Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปิดเส้นสนกลในคดีฉาวก่อนตัดสินจำคุกลิ้ม20ปี ไม่ต้องนอนคุกให้ประกันฉลุยศาลไม่อ้างซักแอะโทษสูง

ข้อมูลจาก thai E-News

ศาลเมตตาลิ้ม แต่ไม่เมตตาสุรชัย-อากง...สนธิ ลิ้มทองกุล มาขึ้นศาลคดีที่มีเส้นสนกลในอันฉาวโฉ่ ก่อนถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ให้ประกันตัวออกมาในวงเงิน 10 ล้านบาท (ภาพ:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)



เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีสุรชัย แซ่ด่าน ถูกตัดสินจำคุกวันเดียวกัน 7 ปี 6 เดือนไม่ได้ประกันตัว และ กรณีอากงถูกตัดสินจำคุก 20 ปีเช่นเดียวกับนายสนธิ ไม่ได้ประกันตัว ศาลอ้างว่าอัตราโทษสูง เกรงจะหลบหนี
โดย ฤทธิ์ วิษณุ

28 กุมภาพันธ์ 2555

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีคำพิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลย เป็นเวลา 20 ปี ฐานผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ กรณีรับรองเอกสารในฐานะกรรมการบริษัทอันเป็นเท็จเพื่อให้บริษัทที่ตัวเองถือ หุ้นอยู่ไปกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยฯ จำนวน 1,078 ล้านบาท
โดยศาลลงโทษจำคุกรวม 17 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 85 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 42 ปี 6 เดือน แต่ตามกฎหมายลงโทษสูงสุดได้ไม่เกิน 20 ปี โดยคดีนี้ศาลไม่รอลงอาญา
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายสนธิ ไปไว้ที่ห้องพักจำเลย โดยนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายสนธิ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่า 10 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี
ต่อมาเวลา 17.45 น. ศาลมีคำสั่ง ให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายสนธิ โดยตีราคาประกัน 10 ล้านบาท



แทนที่จะถูกลงโทษคดียึดสนามบิน สนธิกลับโดนคดีนี้ ความเป็นไปเป็นมาของคดีเป็นอย่างไร เดี๋ยวไปรู้จักเส้นทาง และเส้นสนกลไนของคดีนี้ อันนับเป็นจุดตายของสนธิลิ้มกันครับ

คดีนี้ สนธิ ลิ้ม (โกตั๊บ) ประมุขคนสำคัญของกลุ่มมวลชนขวาจัดเสื้อเหลือง ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาโทษตัดสินจำคุก 20 ปีโดยไม่รอลงอาญา กับความผิดถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริต ลงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวงผู้ถือหุ้น ผู้ตรวจสอบบัญชี กรรมการบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากรอวันถูกลบชื่อทิ้งในตลาดหลักทรัพย์

โกตั๊บ ตกเป็นจำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ในคดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง ในความผิดในคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีระหว่างวันที่ 8-31 ตุลาคม39 โดยร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัท

คดีนี้ เป็นคดีฉ้อโกงที่เกิดจากเมื่อครั้งโกตั๊บทำการฉ้อฉลโดยมีหลักฐานพร้อมเพรียง และก็รู้ดีว่า หมิ่นเหม่ที่จะถูกลงโทษอย่างยิ่ง จึงได้พยายามดิ้นรนซื้อเวลาเพื่อหาทางหลุดพ้นอย่างสุดฤทธิ์

โดยมีทนายคู่ใจคือสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ซึ่งมีชื่อเป็นทนายคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯเสื้อเหลืองมาตลอดคอยแก้ต่างให้ ทั้งในการสืบพยาน และมีกระแสข่าวเรื่องล็อบบี้ทั้งบนโต๊ะ-ใต้โต๊ะให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ รวมถึงการใช้เพทุบายในการพิจารณาความในศาลอ้างเหตุเลื่อนยื้อมายาวนาน

จนกระทั่งล่าสุด ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าโกตั๊บ ได้ส่งทนายมาขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษา โดยอ้างว่าต้องเดินทางไปรักษาตัวด้วยวิธีฝังเข็มที่ประเทศจีน (จริงๆแล้ว ไม่ได้ไปรักษาตัว แต่ไปดูแลกิจการที่ซุกเอาไว้ในจีน หลังจากที่ล้มบนฟูก และฉ้อฉลเจ้าหนี้ไปจำนวนมาก เพราะไม่ต้องการใช้หนี้ และข่าวนินทาไล่หลังว่าพากิ๊กสาวคนใหม่ไปทัวร์จีนตามประสาคนวัยทองที่ยังมีไฟราคะ)

แต่ศาลเห็นว่าจำเลยเลื่อนฟังคำพิพากษามาแล้วหลายครั้ง จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายสนธิ พร้อมนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 28 ก.พ. เวลา 09.00 น.

หลังจากถูกออกหมายจับ สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ต้องจำยอม เข้ามอบตัวต่อศาล เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม โดยศาลมีคำสั่งปรับเงินนายสนธิจำนวน 4,000 บาท พร้อมกำชับให้ไปฟังคำพิพากษาตามวันที่นัดหมายด้วย
ก่อนเข้ามอบตัวต่อศาลหลังถูกออกหมายจับโกตั๊บ ยังออกลีลาดิ้นรนครั้งใหม่แบบเดิม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการโกหกคำโตชูการเมืองขึ้นมากลบเกลื่อนเสมอ โดยครั้งนี้ได้โทรศัพท์จากจีนมาปราศรัยกับแกนนำพันธมิตรที่สุมหัวกันอย่างเบาบางแบบแผ่นเสียงตกร่อง ในงานตรุษจีนปีใหม่ที่ลานสำนักงานASTVถนนพระอาทิตย์เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม เรียกร้องให้กองทัพออกมายึดอำนาจเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคดีอาญาดังกล่าว

คำพูดทางโทรศัพท์อันชาชินมายังพลพรรคที่สุมหัวกันอยู่
”...ผมเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะออกมาสู้ และสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่ประท้วงที่ถนน จะต้องสู้เพื่อยึดอำนาจรัฐเลย ต้องสู้เพื่อแตกหัก เพราะถ้าไม่แตกหักแล้ว พระเจ้าอยู่หัวเราไปไม่รอด ผมเป็นคนแรกที่บอกว่าทหารเท่านั้นที่จะเป็นเสาค้ำพระเจ้าอยู่หัว แต่ถ้าทหารไม่สามารถจะค้ำได้ อีกไม่นานพวกเราคงต้องออกมาค้ำพระเจ้าอยู่หัว และถ้าออกมาครั้งนี้ ต้องชนะอย่างเด็ดขาด ไม่มีการตีงูให้กากิน แล้วก็ไม่มีการให้แมลงสาปตีกินพวกเราอีก......"
ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะเขาเจ้าเล่ห์มากพอที่รู้ดีว่าสื่อมวลชนไทยกระแสหลักนั้นโง่เง่า และหวาดกลัวอิทธิพลของกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเขามากเพียงใด
ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่การดิ้นรนเอาตัวรอดของสุนัขที่จนตรอกเท่านั้น ไม่มีอะไรพิสดาร การพยายามจุดเชื้อไฟของผู้โหยหาการรัฐประหารเพื่อเสวยสุขจากอำนาจดิบ โดยอาศัยปมเงื่อนสำคัญ 2 เรื่อง คือ


1.สร้างเงื่อนไขเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

2. สร้างความหวาดระแวงเรื่องจะโดนปลดให้เกิดกับนายทหารที่กุมอำนาจอยู่ เป็นพฤติกรรมที่สิ้นมนต์ขลังไปนานแล้วเพราะมีคนรู้เท่าทันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การดิ้นรนของโกตั๊บเพื่อหลุดจากคดีอาญาที่เขาถูกกล่าวหาว่าทำการยักยอกเงินหลายพันล้านไปใช้เพื่อสร้างความร่ำรวยผ่านความพินาศของกลุ่ม เอ็ม กรุ๊ป เมื่อครั้งฟองสบู่เศรษฐกิจ เป็นความพยายามทำให้คนไทยที่โง่เขลาและไร้เดียงสาลืมความผิดอันร้ายแรงที่เขาและพวกก่อขึ้นมาอย่างดื้อรั้นมาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว ผ่านวิชามารในการสร้างความเป็นจริงเทียมอย่างช่ำชอง

ความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2539-2540 โดย สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ กับพวกซึ่งเป็นกรรมการบริษัท รวม 4 คน ร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ( MGR) เจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ(ปัจจุบันแปลงร่างมาเป็นเอเอสทีวี) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539-30 เมษายน 2540 เพื่อ ค้ำประกันการกู้ยืมเงินจำนวน 1,078 ล้านบาทให้แก่บริษัทเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ MGR โดยที่คณะกรรมการ MGR ไม่ได้รับทราบ

เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป คือบริษัทส่วนตัวของโกตั๊บ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโฮลดิ้งของกลุ่มมีภารกิจลงทุนเพื่อสร้างอาณาจักรของ โกตั๊บทั้งในและต่างประเทศในวงเงินหลายพันล้านบาททั้งในธุรกิจสื่อ (Asia Inc, Asia Times, Buzz และ A&M) และโรงแรม โทรคมนาคม ทั้งในจีน ลาว เวียดนาม และไทยหลายโครงการซึ่งล้มเหลวทั้งหมด

โดยที่เมื่อถึงเวลาขาดสภาพคล่อง ก็ใช้วิศวกรรมการเงินเอาสินทรัพย์ของบริษัทในเครือมาค้ำประกันกันจ้าละหวั่นอย่างซับซ้อนเพื่อหลอกลวงเจ้าหนี้

