ้องของผู้ตรวจการแผ่นดินเองก็ยืนยันชัดเจนว่าบอร์ด
กสทช.ไม่ได้อยู่ในอำนาจ
จึงส่งไปที่ศาลปกครองไม่ได้แต่ยืมคำแนะนำของศาลปกครองกลางส่งเรื่องฟ้องรอบใหม่
โดยความเคารพที่ผมมีต่อศาลนั้น
ศาลปกครองไม่ควรจะต้องรับคำฟ้องตั้งแต่แรกแล้ว
ขั้นตอนการพิจารณาเรื่องเข้าสู่ศาลล้วนมีลำดับ คือ อยู่ในเขตอำนาจหรือไม่
คนฟ้องมีสิทธิ์ยื่นฟ้องหรือไม่ ระยะเวลาการฟ้องและรูปแบบถูกต้องหรือไม่ เพราะการฟ้องคดีต่างๆ
ถ้าหากจบตั้งแต่ตรงนี้ ก็ไม่ต้องเปิดพิจารณาใด ๆ
แต่เมื่อเปิดไต่ส่วนไปแล้วประมาณสัปดาห์กว่า ไม่รู้จะออกคำสั่งคุ้มครองหรือไม่
เป็นเรื่องที่กำลังลุ้นกันอยู่ แสดงว่าศาลรับเรื่องนี้เข้าไปแล้ว ในความเห็นของผมคือ
เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจ จะส่งได้เฉพาะคำสั่ง กฎระเบียบ ของเจ้าหน้าที่
และกรณีการออกประกาศกฎเกณฑ์การประมูล 3 จี กำหนดโดยบอร์ด
กสทช.ที่ไม่ได้เจ้าหน้าที่รัฐหรือสังกัดส่วนราชการต่าง
ๆ
ถามว่าแล้วศาลปกครองจะตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลยหรือ คำตอบของผมคือ "ได้"
แต่ต้องดูว่าคนฟ้องเป็นใคร ในเมื่อตามกฎหมายผู้ตรวจการแผ่นดินทำได้เฉพาะในกรอบที่ระบุไว้เท่านั้น
จะไปฟ้องเรื่องอื่นไม่ได้ เพราะคำฟ้องที่เขียนลงไปยื่นฟ้องก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่มีอำนาจตรวจสอบบอร์ด
กสทช.
โดยสรุปแล้วผมมีความเห็นว่าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจไปตรวจสอบประกาศหลักเกณฑ์การประมูล
3 จี และ ศาลปกครองไม่ควรรับคำฟ้องตั้งแต่แรกแล้ว
ทางด้านนายเกอร์ราร์ด โปโกเรล
นักเศรษฐศาสตร์ด้านโทรคมนาคมจากฝรั่งเศส กล่าวในงานสัมมนาเดียวกัน หัวข้อ
"เศรษฐศาสตร์การเมืองในการกำหนดราคาคลื่นความถี่" ว่ากรณีการประมูล 3 จีของประเทศไทย
ที่มีข้อถกเถียงกันอยู่ขณะนี้ถึงราคาประมูลที่ผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย จ่ายค่าสัมปทานบริการ 3 จี
ควรจะต้องทำให้รัฐซึ่งเป็นผู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีต้องได้รับเงินสูงกว่า 40,000-45,000
ล้านบาท
นักเศรษฐศาสตร์โทรคมนาคมทั่วโลกมีความเห็นคล้ายคลึงกัน คือ
ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะสมที่ไทยควรจะพัฒนาเทคโนโลยีบริการคลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิร์ต
ส่วนราคาประมูลเป็นเพียงปัจจัยเล็ก ๆ เท่านั้น
เรื่องการพัฒนาบริการคลื่นความถี่ของประเทศต่างในสหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป
ส่วนใหญ่จะเน้นวางรูปแบบบริหารจัดการ
โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการเปิดทางให้ผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขัน
เพื่อลดอำนาจการต่อรองระหว่างรัฐกับผู้ที่ได้สัมปทาน และ เพิ่มทางเลือกให้แก่ภาคธุรกิจ
ผู้บริโภคทุกกลุ่ม จะได้ใช้โครงข่ายโทรคมนาคมราคาถูกลงโดยอัตโนมัติ
เป้าหมายหลักต้องให้น้ำหนักการตอบโจทก์บริการสาธารณะแก่คนทั้งประเทศ รวมถึง 3 จี
ยังเป็นเครื่องมือสำคัญของประเทศที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องใช้และนำมาใช้พัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจแข่งขันกับนานาประเทศ
เพราะหากสนใจเรียกร้องกันแต่เรื่องเพิ่มค่าสัมปทาน
ยิ่งสูงมากจะยิ่งกลายเป็นอำนาจที่ผู้ประกอบการจะนำมาต่อรองกับรัฐบาลได้
กรณีการจัดเก็บค่าบริการจากผู้ใช้
เนื่องจากการลงทุนด้วยการจ่ายเงินค่าแรกเข้าสูงมาก
ส่วนการจัดการคลื่นความถี่เป็นอีกเรื่องที่สำคัญมาก
เป็นหน้าที่ของ กสทช.ต้องทำหน้าที่กำกับดูแลให้ผู้ลงทุนมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
และสถานการณ์ในประเทศไทยตอนนี้คลื่นความถี่มีความผันผวนสูงมาก
ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำให้ประเทศไทยลองพิจารณาวิธีการจัดการคลื่นความถี่
โดยทำบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการที่เข้ามาลงทะเบียน
หาส่วนแบ่งตลาดจากเครือข่ายอนาล็อกเดิมแบ่งมาพัฒนาเป็นดิจิตอลเพิ่มขึ้น และ
เพิ่มแรงจูงใจหรืออินเซ็นทีฟการให้สัมปทานแก่ผู้ประกอบการที่สนใจลงทุนนำคลื่นอนาล็อกมาแบ่งให้รายอื่นทำเครือข่ายดิจิตอล
ทำควบคู่ไปพร้อมกับอีก
3 ช่องทาง นั่นคือ หาวิธีนำคลื่นที่เหลืออยู่มาพัฒนาใหม่ ใส่เทคโนโลยีใหม่เข้าไป และ
หากลกลไกการตลาดเข้ามาเสริม เพื่อให้เกิดกุญแจแห่งความสำเร็จ 2 เรื่อง คือ
1.เพิ่มประสิทธิภาพทางเทคโนโลยีประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายและบริการให้แก่ ภาครัฐ เอกชน
สาธารณะ
2.จัดการทางด้านการตลาดได้เต็มที่
เพื่อกระตุ้นการแข่งขันทำให้ผู้ใช้บริการได้ประโยชน์สูงสุด
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1353494827&grpid=01&catid&subcatid
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น