ตัวจริงเสียงจริง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญโชว์พาว
บทความจาก RED POWER ฉบับ 15
บทความจาก RED POWER ฉบับ 15
ส.ส.สุนัย จุลพงศธร (หงอกน้อย) เคยอภิปรายในสภาว่า “นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่นายกฯตัวจริง และไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริง” ทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เดือดดาลลุกขึ้นประท้วงบีบบังคับให้เอ่ยชื่อตัวจริงเสียงจริงว่าใครคือนายกฯตัวจริง ในขณะนั้นนายสุนัย ก็ใช้ลูกเล่นขึ้นมาบอกชื่อด้วยการเอามือลูบหัวหงอกของตัวเอง เป็นที่รู้กันว่าน่าจะหมายถึง “พลเอกเปรม ติณสูลานนท์” แต่จริงหรือไม่ก็ยังไม่มีใครยืนยัน แต่ตลอดระยะเวลา 2 ปี ดูท่าทีการตัดสินใจกล้าๆกลัวๆของนายอภิสิทธิ์ในแต่ละเรื่องขาดเหตุขาดผลความเป็นตัวของตัวเองในฐานะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งยังไงๆชอบกล ตั้งแต่เรื่องที่นายอภิสิทธิ์กล้าทำทุกอย่างที่ผิดกติกาตามครรลองประชาธิปไตย แม้จะถูกประท้วงทั้งในสภาและนอกสภาอย่างไร นายอภิสิทธิ์ ก็สามารถดำรงฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ นับตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ,แถลงนโยบายตามรัฐธรรมนูญนอกสภา จนถึงสั่งฆ่าประชาชนตาย 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน โดยไม่ดูดำดูดีเลย จนล่าสุดสั่งทหารรบกับเขมร
ข่าววงในของวงการสื่อค่อนข้างจะไม่เป็นที่สงสัยแล้วว่าตัวจริงเสียงจริงผู้ชักหุ่นหนังตะลุงอภิสิทธิ์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ทั้งสื่อเล็กและสื่อใหญ่ก็ไม่มีใครกล้าตีพิมพ์รวมทั้งสื่อ Red Power ด้วย
แต่มาถึงวันนี้ความลับก็ไม่เป็นความลับ ความกลัวก็กลายเป็นความกล้าด้วยนักข่าวสายทหารวาสนา นาน่วม ได้นำบทบาทของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆในอดีตถึงปัจจุบันจนบ้านเมืองปั่นป่วนมา 5 ปีเศษ ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาในหนังสือลับลวงพรางฉบับศึกพระวิหาร อ่านถึงบทที่ 23 ก็จะร้องว่าถึงบางอ้อจริงๆ เพราะในหนังสือนี้ระบุว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเข้าพบพลเอกเปรมอยู่เสมอ และที่นายอภิสิทธิ์กล้าหาญ Show Power ถึงขนาดสั่งให้ทหารออกรบในรูปซ้อมรบในเขตชายแดนติดเขมรก็เพราะป๋าสั่ง เพราะป๋าจะสนใจเรื่องเขมรเป็นพิเศษ และวันหนึ่ง ณ ที่บ้านสี่เสาที่นายกฯอภิสิทธิ์และขุนทหารไปชุมนุมอวยพรปีใหม่ป๋า ป๋าก็โชว์พาวสั่งให้ลูกป๋าไปดำเนินการล่อกับเขมรทั้งในอดีตและปัจจุบัน
วาสนา นาน่วม ในหน้า 131 บันทึกไว้ดังนี้
อีกทั้งในห้องนั้น ทั้งผู้นำทหารและนายอภิสิทธิ์ ที่แยกวงกันพบป๋าเปรม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อขอพรปีใหม่นั้น มีการถกปัญหาไทยกับเขมรเช่นกัน
“เขมรเขาไม่ให้เกียรติไม่เกรงใจเราเลยนะ”คำแนะนำสั้นๆของพลเอกเปรม นายทหารม้า อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ทำงานชายแดนมาก่อน
พลเอกเปรม นั้นห่วงใยและติดตามปัญหาปราสาทพระวิหารมาตลอด ตั้งแต่เขมรเสนอให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ตั้งแต่ 8 ก.ค. 2551 จนถึงเมื่อ 7 คนไทยถูกจับที่ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. เร่งเข้าพบ พล.อ.เปรม เพื่อรายงานสถานการณ์ทันที
ปีใหม่ 2554 นั้น พล.อ.เปรม จึงให้พรปีใหม่ให้ทหารทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยอย่างอดทน เข้มแข็ง และเฉลียวฉลาด
พล.อ.เปรม นั้นให้ความสำคัญและสนใจปัญหาไทย – เขมร มานาน โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหารและพื้นที่ปัญหาทับซ้อนถึงขั้นที่เคยให้บิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส.ลูกป๋า และประธานมูลนิธิรักเมืองไทย นำ “จดหมายน้อย” เรื่องเขมรไปให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์เมื่อกลางปีที่แล้วมาแล้ว แถมทุกครั้งที่นายอภิสิทธิ์เข้าพบ พล.อ.เปรม ก็คุยเรื่องเขมรและประสาทพระวิหารแทบทุกครั้ง
ในที่สุด นายอภิสิทธิ์ก็ไฟเขียวให้กองทัพไทยออกแอ็คชั่นโชว์กล้าม ด้วยการให้เคลื่อนทัพไปทำการซ้อมรบในพื้นที่ชายแดน ที่ อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยเป็นการฝึกแผนป้องกันประเทศด้านชายแดนตะวันออก ที่ใช้ชื่อ “แผนกษัตริย์ศึก” และ “แผนจักรพงษ์ภูวนารถ”
อ่านจบถึงตรงนี้ใครรู้แล้วก็จะหนาวว่าทำไมนายกษิต ภิรมณ์ ปากมอมอย่างไร ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างไร ก็อยู่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไปได้ โดยไม่ต้องสนใจความเห็นของสภาจนเกิดเหตุรบพุ่งกัน และแน่นอนหากประชาธิปัตย์ชนะ นายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกฯ อีกก็ได้นายกษิต เป็นรมว.ต่างประเทศอีก ไทยกับเขมรก็ทะเลาะกันต่อไปอีก และหากหันมามองการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรบ้าง แม้พันธมิตรชุมนุมด้วยคนหยิบมือเดียวที่สะพานมัฆวานเริ่มต้นจากเรียกร้องเขาพระวิหารคืนจนถึงเสนอให้ยึดอำนาจแล้วปิดประเทศ 5 ปี ก็ไม่มีใครกล้าหือ แล้วต่อมาก็เสนอแผนต่อต้านการเลือกตั้ง No Vote โดย ก.ก.ต.ไม่กล้าเอาผิด.................อยู่เมืองไทยรู้แล้วก็เฉยไว้ ณ สื่อใหญ่ทั้งหลาย ประชาชนจะได้โง่ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น