เมื่อเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป ใกล้จะล่มสลายโดยเริ่มผิดนัดชำระเงินกู้ โกตั๊บ ได้พยายามให้บริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีช่องทางระดมเงินได้สะดวกกว่าบริษัททั่วไปที่อยู่ในโครงข่ายของตนเอง เข้าไปค้ำประกันหนี้ของสถาบันการเงินอย่างสุดฤทธิ์ โดยการใช้ข้อความเท็จหลอกลวงผู้ถือหุ้น ผู้ตรวจสอบบัญชี กรรมการบริษัท และตลาดหลักทรัพย์

แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถกอบกู้ได้ พร้อมกับเกิดปฏิบัติการ”ชักดาบ”ล้มบนฟูกของโกตั๊บ อันเป็นที่ทราบกันดีในวงการการเงินและธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน
จนไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ไหนๆได้อีก ยกเว้นแต่จะอาศัยสายสัมพันธ์ทางอำนาจการเมือง ซึ่งเป็นเหตุผลและที่มาของพฤติกรรมการเข้ามาเป็นประมุขของพันธมิตรฯเสื้อเหลืองจนถึงปัจจุบัน

กรณีอื้อฉาวนับจากวันที่ 28 พฤศจิกายน 2542 โดย ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษสุรเดช มุขยางกูร ลิ่วล้อคนสำคัญผู้นั่งบัญชาการในฐานะตัวแทนของโกตั๊บ ในวิศวกรรมการเงินหลายครั้งในช่วงฟองสบู่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน)
หรือIEC ที่โกตั๊บ และทักษิณ ชินวัตร ร่วมซื้อกันต่อมาจากกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยที่ขายทิ้งออกมาเพื่อเอามาปั้นแต่งเข้าจดทะเบียนในตลาดทำกำไรหลายพันล้าน ก่อนที่จะแตกหักกับทักษิณในครั้งแรก (แล้วมาคืนดีกันหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง เพื่อแตกหักกันต่อมาในปี 2548อีกครั้ง)


ในยุคนั้น สุรเดช กร่างถึงขนาดชมชอบแสดงท่าทีอหังการตามนายอย่างสามหาวไม่ผิดแผกกัน ถึงขนาดเล่ากันเป็นตำนานว่า เวลามีการเจรจาธุรกิจหรือประชุมบริษัท สุรเดชจะนั่งยกเท้าพาดขอบโต๊ะและสูบซิการ์ควันโขมง พร้อมกับสบถถ้อยคำถ่อยๆ แบบเดียวกับ"เจ้าพ่อตลาดหุ้น"กอร์ดอน เก็กโก้ ในภาพยนตร์เรื่อง วอลล์ สตรีท ของฮอลลีวูดทีเดียว

ก.ล.ต. กล่าวหาว่า กรณีลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทที่มีข้อความว่าที่ ประชุมคณะกรรมการของ IEC ได้อนุมัติให้ IEC เข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ปฯ ต่อธนาคารกรุงไทย ในนามของ IEC อันเป็นกิจการที่เกินขอบเขตที่คณะกรรมการของ IEC ได้กำหนดไว้และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของ IEC ก่อนระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 ทำให้ IEC มีภาระหนี้ค้ำประกันจำนวน 1,198 ล้านบาท

ที่น่าสนใจ การกู้เงินรายนี้ของเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด มีบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MGR ร่วมเป็นผู้ค้ำประกันด้วยอีกวงเงินหนึ่ง 1,078 ล้านบาท ลงนามโดยคน 4 คน รวมทั้งสุรเดช ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม โดยเรื่องนี้กรรมการของ MGR ไม่ได้รับทราบ และไม่ได้มีการเปิดเผยในงบการเงินของ MGR ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งในการทำสัญญาประกันดังกล่าว
บุคคลทั้ง 4 ได้ร่วมกันปลอมสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการ MGR เพื่อลวงให้ธนาคารกรุงไทยหลงเชื่อว่า คณะกรรมการ MGR ได้มีมติให้ทำสัญญาค้ำประกัน

ในกรณีของ IEC นั้น การสอบสวนพบว่า เป็นการดำเนินงานของสุรเดช เพียงผู้เดียว โดยยอมรับว่า บริษัทไออีซีค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อกันหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2539 เพราะบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางสุรเดช และตัดสินใจโดยพลการว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท เพราะมูลค่าหลักประกันที่เดอะเอ็มกรุ๊ป มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไออีซี ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือด้านธุรกิจมาตลอดตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทใน เครือเดียวกัน

ในช่วงเวลานั้น ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(ในขณะนั้น) และเป็นประธานกรรมการ IEC ซึ่งถนัดกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะกุนซือคนสำคัญของโกตั๊บมายาวนาน ในช่วงที่มีการค้ำประกันเงินกู้ออกมาปฏิเสธว่า คณะกรรมการ IEC ไม่เคยอนุมัติให้ค้ำประกันเงินกู้ให้เดอะเอ็มกรุ๊ป แต่ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของ IEC ปลอมมติคณะกรรมการ

สุรเดช หายหน้าไปจากสังคม หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งใน IEC ก่อนที่จะโผล่มาอีกครั้งเป็นบางเวลา ในตำแหน่งที่ปรึกษาเครือสหวิริยา ในขณะที่การดำเนินคดีทั้งสองกรณี ยังคงดำเนินต่อไปอย่างล่าช้า
(หมายเหตุ ต่อมา IEC ได้ถูกสนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ผ่องถ่ายขายกิจการต่อไปให้กับกลุ่มเสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ไปดำเนินการต่อ และก็กลายเป็นซากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันเช่นกัน)
จนกระทั่งวันที่ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาออกมาลงโทษในฐานะอาชญากรทางเศรษฐกิจล่าสุด
คำพิพากษาระบุว่าสุรเดช มีความผิดหลายมาตรานับแต่มาตรา 307 311 312(2) และ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตาม มาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษหลายฐานความผิด ได้แก่



(1) ฐานเป็นกรรมการลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมเพื่อลวงให้นิติบุคคลหรือผู้ ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ตามมาตรา 312(2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ให้จำคุก 5 ปี และปรับ 500,000 บาท

(2) ฐานเป็นกรรมการกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคล

(3) ฐานเป็นกรรมการกระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นตามมาตรา 307 311 ประกอบ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษตามมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ

ชะตากรรมของลิ่วล้อคนสำคัญอย่างสุรเดช ยังน้อยเกินไป เพราะกรณีของแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปนั้น สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ไม่สามารถดิ้นรนหนีข้อกล่าวหาไปได้
พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแทน ก.ล.ต. กล่าวหา สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ พร้อมกับ สุรเดช จำแลยคดี IEC เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เลขาหน้าห้องของสนธิ ที่กุมความลับและความริยำทุกอย่างไว้ในกำมือ และ ยุพิน จันทนา สมุหบัญชีคนเก่าแก่ ในฐานะกรรมการบริษัท เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทแมเนเจอร์ ฯ( MGR) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539-30 เมษายน 2540

การกระทำดังกล่าวของบุคคลทั้ง 4 ราย เป็นการกระทำทุจริตโดยใช้ อำนาจที่ตนได้รับมอบหมาย แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อผู้อื่น อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลประโยชน์ของ MGR เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 307, 311 และ 312 ซึ่งแต่ละกระทง ระวางโทษจำคุก 5-10 ปีและยังมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และ 268
หลังพนักงานอัยการ และ ก.ล.ต.กล่าวโทษในครั้งนั้นแล้ว เรื่องราวของโกตั๊บ และบริษัท เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป ในคดีนี้ก็เงียบหายไปจากหน้าสื่ออย่างมีเจตนา นานกว่า 10 ปี แต่การดำเนินการในศาลอาญายังไม่จบสิ้น พร้อมกับความพยายามยืดเวลาการสืบพยานออกไปให้ล่าช้าที่สุด

โดยมีเรื่องการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯเสื้อเหลืองเข้ามากลบเกลื่อน โดยโผล่มาเป็นข่าวโด่งดังอีกครั้ง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 มีข่าวเล็กๆระบุว่า ศาลอาญามีคำสั่งเลื่อนนัดสอบคำให้การจำเลยในเป็นวันที่ 12 ตุลาคม 2552 โดยโกตั๊บ มอบอำนาจให้ทนายความ ยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดโดยอ้างว่า อยู่ระหว่างพักรักษาอาการบาดเจ็บจากการผ่าตัดบาดแผลถูกลอบยิงที่ศีรษะ
การที่ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาทั้งปรับและจำคุกลิ่วล้ออย่างสุรเดชในคดีที่เชื่อมโยงกันถึง 5 ปี ต่อเนื่อง ถึงการที่สุรเดชยังเป็นจำเลยร่วมในคดีเดียวกับสนธิ ลิ้ม โกตั๊บด้วย ทำให้สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ต้องลุ้นระทึกอย่างหนัก เพื่อมิให้ คดีของตัวเองจะออกมาเช่นเดียวกับลิ่วล้อเก่าอย่างสุรเดช

หลายครั้งที่ต้องมาขึ้นศาลในคดีอาญาเรื่องนี้โกตั๊บ จะออกมาให้ข่าวหน้าศาลในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี โดยกล่าวถึงความชั่วช้าของทักษิณ ชินวัตร หรือ การปกป้องเขาพระวิหาร เพื่อเลี่ยงประเด็นให้สื่อนำไปพาดหัวข่าวใหญ่ กลบเกลื่นความชั่วที่ตนเองถูกกล่าวหาอย่างซ้ำซาก และที่น่าสนใจก็คือ มักจะได้ผลเสียด้วย ทำให้สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ย่ามใจเสมอมา

คำพูดชี้ชวนให้ทหารออกมายึดอำนาจทำรัฐประหารครั้งล่าสุด จึงเป็นหมากตาจนที่งัดขึ้นมาใช้แก้ขัด ก่อนจะถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่คงจะไม่ใช่หมากเดียวในหน้าตักของสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์โกตั๊บอย่างแน่นอน
เมื่อผลคำตัดสินของศาลออกมาฉะนี้แล้ว ก็อย่าได้คาดหวังมากนักว่า มวลชนเสื้อเหลืองจะตาสว่างเพิ่มขึ้นสักกี่คน

ถ่วงดุล"ส.ว.-ศาล-องค์กรอิสระ" แก้รธน.ฉบับ"วัฒนา เมืองสุข"

สัมภาษณ์พิเศษ โดย พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์
ที่มา:มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555
วัฒนา เมืองสุข ไม่ใช่แค่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) ธรรมดา แต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในภารกิจหลังฉากของทั้งรัฐบาล-พท. ด้วยคุณสมบัติพิเศษคือเป็น "สายตรงนายใหญ่"

เมื่อ "วัฒนา" พูดถึงจุดบกพร่องของรัฐธรรมนูญ (รธน.) 2550 ที่ต้องกำจัด จึงพออนุมานได้ว่าสิ่งนั้นเป็น "พิมพ์เขียวในใจของ พท." ในการยกร่าง รธน.ฉบับใหม่ ภายหลังร่าง รธน.ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.... ที่จะนำไปสู่การตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภา ด้วยคะแนนเสียง 399:199

"มติชน" ขอนำเสนอไอเดีย ที่น่าสนใจของ "วัฒนา" มาบางส่วน...

รธน. ปี 2550 มีจุดบกพร่องอะไรบ้าง

ตัวโครงสร้างองค์กรต่างๆ ไม่เป็นปัญหา แต่การวางโครงสร้างการเข้าสู่อำนาจและการตรวจสอบต้องทำใหม่ จากปัญหาคือ 1.ดุลยภาพแห่งอำนาจไม่สมดุล เพราะอำนาจอธิปไตยแบ่งเป็น 3 ส่วน รธน.มาตรา 3 เขียนไว้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ แต่วันนี้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติกลับตรวจสอบฝ่ายตุลาการไม่ได้เลย คำว่าตรวจสอบไม่ได้แปลว่าแทรกแซง ก่อนตัดสินคดีไม่มีใครไปยุ่งกับคุณ แต่ถ้าตัดสินแล้วผิดทำนองคลองธรรม ต้องตรวจสอบได้ว่าทำไมตัดสินแบบนี้ หรือถ้าไม่ให้ประกันตัว ทำไมถึงไม่ให้ แต่วันนี้คุณไม่มีสิทธิอย่างว่า เพราะกฎหมายไม่เปิดช่องให้ ผมเป็นตัวแทนประชาชน แต่ตรวจสอบการใช้อำนาจของประชาชนไม่ได้ มันผิดปกติแล้ว

"ถ้าองค์กรไหนถูกตรวจสอบไม่ได้ องค์กรนั้นจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ง่าย จะใช้อำนาจตามอำเภอใจ เราจึงได้ยินคำว่าตุลาการภิวัฒน์ ตุลาการภิวัฒน์ได้ยังไง (เน้นเสียง) คุณต้องทำตามกฎหมาย คุณใช้อำนาจเกินกฎหมายได้ยังไง ที่ศาลออกมาเอ็กเซอร์ไซส์ทางการเมืองมันผิด มันไม่ควรจะเกิด และมันต้องไม่เกิด"

2.องค์กรอิสระขาดการตรวจสอบ ขัดกับหลักนิติรัฐเรื่องความรับผิดชอบทางกฎหมาย คุณตรวจสอบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ไหม ปล่อยคดีขาดอายุความ มีใครรับผิดชอบบ้าง ถ้าเป็นตำรวจหรืออัยการป่านนี้ติดคุกไปแล้ว ที่ตรวจสอบไม่ได้เพราะการถอดถอนมันต้องทำผ่าน ส.ว. ใช้เสียง ส.ว.สามในห้า แต่กลับไปดูคนที่ตั้ง ส.ว.เป็นใคร ก็ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธาน ป.ป.ช. ก็คุณตั้งเขามา แล้วเขาจะปลดคุณได้ยังไง ส.ว. 74 คน คุณเป็นคนเลือก ลงมติกี่ชาติ ยังไงก็ถอดคุณไม่ได้ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ควรมีองค์กรเหล่านี้ มีได้ แต่ต้องไม่ใช่คนถูกตรวจสอบเป็นคนเลือกคนที่จะมาสอบ

3.การเข้าสู่อำนาจขององค์กรตาม รธน.ไม่สัมพันธ์กับอำนาจ เช่น ส.ว.ถ้าแค่ให้กลั่นกรองกฎหมาย ไม่ต้องไปเสียเงินเลือกตั้ง เลือกคนดี-คนมีความรู้มา แต่ถ้าจะใช้อำนาจอธิปไตยลอยมาแบบนี้ไม่ได้

จะให้ถอดถอนรัฐมนตรีหรือ ส.ส.ได้ ต้องเป็น ส.ว.เลือกตั้ง

ถ้าจะมีอำนาจเหมือนที่เขียนไว้ใน รธน. ปี 2550 สรรหาไม่ได้ มีสิทธิอะไรให้คน 7 คนเหนือกว่าประชาชนหลายแสนที่เลือกผมมา ทฤษฎีคือคนเลือกผมมา 1.5 แสนคน ส.ว.ต้อง 3 แสนคนถึงจะครอบผมได้ อย่างในสหรัฐอเมริกามี ส.ว.ประมาณ 100 คน ส.ส.ประมาณ 400 คน อำนาจ ส.ว.จึงมากกว่า ส.ส. หลักการทั่วโลกเป็นอย่างนี้ รธน. ปี 2550 มันไม่เป็นประชาธิปไตย การถ่วงดุลจึงล้มเหลว

4.บทบัญญัติเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาประเทศ เช่นมาตรา 67 บอกท้องถิ่นขัดขวางการใช้อำนาจของรัฐบาลกลางได้ แม้จะเป็นประโยชน์สาธารณะ หรือมาตรา 190 จะไปเจรจาที่ไหนต้องมาขอสภาก่อน มีใครเขาทำกัน 5.บทบัญญัติขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมือง ที่เป็นศาลเดียวจบ 6.กฎหมายที่ดีต้องเข้าใจง่าย กฎหมายไหนที่ต้องจ้างทนายมา ตีความเป็นกฎหมายเลว ใช้ไม่ได้ แล้ว รธน.ฉบับนี้นำไปสู่การตีความตลอดเวลา แปลว่าบทบัญญัติมันไม่ได้ ต้องแก้

ที่ผมพูดเป็นหลักการล้วนๆ จะมีที่มาจากไหน ไม่สำคัญ แต่โครงสร้างมันผิด วิธีคิดมันผิด แล้วจะแก้ยังไง โครงสร้างมันดีแล้ว แต่ต้องสร้างสมดุลที่ตรวจสอบ กันและกันได้ อำนาจไหนหรือองค์กรไหนที่ถูกตรวจสอบได้ จะไม่กล้าใช้อำนาจตามอำเภอใจ ที่ผ่านมาคุณจะเห็นว่าบางคดีที่ไม่ควรจะมีมูล มันก็มีมูล ไปถึงศาลยกฟ้องหมด เช่น คดี คตส. นี่แปลว่าอะไร แปลว่าคุณใช้อำนาจตามอำเภอใจ เป็นเครื่องมือทางการเมือง

คนออกแบบ รธน. ปี 2550 หวังให้ไม่สมดุล

เขาตั้งใจ

เพราะต้องการใช้บางองค์กรเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ถูกต้อง ไม่งั้นจะใช้ ส.ว.มาครอบงำองค์กรเหล่านี้ ใช้องค์กรเหล่านี้ไปเช็กบิลอีกฝั่งทำไม

ทั้งศาล ส.ว.และองค์กรอิสระถูกใช้หมด?

รธน. ปี 2550 ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมือง มันผิด ต้องเปลี่ยนโครงสร้าง ที่มา ให้อำนาจมันดุลและคานกัน แค่นั้นก็จบ

คนร่างบอกว่า รธน. ปี 2550 แก้ปัญหาฝ่ายตรวจสอบอ่อนแอ

มันทำให้ฝ่ายตรวจสอบมีที่มาไม่โปร่งใส เลยกลายเป็นเครื่องมือของมือที่มองไม่เห็น มันไม่ได้ตอบอะไรเลย โครงสร้าง รธน. ปี 2550 ดีแล้วละ แต่การเข้าสู่อำนาจมันไม่ใช่ ผมไม่ได้บอกว่าจะไปช่วยใคร แต่มันจริงหรือเปล่าละ ที่ผมพูด ถ้ามันจริง ทำไมไม่แก้ ทำไมคุณมีความสุขกับความบิดเบือนของมัน ทำไมต้องปกป้องสิ่งที่มันชำรุดไว้

มีการอ้างว่ารัฐบาลสมัยนั้นแทรกแซงองค์กรอิสระผ่าน ส.ว.ที่เป็นพรรคพวกตัวเอง-เราก็แก้ตรงนั้นสิ

แต่ รธน. ปี 2550 มันหนักเลย หลักการมันผิด ผมไม่ได้บอกว่าสิ่งเหล่านี้ต้องไม่มี ส.ว.ควรจะมีไหม มีได้ แต่ที่มาต้องสัมพันธ์กับอำนาจ องค์กรอิสระต้องมี แต่ต้องมาโดยปราศจากการครอบงำ และต้องมีความรับผิดชอบ คุณทำคดีขาดอายุความ คุณต้องติดคุกคดีมีเป็นหมื่นคดี คุณต้องตอบได้ว่าทำไมหยิบคดีนี้ ทำไมคดีโน้นคุณไม่ทำ ถ้าประชาชนตรวจสอบได้ ทุกอย่างจะโปร่งใส

จากปัญหาทั้ง 6 ข้อที่ยกมา ข้อไหนร้ายแรงที่สุด

ดุลอำนาจ การเข้าสู่อำนาจ การตรวจสอบ นั่นเรื่องใหญ่ที่สุดแล้ว ไม่งั้นมันถูกใช้เป็นเครื่องมือ มันนำมาซึ่งความขัดแย้ง องค์กรไหนที่ตรวจสอบยาก เช่น ทหาร สุดท้ายจะกลายเป็นแดนสนธยา

ทีมกฎหมาย พท.บางคนเสนอโละองค์กรอิสระให้เหลือแค่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ ป.ป.ช.

ควรจะเหลือเท่าที่จำเป็น

แล้วศาลรัฐธรรมนูญกับศาลปกครองยังจำเป็นหรือไม่

มันไม่จำเป็นนี่ ก็ใช้ศาลฎีกาแล้วเปิดแผนกขึ้นมาก็ได้ เวลามีคดีก็ส่งเขา ก็คัดผู้พิพากษาขึ้นมา

ทำไมต้องเลิก

มันใช้ผู้พิพากษาเป็นแผนกได้ เช่น แผนกคดีเลือกตั้งไง ไม่เห็นจำเป็นต้องมีศาลเลือกตั้งเลย เพราะมันไม่ได้มีคดีเกิดขึ้นทุกวันเป็นอาจิณ ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคดีทุกวัน นานๆ ที ก็ใช้แผนกของศาลฎีกาได้

ถ้ามี รธน.ฉบับใหม่ ผลพวงรัฐประหารปี 2549 จะลบล้างอย่างไร

มันไม่เกี่ยวกับ รธน.ฉบับนี้ คนละตัวกัน รธน.จะเขียนบทบัญญัติลบโน่นลบนี้ไม่ได้ นิติประเพณีไม่มีใครพิเรนทร์ขนาดนิรโทษกรรมผ่าน รธน. ไม่มีใครเขาทำกันหรอก

แล้วองค์กรอิสระที่ตั้งโดย คมช.อย่าง ป.ป.ช. กกต. ถ้าเขียนวิธีสรรหาใหม่ควรจะทำอย่างไร

ก็สรรหาใหม่ ใน รธน.ต้องกำหนดเวลาไว้ แต่ถ้ามีสปิริตก็ควรจะลาออก ไม่ควรจะนั่งอยู่ ถ้าเป็นผมผมละอาย ผมลาออก ไม่อยู่หรอก

ส.ว.บางคนท้าว่ามี รธน.ใหม่ก็ต้องยุบสภาเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่

ไม่ขัดข้อง เมื่อไรก็ได้ ผมไม่เคยกลัวประชาชน คนเป็นนักการเมืองทำไมถึงกลัวประชาชน ได้ รธน. ฉบับใหม่ ถ้าเขาจะเคลียร์ ยุบสภาใหม่ พวกผมก็ไม่ขัดข้อง

กลัวกระแสต่อต้านระหว่างยกร่าง รธน.ฉบับใหม่แค่ไหน

ไม่กลัวฮะ เพราะแก้ก็ขัดแย้ง ไม่แก้ก็ขัดแย้ง แล้วคนที่ไม่อยากให้แก้ คือคนที่มีความสุขกับการบิดเบือนเพียงกลุ่มเดียว ผมไปยอมตรงนั้นไม่ได้ ทำไมไม่มาเถียงกับผมว่า มันถูกหรือไม่ถูก มานั่งบอกว่าจะช่วยคนใดคนหนึ่ง หลักการแบบนี้รับไปได้อย่างไร ไม่เกี่ยวกับคนใดคนหนึ่ง แต่ประเทศจะได้เดินไปข้างหน้า พอกันสักที นักค้าอาวุธทั้งหลายที่มีความสุขกับซากปรักหักพังของประเทศ พอสักที หันมามองประชาชนเถอะ ทำให้มันโปร่งใส สะอาด เราจะได้เดินไปบนทางที่มันโล่ง

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Matrix กับการเมืองไทย (ดินแดนสตอรเบอรี่แลนด์)

ปทินกะ-บันเทิง
จาก REDPOWER ฉบับ 23 เดือน กุมภาพันธ์ 55
โดย ไก่แดงน้อย

จากทวิตเตอร์ที่นายกทักษิณเคยเขียนข้อความไว้เมื่อเดือน สิงหาคม 52

ได้กล่าวถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน ของไทยว่า

ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เลิกต่อสู้
และจะขอผลัดยมบาลก่อนว่าจะยังไม่ขอตาย
จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมคืนมาและ

ได้ดูหนังเรื่องmatrixไหมครับที่เขาให้เลือกยาให้กินระหว่างเม็ดสีน้ำเงิน
และเม็ดสีแดงตอนนี้คนไทยเจอยาสีน้ำเงินเห็นแต่ความเพ้อฝัน

ก็เคยได้ยินกูรูทางการเมืองที่วิเคราะห์การเมืองเก่งๆ หลายคน เขาก็พูดถึงหนังเรื่อง Matrix ด้วยเหมือนกันและความสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องการเมืองในบ้านเรา ผมเลยไปหาข้อมูลเกี่ยวกับหนัง
มีเว็บหนึ่งเขาวิเคราะห์ชี้ประเด็นให้แง่มุมในเนื้อหาของหนังเรื่อง Matrix ได้น่าสนใจน่าเอามาให้ได้อ่านต่อๆ กัน ตามนี้
The Matrix
มีแง่มุมชวนคิดหลายอย่าง อาทิ คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของตัวตน อะไรคือความจริง การเข้าถึงสัจจะและการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ บทความนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อชวนกันวิเคราะห์ภาพยนตร์ "มีอะไรหลายอย่างที่โดดเด่น และน่าสนใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและคณิตศาสตร์ ซึ่งติดตราตรึงใจเรามานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกฎควอนตัมฟิสิกส์ และในแง่ที่ศาสตร์ทั้งสองมาบรรจบพบกัน"

บทความนี้พยายามที่จะสะท้อนให้เห็นว่าแต่ละฉากในภาพยนตร์มีความพยามยามดำเนินเรื่องให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
Matrix คือสังสารวัฏ (คือภพภูมิที่มนุษย์ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาในตามหลักของพุทธศาสนาซึ่งบัญญัติไว้ว่ามีทั้งสิ้น 31 ภูมิด้วย)
Matrix เทียบได้กับอะไร Matrix เปรียบเสมือนมายาหรือสังสารวัฏ (คือ เราอาศัยอยู่ในโลกแต่เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ถูกต้อง ด้วยจิตใจที่หลงผิดของเราเอง) การถูก Matrix ปิดบังให้มืดบอดไม่ใช่สิ่ง ที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกับสมัยนี้ ถ้าเราไม่ได้รับการศึกษา เราก็คงจะเข้าใจว่าโลกแบน
(เพราะตามันเห็นว่าแบนจริง ๆ ) หรือไม่ก็เข้าใจว่าพระอาทิตย์สว่างตอนเช้าแล้วดับตอนกลางคืน เพราะเชื่อสายตาของตนเอง
โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยสิ่งลวงตาลวงใจมากเหลือเกิน!


จากเนื้อเรื่องย่อ The matrix
แหล่งพลังงานของ Matrix มาจากมนุษย์
ในภาคแรกจะกล่าวถึงยุคที่มนุษย์ทำสงครามกับเครื่องจักรกลที่มีความคิดเป็นของตนเองซึ่งในที่นี้คือ "matrix"  โดยมนุษย์ใช้ไม้ตายสุดท้ายโดยการทำลายล้างแบบไม่ให้เหลือซากซึ่งทำให้โลกถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกหนาทึบไม่มีแสงอาทิตย์ลอดผ่าน ซึ่งมนุษย์ก็ได้หนีไปตั้งรกรากสุดท้ายที่เรียกว่า "ไซออน" ขณะที่ Matrix ก็พยายามดิ้นรนที่จะเอาตัวรอดโดยหาแหล่งพลังงานใหม่นั่นก็คือร่างกายมนุษย์โดยใช้มนุษย์เป็นเหมือนแหล่งพลังงานโดยหล่อเลี้ยงวิญญาณของมนุษย์ด้วยการให้จิตของมนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนใน matrix

ตอนนี้จะเห็นแล้วนะครับว่ามี 2 โลกคือโลกจริง และโลกใน matrix มนุษย์ที่อยู่ในโลกจริงและเกิดในไซออนนั้นไม่สามารถเข้าไปสู่โลกใน matrix ได้เนื่องจากไม่มี plug ที่จะเสียบเพื่อ connect กับ matrix ได้ และต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ให้พ้นจากการรุกรานของเซนทิเนล (ปลาหมึกพิฆาต) แต่ในวันหนึ่งได้มีมนุษย์ที่เกิดจากการสร้างของ matrix สามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ตนเองพบเจออยู่นั้นมันไม่ใช่ความจริง และสามารถนำพาตัวเองออกจาก Matrix ได้ซึ่งถูกเรียกว่า "ผู้ปลดปล่อย" (the one) ซึ่งผมเข้าใจเองว่าผู้ปลดปล่อยรุ่นแรกนั้นถูกชี้นำโดย "เทพพยากรณ์" และหลังจากผู้ปลดปล่อยก็ได้ปลดปล่อยมนุษย์ที่มี plug ออกจาก matrix มากขึ้นๆ โดยในตอนนี้มนุษย์ที่ถูก unplug สามารถเข้าไปจัดการภายใน matrix ได้แล้วโดยการเจาะระบบเข้าไปทางสายโทรศัพท์ผ่าน plug ด้านหลังซึ่งคล้ายๆ กับการถอดวิญญาณ


เซนทิเนล (ปลาหมึกพิฆาต)

matrix จึงได้ออกแบบโปรแกรมจัดการกับผู้บุกรุกซึ่งก็คือ agent โดย agent จะมีความสามารถพิเศษคือสามารถ copy ตัวเองลงบนร่างของใครใน matrix ก็ได้แต่เมื่อบาดเจ็บหรือตายก็จะเป็นร่างที่ตัวเอง copy เท่านั้นที่จะตาย ซึ่ง agent จะเก่งกาจในระดับที่สามารถเอาชนะผู้บุกรุกได้ทุกคนยกเว้น "the one" ซึ่งเมื่อใดที่ "the one" ก่อกำเนิดนั้นสงครามจะยุติทุกครั้ง และในสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรเกิดขึ้นครั้งใหม่ มอเฟียส กัปตันแห่งยาน "เนบูคาร์เนซาร์" ผู้ซึ่งได้พบกับ "เทพพยากรณ์" มีความเชื่อว่าผู้ปลดปล่อยจะเป็นผู้ที่หยุดสงครามระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกลได้ เขาและเจ้าหน้าที่บนเรือจึงได้เริ่มค้นหาผู้ปลดปล่อย ซึ่งในที่สุดมอร์เฟียสก็ได้พบคนที่คาดว่าจะเป็น "ผู้ปลดปล่อย" จากชายผู้ซึ่งพยายามค้นหาตัวตนของเขาใน matrix เขาก็คือ แอนเดอร์สัน โปรแกรมเมอร์ในบริษัทคอมพิวเตอร์ หรือแฮกเกอร์อัจฉริยะในโลกมืด "นีโอ"

นี่คือ agent  โปรแกรมจัดการกับผู้บุกรุก
นีโอพยายามค้นหามอร์เฟียสจากความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่เขาพบเห็นอยู่มันไม่เหมือนความจริง คล้ายกับทุกครั้งที่ตื่นขึ้นก็ยังไม่พ้นจากห้วงแห่งความฝัน ดังนั้นนีโอจึงได้พยายามค้นหามอร์เฟียสเนื่องจากมอร์เฟียสเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าชักจูงผู้อื่นให้ค้นพบ "ความจริง" (อันนี้เป็นความเข้าใจของผม..) แต่วันที่มอร์เฟียสพบผู้ปลดปล่อย matrix ก็ได้พบกับผู้ปลดปล่อยด้วยเช่นกันจากสายลับที่แฝงตัวอยู่ในยานเนบูคาร์เนซาร์ และ matrix ได้ส่ง agent เข้าถึงตัวของนีโอพร้อมๆ กับที่มอร์เฟียสพยายามจะช่วยในนีโอพ้นจากการจับกุมของ agent แต่ในที่สุดนีโอซึ่งยังไม่หลุดพ้นจากกรอบแห่ง matrix ก็ได้ถูกจับกุมและ agent ได้ใช้นีโอเป็นตัวนำให้ไปพบกับมอร์เฟียสโดยฝังเครื่องติดตามลงไปในตัวของนีโอและเปลี่ยนความทรงจำของนีโอให้เป็นเพียงความฝัน แต่ด้วยความมุ่งมั่นของนีโอที่ต้องการรู้ "ความจริง" ทำให้นีโอไปพบตามการติดต่อของมอร์เฟียส และเชื่อตามคำโน้มน้าวของทรินิตี้ก่อนที่จะลงจากรถว่า "ได้โปรดเถอะ นีโอ ทางที่คุณจะลงนั้นคุณรู้อยู่แล้วว่าถนนสายนั้นมันไปที่ไหน และสิ้นสุดตรงไหน" ซึ่งนี่เป็นการแฝงปรัชญาในเรื่องของ "ทางเลือก" ว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่ามนุษย์เราจะไม่รู้หรอกว่าเราจะเลือกทางไหน เพราะจริงๆ แล้วเราได้เลือกแล้วว่าเราเลือกทางไหน แต่ "ทำไม" เราเลือกทางนั้นต่างหากที่เป็นสิ่งที่เราไม่รู้

เมื่อนีโอเลือกที่ค้นหาความจริงต่อไป เครื่องติดตามก็ได้ถูกดึงออกมาและทำให้นีโอรู้ว่าสิ่งที่เห็นคราวนั้นไม่ใช่ความฝัน เมื่อนีโอได้พบมอร์เฟียสก็ได้ถูกทดสอบด้วย "ทางเลือก" อีกครั้งในการกินแคปซูล


"รู้มั้ยคุณมานี่ทำไม คุณมาเพราะรู้อะไรบางอย่าง
ซึ่งคุณอธิบายไม่ได้ แต่คุณรู้สึก คุณรู้สึกทั้งชีวิตคุณ
ว่ามีความไม่ถูกต้องในโลก คุณไม่รู้ว่าอะไร
แต่มันเหมือนมีเสี้ยนตำจิตใจคุณ ทำให้คุณคลั่ง
ความรู้สึกนี้นำคุณมาหาผม รู้มั้ยว่าผมพูดถึงอะไร ...

อยากรู้มั้ยว่ามันคืออะไร เจ้า เมทริกซ์ อยู่ทุกแห่งหน
มันอยู่รอบตัวเรา ตอนนี้มันก็อยู่ในห้องนี้ด้วย

คุณเห็นมันเมื่อมองไปนอกหน้าต่าง หรือเมื่อคุณเปิดโทรทัศน์
คุณสัมผัสมัน ตอนคุณไปทำงาน ตอนคุณชมภาพยนตร์
ตอนคุณเสียภาษี มันเป็นโลกที่ถูกดึงลงมา ปิดตาคุณไว้จากความจริง ...

ว่าคุณเป็นทาสคนหนึ่ง นีโอ เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เกิดมาเพื่อถูกจองจำ
เกิดมาในคุณที่คุณไม่อาจสูด ดม ลิ้มรส หรือว่าแตะต้อง
เป็นเรือนจำขังจิตใจคุณ น่าเสียดายไม่มีใครบอกได้ว่าเมทริกซ์
มันคืออะไร คุณต้องเห็นด้วยตาของคุณเอง ...

นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ หลังจากนี้ไม่ทางหวนกลับมา
ถ้ากินเม็ด "สีน้ำเงิน" ทุกอย่างจบ คุณตื่นขึ้นบนเตียงและเชื่อในสิ่งที่คุณอยากเชื่อ
ถ้ากินเม็ด "สีแดง" คุณจะอยู่ในแดนที่ล้ำเลิศ แล้วคุณจะรู้ว่าโพรงกระต่ายลึกแค่ไหน

จำไว้ว่าสิ่งที่ผมเสนอคือความจริง...ไม่เกินเลย "

คำพูดของ มอเฟียส ที่พูดกับ นีโอ...
ก่อ

นที่นีโอ จะเลือกกิน เม็ดสีแดง เพื่อพิสูจความจริง

"นีโอ" ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จากโลก The Matrix
มันจะเป็น "โปรแกรม" ขยายสัญญาณ เพื่อระบุว่า "ร่าง" ของนีโอนั้นอยู่ที่ไหนเพื่อส่งสัญญาณไฟฟ้ากระตุ้นใน "ร่าง" ตื่น และเมื่อร่างตื่นแล้ว ก็จะถือว่าหมดสภาพ เครื่องจักรซึ่งดูแลระบบพลังงานของ matrix จึงได้นำร่างของนีโอไปทิ้งเพื่อเตรียมเปลี่ยนสภาพเป็น "อาหาร" ของร่างอื่นๆ (ไอ้ของเหลวสีดำๆ นั่นแหละครับ) แต่ร่างของนีโอก็ได้ถูกช่วยขึ้นมาโดยยานเนบูคาร์เนซา และทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน

welcome to the real world....หลังจากที่นีโอสามารถฟื้นสมรรถภาพพื้นฐานร่างกายแล้ว มอร์เฟียสก็ได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของการกำเนิดมนุษย์ที่มี plug ว่าที่แท้เรามันก็เป็นแค่ก้อนพลังงานก้อนหนึ่งเท่านั้น และทุกสิ่งที่พบมาตลอดชีวิตกลายเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งเข้าสู่สมองโดยไม่มีอะไรเลยที่เป็น "ความจริง" ในเมื่อโพรงกระต่ายลึกกว่าที่คาดคิด นีโอเลยช็อคอย่างรุนแรง (อ๊วกแตกเลยทีเดียว) หลังจากตั้งสติได้แล้ว ก็ทำการฝึกโปรแกรมพื้นฐานสำหรับการต่อสู้ใน matrix ด้วยวิธีการ download วิชาการต่อสู้ต่างๆ ผ่าน plug (ดีจังเลยนะเนี่ย) แต่สุดท้ายในการต่อสู้ซิมูเรชั่น นีโอก็ไม่อาจเอาชนะมอร์เฟียสได้เลยเพราะนีโอยังไม่อาจก้าวข้ามขอบเขตทางฟิสิกส์ไปได้ (ทั้งที่ใน matrix ไม่มีจริง) อย่างที่มอร์เฟียสถามนีโอว่า "นายยังรู้สึกเหนื่อยเหรอ" หรือ "นายคิดว่านายหายใจอยู่รึไง" ซึ่งทำให้นีโอเริ่มก้าวข้ามกฎฟิสิกส์ในโลกแห่ง matrix ได้ระดับหนึ่ง แต่นีโอก็ยังไม่สามารถสร้าง "ความเชื่อ" ให้เกิดกับตัวเองได้

การต่อสู้ระหว่าง "นีโอ" กับ "agent"
แต่เมื่อโลกแห่งความจริงมันช่างโหดร้าย มนุษย์ unplug บางคนก็ไม่สามารถทนต่อกิเลสที่ส่งเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่เข้าสู่สมองได้ (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) และทำให้ ไซเฟอร์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในเนบูคาร์เนซาร์ เลือกที่จะกลับเข้าสู่กิเลสที่หอมหวาน (อันนี้ปรัชญาพุทธชัดเจน กิเลสเย้ายวนทำให้คนหลงผิด) โดยเลือกที่จะส่งสัญญาณระบุตำแหน่งที่อยู่ของเจ้าหน้าที่ยานเนบูคาร์เนซาร์หลังจากที่พวกเข้าสู่ matrix เพื่อพานีโอไปพบกับเทพพยากรณ์ (the oracle) ผู้ซึ่งทำให้มอร์เฟียสเชื่อและมีความหวังว่า "ผู้ปลดปล่อย" จะเป็นผู้ยุติสงคราม ซึ่งตรงนี้หนังได้แฝงปรัชญาแห่งพุทธไว้ตั้งแต่ที่นีโอ "กลับ" สู่ matrix เพราะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อรับรู้ต่างกัน ก็รู้สึกต่างกัน และในคำพูดของเด็กหัวล้านว่า "there is no spoon" ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งในโลกล้วนว่างเปล่าขึ้นอยู่กับว่า "จิต" คิดให้มันเป็นแบบไหน….

จากเรื่องที่เล่ามาแบบย่อๆ (เอาซะเหนื่อยเลย) ผมกำลังจะเชื่อมโยงกับการเมืองไทยในสถานการณ์ปัจจุบันว่าอยู่ในโลกแห่งประชาธิปไตยจริงหรือ?
วันนี้ตื่นตื่นเถิดชาวไทย ตื่นจากดินแดนสตอรเบอรี่แลนด์กันเถอะ
วันนี้ตื่นนอนออกมาแล้วตาสว่างกันได้รับรู้ความจริงที่เป็นอยู่ว่าที่แท้จริงแล้วเราไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเลยอย่างที่พูดพล่ามเพ้อมากว่า 60ปี แท้จริงเป็นแค่สิ่งปลอมๆที่สร้างขึ้นเพื่อให้เราเป็นเพียงแค่สัตว์เศรษฐกิจ หล่อเลี้ยงให้พวกไม่กี่กลุ่มได้เสพสุขอยู่อย่างสุขสบายโดยไม่สนใจว่า เราจะอยู่ จะเจ็บ จะป่วย และจะตายอย่างไง วันนี้ผมเชื่อว่าหลายๆท่านได้ตื่นแล้วจากโลก matrix  เดินหน้าเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงกันแล้ว และได้มีความพยายามจะปลุกให้เพื่อนที่รักของเค้าทั้งหลายตื่นจากโลกอันจอมปลอมแห่งประชาธิปไตยไทยเช่นเดียวกัน เลือกกินยาเม็ด “สีแดง” แล้วมาอยู่ด้วยกันเถอะครับ เราจะช่วยกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย ที่แท้จริงเพื่อเป็นมรดกให้ลูกให้หลายในภายภาคหน้าสืบไป...



รายงาน: ย้อนรอยกระสุนปี53 'ลุงคิม ฐานุทัศน์' ผู้เสียชีวิตรายล่าสุด..เรื่องผัวเมียทะเลาะกัน?

ข้อมูลจาก ประชาไท

ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)
ชื่อเรื่องเดิม: เหตุการณ์ที่ลุงคิม ฐานุทัศน์ผู้เสียชีวิตล่าสุด เหยื่อความรุนแรงจากทหาร ผัวเมียทะเลาะกัน?
R.I.P. ลุงคิม (เรื่องราวชีวิต "ลุงคิม อัศวสิริมั่นคง"เหยื่อกระสุน 14พ.ค. http://news.voicetv.co.th/thailand/31875.html)
สืบเนื่องจากภาพที่โพสต์ไว้เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา https://www.facebook.com/photo.php?fbid=2648399242275 ตอนที่ ลุงคิม หรือนายฐานุทัศน์ อัศวศิริมั่นคง ชายวัย 55 ปี ที่เป็นเหยื่อในเหตุสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อบ่ายวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ที่บริเวณบ่อนไก่ โดยล่าสุดได้เสียชีวิตแล้วเมื่อวานนี้ (ประมาณ 23.00 น. ตามการแจ้งข่าวของเพื่อนๆ) ที่โรงพยาบาลมเหสักข์ ย่านบางรัก จึงขออนุญาตเพิ่มเติมข้อมูลที่น่าจะเป็นประโยชน์เพื่อทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ทำให้ลุงแกต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตนี้
จากรายงานข่าวของ Voice TV (http://news.voicetv.co.th/thailand/31849.html) ระบุว่า หลังจากที่เขาต้องพักรักษาตัวในห้องไอซียูนานนับปี เนื่องจากเขากลายเป็นคนพิการ เพราะถูกกระสุนยิงทะลุเข้ากระดูกสันหลัง ไปฝังอยู่ที่ปอด ส่วนกระสุนนัดที่ 2 ยังคงฝังอยู่ที่สะบัก เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2553 ระหว่างปฎิบัติการกระชับวงล้อมของทหาร ย่านบ่อนไก่ โดยนายฐานุทัศน์ อาศัยอยู่ในบริเวณดังกล่าวและไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมแต่อย่างใด
โดยช่วงเวลาเกิดเหตุ เขาและครอบครัวเดินออกจากบ้านพัก เพื่อไปชำระค่าไฟฟ้าที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และถูกยิงในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากเขาเพิ่งเข้ารับการบำบัดด้วยเคมีเพื่อรักษโรคมะเร็ง ร่างกายจึงไม่แข็งแรงนักและหลบหนีการยิงปะทะกันในพื้นที่ไม่ทัน

คลิปเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง

คลิปตอนลุง ฐานุทัศน์ ถูกยิงมองจากมุมสูง


ภาพ 1 ฐานุทัศน์ ถูกยิงมองจากมุมสูง
(ลองดูคลิปนี้นาทีที่ 1.49 ชื่อคลิป “in front of lumpini tower at rama 4 in bangkok.MP4” Uploaded by ijakat1 on May 14, 2010 http://www.youtube.com/watch?v=hi3s4mwzVUg) ประมาณบ่ายโมงถึงบ่าย 2 (สังเกตุจากเงา)
โดยในคลิปดังกล่าวนาทีที่ 0.40 มีคนที่อยู่ในคลิปพูกว่า “มันยิงกันแล้ว” และอีกเสียงหนึ่งพูดว่า “ทหารยิงเลยหรอ” และนาที่ที่ 1.20 มีคนพูดว่ามีคนโดน หามมาแล้วนั่นไงเสื้อเขียว (ตามภาพ 1)


ภาพ 2 บรรยากาศขณะนั้น


ภาพ 3 ภาพมุมสูง ขณะถูกยิงแล้ว (ที่มาภาพ : Al menos siete muertos y 90 heridos deja represión a 'camisas rojas' en Tailandia)
นอกจากนี้ยังมีคลิปในเหตุการณ์เดียวกัน (โดยสังเกตจากรถดับเพลงสีแดงและกองไฟ รวมทั้งเงาแดด) กับอันนี้ ชื่อคลิป "แดงบ่อนไก่140553" Uploaded by planescape790 on May 16, 2010 http://www.youtube.com/watch?v=Y_fraPffyBE
และ อีกมุมถ่ายจากสะพานลอยใกล้เคียง ชื่อคลิป "Thai Red-Shirt Freaking Cat at work (raw video) - F24 100519" Uploaded by newsupload2010 on May 18, 2010 http://www.youtube.com/watch?v=PBPM2_ymKPo (จะได้ยินเสียงบั้งไฟเล็กแล้วตามด้วยปืน)

ตำแหน่งรถดับเพลิงแดงที่อยู่ที่เดียวกันและกองเพลิงเล็กๆข้างๆ และช่วงที่รถดับเพลิงแดงมาแรกๆ อีกมุม ก่อนเกิดเหตุ http://www.youtube.com/watch?v=YpfFeNuT9Dc
โดยในบริเวณดังกล่าวในเวลาไม่ห่างกันมากนักมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก เช่น นายเสน่ห์ นิลเหลือง ขับรถแท็กซี่ วัย 48 นายอินแปลง เทศวงศ์ ขับรถแท็กซี่เช่นกัน วัย 32 และ นายบุญมี เริ่มสุข วัย 71 ที่ถูกยิงแล้วได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตในเวลาต่อมาคือ 28 ก.ค.53 เป็นต้น
ภาพลุงคิมช่วงปีใหม่ โดย Nithiwat Wannasiri, Kaekai Ing ฯลฯ ที่ได้เข้าไปเยียม (ดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=210930118992699 และ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=210927922326252)
เรื่องที่เกี่ยวข้อง :

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ถอดรหัสแถลงการณ์ฉบับที่ 1/2555 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ข้อมูลจาก facebook Sirius Galaxy

โดย ประชาชนคนธรรมดา

1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นเพียงนิติกรรมอำพรางกำหนดวางคุณสมบัติสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเอาไว้เพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทั้งฉบับในขั้นแรก และเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในขั้นต่อไป จึงเข้าข่ายลักษณะการรัฐประหารประเทศไทยและยึดอำนาจประเทศโดยใช้รัฐธรรมนูญให้ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเผด็จการรัฐสภาโดยกลุ่มทุนสามานย์ผูกขาดของพรรคการเมืองในที่สุด

ข้อตอบโต้

(ก) การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงนิติกรรมอำพราง เป็นการเปิดเผยสู่สาธารณชน ให้ประชาชนมีส่วนร่วม
(ข) ยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องคุณสมบัติสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพราะอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา รวมทั้งมีการอภิปรายแสดงความคิดเห็น ดังนั้น จึงไม่ใช่เป็นการกำหนดคุณสมบัติสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
(ค) การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญตามที่กล่าวหา เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในระบอบเผด็จการทหาร

2. ความจริงแล้วการเมืองปัจจุบันหาใช่ระบอบประชาธิปไตยในทางปฏิบัติไม่ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติเสียงข้างมากเป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายรัฐบาลจึงไม่สามารถตรวจสอบได้จริงในทางปฏิบัติ

ข้อตอบโต้

(ก) หมายความว่า รัฐบาลต้องมีฝ่ายนิติบัญญัติเสียงข้างน้อยเท่านั้นหรือ ถึงจะเป็นประชาธิปไตย
(ข) ในทางปฏิบัติตามหลักสากล ประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีระบบรัฐสภา รัฐบาลจะมีฝ่ายนิติบัญญัติเสียงข้างมากเป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายรัฐบาล

3. ความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้จึงเป็นความเหิมเกริม ลุแก่อำนาจของฝ่ายเผด็จการรัฐสภาโดยทุนสามานย์แห่งระบอบทักษิณ ที่คิดจะล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ อันถือเป็นการเข้ายึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยมีเป้าหมายสุดท้ายคือเพื่อล้างความผิดในอดีตและกระชับอำนาจให้กับนักการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจนไม่สามารถตรวจสอบได้ เพื่อประโยชน์สุขของนักการเมือง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนใดๆ ทั้งสิ้น อันเป็นการสร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ ทั้งๆ ที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ทั้งจากปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาแพงสูงขึ้นมาก ราคาน้ำมันและพลังงานสูงขึ้นจากการผูกขาดและหาผลประโยชน์จาก ปตท. การเยียวยาจากผู้ประสบอุทกภัยที่ยังไม่ทั่วถึงและไม่เพียงพอ และยังไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ ฯลฯ แต่นักการเมืองเหล่านี้ก็ยังสนใจแต่จะล้มล้างรัฐธรรมนูญเพื่อผลประโยชน์ของนักการเมืองด้วยกันเอง วิกฤติปัญหาของประเทศครั้งนี้จึงไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่นักการเมืองที่พฤติกรรมฉ้อฉล

ข้อตอบโต้

(ก) เป็นข้อความกล่าวหาใส่ร้าย
(ข) เป็นข้อความที่หยิบยกเรื่องปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน รวมทั้งปัญหาของผู้ประสบอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่ผ่านมาเกี่ยวกับการจ่ายชดเชยเยียวยาพี่น้องผู้ประสบภัย เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลควรจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
(ค) รัฐบาลมีความตระหนักและใส่ใจในปัญหาเหล่านี้ โดยพยายามทำทุกวิถีทางในการแก้ปัญหาช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ซึ่งเห็นผลได้เป็นรูปธรรมและมีความสัมฤทธิ์ผล ดังจะเห็นได้ตามข่าวในการแก้ปัญหาและลงพื้นที่สัมผัสกับปัญหาอย่างจริงจังของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี

4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 68 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า บุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้มิได้

ข้อตอบโต้

(ก) การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(ข) การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มิใช่เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในระบอบเผด็จการทหาร
(ค) ไม่ควรนำมาตรานี้ไปบิดเบือน หรือกล่าวร้ายให้ร้าย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

5. ข้อความตามมาตรา 291/1 ถึง มาตรา 291/16 ตามร่างของรัฐบาลแล้ว ย่อมเป็นการยืนยันชัดเจนว่า กรณีนี้ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หากแต่เป็นบทบัญญัติให้มีคณะบุคคลซึ่งมีอำนาจพิเศษในการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทั้งฉบับ โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นใช้แทน คือ สภาร่างรัฐธรรมนูญ และให้อำนาจตนเอง คือ รัฐสภา มีอำนาจเลือกคณะบุคคลซึ่งเป็นสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ด้วย อีกทั้งยังให้อำนาจพิเศษคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ให้เป็นผู้มีอำนาจให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และมีอำนาจดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติในรัฐธรรมนูญที่สภาร่างรัฐธรรมนูญได้จัดทำขึ้นได้ และให้เป็นผู้มีอำนาจรับรองการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของคณะบุคคลดังกล่าวได้อีกด้วย ฯลฯ การแก้ไขครั้งนี้จึงเข้าข่ายเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอย่างชัดเจน

ข้อตอบโต้

(ก) การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 กำลังเข้าสู่วาระการพิจารณา ซึ่งก็คือการประชุมร่วมของรัฐสภา ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ข้อ (16) ซึ่งก็เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
(ข) การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ยังไม่ได้รับการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะต้องผ่านการพิจารณา ผ่านการอภิปรายแสดงความคิดเห็นกันในสภา จึงมาอนุมานสรุปไม่ได้ว่า มาตรา 291/1 ถึง มาตรา 291/16 ตามร่างของรัฐบาล ไม่ใช่การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
(ค) สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่บุคคลซึ่งมีอำนาจพิเศษในการล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทั้งฉบับ เพียงแต่เป็นบุคคลที่ประชาชนเลือกขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ

6. นอกจากนี้ยังเป็นร่างที่จัดทำแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ครั้งนี้ ยังจัดทำขึ้นโดยคณะรัฐมนตรีโดยที่ไม่ได้มีมติของมหาชนเสียก่อนว่าให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ได้หรือไม่ รัฐธรรมนูญจึงได้บัญญัติให้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 291” ต้องเป็นการประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 136 (16) โดยรัฐสภาต้องร่วมประชุมกันหากมีความคิดหรือมีปัญหาที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ให้ยุติเสียก่อน หาใช่จัดทำร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 โดยคณะรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎรแล้วเสนอให้รัฐสภาพิจารณาเลยนั้น ไม่อาจทำได้ เพราะไม่ใช่อำนาจของคณะรัฐมนตรีหรือสภาผู้แทนราษฎร

ข้อตอบโต้

(ก) กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ข้อ (2) กำหนดว่า ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ
(ข) กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ข้อ (1) วรรค 2 กำหนดว่า ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาหรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
(ค) กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่า ร่างที่จัดทำแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 โดยคณะรัฐมนตรี ต้องมีมติได้รับความเห็นชอบจากมหาชน
(ง) มหาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน สามารถเข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ตามมาตรา 291 ข้อ (1) และ (2)
(ง) การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เป็นการประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามมาตรา 136 ข้อ (16) โดยเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายแสดงความคิดเห็น และพิจารณาเป็น 3 วาระ ตามมาตรา 291 ข้อ (2)

7. ตามร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 136 ด้วย โดยเพิ่มข้อความว่า “(17) การให้ความเห็นชอบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 291/1(2)” อันเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 136 พร้อมกับการขอแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 โดยที่ไม่มี ญัตติของการแก้ไขมาตรา 136 แต่อย่างใด

ข้อตอบโต้

(ก) การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ยังไม่ได้รับการลงมติเห็นชอบจากรัฐสภา เพราะต้องผ่านการพิจารณา ผ่านการอภิปรายแสดงความคิดเห็นกันในสภา จึงมาอนุมานสรุปไม่ได้ว่าจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 136 ด้วย

8. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นั้นได้มาจากการลงประชามติเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศจำนวน 14.7 ล้านเสียง การดำเนินการแก้ไขมาตรา 291 โดยไม่สนใจประชามติดังกล่าวจึงถือเป็นการล้มรัฐธรรมนูญโดยไม่ฟังเสียงประชาชน แต่เป็นการยัดเยียดรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ประชาชนลงประชามติแทน

ข้อตอบโต้

(ก) เดิมรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะให้มีการลงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากการลงประชามติต้องใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท
(ข) เงินจำนวน 2,000 ล้านบาท ไม่ใช่จะมากมายเท่าใดนัก แต่เนื่องจากประเทศต้องประสบกับมหาอุทกภัยอันร้ายแรง ซึ่งต้องใช้เงินในการเยียวยาบูรณะซ่อมแซมฟื้นฟูประเทศรวมหลายแสนล้านบาท
(ค) นับจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เศรษฐกิจประเทศไทยตกต่ำ ทำให้การจัดเก็บภาษีไม่ตรงเป้า ในขณะที่รายจ่ายนั้นมีมากกว่ารายรับ การใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพ และไม่สัมฤทธิ์ผลประโยชน์สูงสุด และไม่ก่อให้เกิดรายได้ มีการกู้เงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่หนี้เก่ากองทุนฟื้นฟูก็ยังใช้ไม่หมด
(ง) ถ้าประเทศชาติไม่เกิดอุทกภัยและอยู่ในภาวะเศรษฐกิจปกติ รัฐบาลสามารถจัดให้มีการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อย่างไม่มีปัญหา
(จ) การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้รับคะแนนเสียงจากประชาชน จำนวน 15 ล้านกว่าเสียง ในการเลือกพรรคเพื่อไทยเพื่อเข้าไปเป็นรัฐบาล และนำนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชนมาปฏิบัติให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งหนึ่งในนโยบายนั้นก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จึงถือได้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้รับมติจากประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อภิปราย ‘รัฐประหาร’ ใน ‘การปกครองระบอบประชาธิปไตย’ แจงลักษณะเฉพาะแบบไทยๆ

รายงานโดย: ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์ และ ธีร์ อันมัย
จากเว็บไซต์ ประชาไท

‘ปูนเทพ ศิรินุพงษ์’ แจง 5 ลักษณะ ‘ประชาธิปไตยแบบไทยๆ’ ไม่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน จ้องจับผิดนักการเมือง แต่ไม่ตรวจสอบคณะรัฐประหาร ด้าน ‘น.พ.กิติภูมิ จุฑาสมิต’ ชี้ไทยมีข้ออ้างทำรัฐประหาร ทั้งเพื่อระงับเหตุรุนแรง เพื่อประชาธิปไตย และเพื่อสถาบัน



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธุ์ 2555 เวลา 13.00 น.คณะศิลปะศาสตร์ สาขาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จัดงานอภิปรายสาธารณะ ในหัวข้อ “รัฐประหารในการปกครองระบอบประชาธิปไตย” วิทยากรประกอบด้วย นายปูนเทพ ศิรินุพงษ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตัวแทนจากคณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร และน.พ.กิติภูมิ จุฑาสมิต ผู้อำนวยการโรงพยาลพาลภูสิงห์ จ.ศรีษะเกษ โดยมีนักศึกษาและประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังประมาณ 400 คน
นายเสนาะ เจริญพร อาจารย์ประจำสาขาสังคมศาสตร์ ม.อุบลฯ ผู้ดำเนินการอภิปรายได้ยกข้อมูลwww.whereisThailand.info มาประกอบการพูดคุยว่า ประเทศไทยเคยผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 17 ครั้งติดอันดับ 4 ร่วมกับประเทศกินี-บิสเชา ซีเรียและโตโก เป็นรองประเทศซูดาน (31 ครั้ง) อิรัก (24 ครั้ง) และโบลิเวีย (19 ครั้ง) ตามลำดับ โดยประเด็นที่น่าสนใจคือ เรามีการทำ ‘รัฐประหาร’ ขณะที่เราเรียกตัวเองว่าปกครองด้วยระบอบ ‘ประชาธิปไตย’ แต่มี ‘ไปยาลน้อย (ฯ)’ ต่อท้าย
ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ไม่เคารพเจตจำนงของประชาชน ไม่ตั้งคำถามต่อการรัฐประหาร
“การแตกทางความคิดเป็นสิ่งที่สวยงามในระบอบประชาธิปไตยเพราะเราไม่สามารถที่จะทำให้คนเราคิดเหมือนกันได้ ดังนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดามากที่สังคมประชาธิปไตยจะมีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่คุณค่าของประชาธิปไตยอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างอยู่ร่วมกันได้” นายปูนเทพ ศิรินุพงษ์ ตัวแทนจากคณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร แสดงทัศนะ
นายปูนเทพ กล่าวว่า ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งถ้าเป็นต่างประเทศจะมีการปรับตัวให้เข้ากับประชาธิปไตย แต่ในสังคมไทยกลับจะต้องให้ประชาธิปไตยปรับให้เข้ากับสังคมไทย
นายปูนเทพยังพูดถึงประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ ไว้ 5 ประเด็นดังนี้
1) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ ให้ประชาชนชนมีอำนาจสูงสุด แต่ยังไม่พร้อมให้ประชาชนเป็นผู้ปกครองตัวเอง และถ้าหากใครเห็นต่างก็จะถูกมองว่าไม่เคารพในประชาธิปไตย
2) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ ประกาศรับรองให้ประชาชนมีอำนาจสูงสุด แต่ถ้าจะจัดวางองค์กรที่เกี่ยวข้องกับประชาชน หรือมาจากประชนชน ก็หาว่าทุจริตบ้าง มีการซื้อเสียงบ้าง เป็นระบบที่ไม่เคารพต่อเจตจำนงของประชาชน
3) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ เป็นระบอบที่ผู้นำเหล่าทัพมีบทบาทกำหนดทิศทางประเทศ โดยไม่ต้องฟังรัฐบาลและออกมาไล่ใครที่คิดต่างให้ไปอยู่นอกประเทศหรือขู่จะทำรัฐประหารได้ทุกเมื่อ
4) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำยากกว่าการฉีกรัฐธรรมนูญ หากใครจะเสนอจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทหารก็จะออกมาขู่ว่าจะทำการปฏิวัติ ทำรัฐประหาร
5) ระบอบประชาธิปไตยฯ แบบไทยๆ นั้นยอมให้มีการทำรัฐประหารโดยไม่มีเงื่อนไข หรือการทำรัฐประหารไม่ได้ทำให้สังคมไทยลดค่าแต่อย่างใด
นายปูนเทพยังได้ย้ำว่า ประชาธิปไตยที่มีไปยาลน้อย (ฯ) ในสังคมไทยนั้นไม่เคยตั้งคำถามเลยว่ารัฐประหารเกิดขึ้นได้อย่างไร แถมยังยินดีบังคับใช้กฎหมายหรือประกาศคณะปฏิวัติประกาศคณะปฏิรูป ซึ่งขัดกับหลักคุณค่าประชาธิปไตย องค์กรตุลาการ คณะตุลาการยอมรับรัฐประหารตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา คำวินิจฉัยส่วนตนบางคนถึงขนาดยอมรับว่าคณะรัฐประหารทำได้ทุกอย่าง รวมถึงนักวิชาการบางกลุ่มที่พึงพอใจกับการทำรัฐประหารเพราะมัวแต่ห่วงว่านักการเมืองจะทุจริต คอรัปชั่น นักวิชาการเหล่านี้ก็จะคอยด่าแต่นักการเมือง แต่ไม่เคยด่าหรือตรวจสอบคณะรัฐประหารเลย
หลังเป็นประชาธิปไตย ไทยรัฐประหารทุก 3 ปี 4 เดือน ถี่กว่ามีเลือกตั้ง
น.พ.กิติภูมิกล่าวว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ประเทศไทยมีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ขณะเดียวกันเราก็ยอมรับการทำรัฐประหาร และการทำรัฐประหารในประเทศไทยนั้นมีสถิติน่าสนใจนับจากเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมาพบว่า มีการรัฐประหารเพื่อทำลายรัฐบาลอย่างฉับพลัน 11 – 12 ครั้ง เฉลี่ยแล้ว ประเทศไทยมีรัฐประหารทุก 6 ปี 8 เดือน แต่ครั้นพิจารณาในรายละเอียดก็จะพบว่า มีการทำรัฐประหารไม่สำเร็จอีก 12 ครั้ง นั่นก็หมายความว่า ประเทศไทยเรามีรัฐประหารทุก 3 ปี 4 เดือน ซึ่งถี่กว่าการเลือกตั้งที่กำหนดให้มีทุก 4 ปี
“น่าสนใจเข้าไปอีกที่พบว่า ประเทศไทยมีการทำรัฐประหารตัวเองถึง 4 ครั้ง คือ ไม่ได้ไปยึดอำนาจจากรัฐบาลอื่นแต่รัฐประหารตัวเองเพื่อกระชับอำนาจ คือ สมัยจอมพลป.พิบูลสงคราม สมัยจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ สมัยจอมพลถนอม กิตติขจรและสมัยคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และประเทศไทยมีข้ออ้างเกี่ยวกับรัฐประหารที่ไม่เหมือนประเทศอื่น ทั้งเพื่อระงับเหตุรุนแรง เพื่อประชาธิปไตย และตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมาเริ่มมีข้ออ้างเพื่อสถาบัน เพราะเมื่อก่อนเมื่อก่อรัฐประหารก็จะเปิดเพลงสวนสนามของทหาร แต่ 2534 เป็นต้นมาเมื่อมีการยึดอำนาจก็จะเปิดเพลงเทิดพระเกียรติ พร้อมให้เหตุผลการทำรัฐประหารว่า เพื่อปกป้องสถาบัน” นพ.กิตติภูมิให้ข้อมูล
นพ.กิตติภูมิกล่าวด้วยว่า รัฐประหารไม่ได้เพิ่งมีในยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมาเท่านั้น ในอดีตยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็มีการรัฐประหารแต่เรียกกันว่า ‘ปราบดาภิเษก’ เป็นการแย่งชิงอำนาจของกษัตริย์ ขุนนาง อำมาตย์ หากอ่านจากคำให้การกรุงเก่า คำให้การของขุนหลวงหาวัด พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์หรือแม้แต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘สุริโยทัย’ ของ มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ก็ได้สะท้อนการแย่งชิงอำนาจในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เป็นอย่างดี
รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยาฯ ครั้งล่าสุด แต่ไม่สุดท้าย
“ที่ผ่านมา ไม่เคยมีนักรัฐศาสตร์คนไหนออกมายืนยันว่า การรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จะเป็นรัฐประหารครั้งสุดท้าย” นพ.กิติภูมิ กล่าว
นพ.กิติภูมิ กล่าวถึงรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่า ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นกลางที่ดูหมิ่นคนจนและอิจฉาคนชั้นสูง คนชั้นกลางมักแสวงหาซูเปอร์ฮีโร่ มองหาคนพิเศษมีความรอบรู้เพื่อสนองตอบต่อความฝันของชนชั้นตนเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คนชั้นกลางจะโหยหารัฐประหาร
อีกทั้ง รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหากวิเคราะห์โครงสร้างของกลุ่มผู้เข้าร่วมจะพบว่า มีทั้งสื่อมวลชน มีทั้งมวลชน (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) และพรรคการเมืองที่รอฉวยโอกาสขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งกลุ่มก้อนที่เข้าเป็นแนวร่วมก็ไม่แตกต่างจากการทำรัฐประหารโค่นล้มปรีดี พนมยงค์ หรือ 6 ตุลาคม 2519 ที่ผ่านมา
“การเมืองไทยมีค่านิยมเรื่อง ‘ความสุจริต’ แต่ความสุจริตไม่ได้หมายถึง ‘ความมีประสิทธิภาพ’ ขณะเดียวกันสังคมไทยก็มี ‘ศรัทธา’ และ ‘ศรัทธา’ ก็ไม่ได้หมายถึง ‘ความมีเหตุผล’ เป็นความลักลั่นที่อยู่ด้วยกัน” นพ.กิตติภูมิกล่าว
นอกจากนั้น นพ.กิติภูมิยังกล่าวถึงแนวคิดของนักวิชาการ อาทิ ศ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่พยายามอธิบายว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมที่มีกรอบ มีเส้นที่ล่วงล้ำมิได้ อย่างเช่น ยอมให้นักการเมืองโกงได้แต่อย่าน่าเกลียด เพราะมันจะเปิดทางให้ทหารยึดอำนาจ ขณะเดียวกันทหารเองก็ต้องไม่ล้ำเส้น เพราะฆ่าประชาชนเมื่อใดประชาชนก็จะทนไม่ได้ รวมทั้งกล่าวถึงแนวคิด ‘วงจรอุบาทว์’ ที่ ศ.ชัยอนันต์ สมุทรวณิช อธิบายว่า เมื่อประชาชนเลือกตั้งด้วยการขายเสียงก็จะได้นักการเมืองโกงกิน เมื่อนักการเมืองโกงกินถอนทุนหรือทุจริตคอรัปชั่นก็จะนำมาสู่การรัฐประหารและการเลือกตั้งหมุนวนไปเป็นวงจรเดิมๆ
“ดันแคน แมคคาร์โก ศาสตราจารย์ด้านการเมืองเอเชีย แห่ง University of Leeds มองประเทศไทยว่า รัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งมาไม่ใช่รัฐตัวจริง แต่จะมีกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็น ‘รัฐตัวจริง’ ซึ่งคุมอำนาจเป็นเครือข่ายชนชั้นสูง ข้าราชกับทหารที่ต้องคอยกระชับอำนาจของกลุ่มตนอย่างต่อเนื่อง” นพ.กิติภูมิกล่าว