หาซื้อได้แล้วทุกแผงหนังสือวันนี้ครับ
กระแสยิ่งลักษณ์ยิ่งแรงแซงโค้งอภิสิทธิ์ เมื่อนายเนวิน ชิดชอบ ออกมาฟันธงว่าอภิสิทธิ์แพ้แน่นอน และยิ่งเข้าโค้งสุดท้ายใกล้ 3 กรกฎาคม สถานการณ์ยิ่งเห็นชัด แต่คำถามแห่งความวิตกกังวลของผู้คนที่ถูกผีเผด็จการหลอกหลอนมา 5 ปีเศษแล้วว่ายิ่งลักษณ์ จะฝ่าวิกฤติจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ บทวิเคราะห์ Red Power ขอฟันธงว่าพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลฝ่าวิกฤติได้แน่นอน วันนี้โค้งอันตรายไม่ใช่อยู่ที่การจัดตั้งรัฐบาล แต่อยู่ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจจะทำใจในภาวะสวรรค์ล่มและตัวช่วยอึดอัดใจที่จะช่วย ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์จึงต้องใช้วิชามารขั้นสูงสุด คือการสร้างสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้งด้วยบทละครลอบฆ่าอภิสิทธิ์ ล้มยิ่งลักษณ์และผู้ประพันธ์บทเลวร้ายเช่นนี้ไม่มีใครเกินเลขาธิการพรรค ซึ่งได้สร้างผลงานแห่งอดีตอันไม่งามนี้ 2 ปีแล้ว คือการเขียนบทละครล้มเจ้าที่อื้อฉาว อีกทั้ง สุเทพยังมีเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แห่งกรมประชาสัมพันธ์เป็นสมุนคู่ใจ หากบทละครนี้ปรากฏขึ้นในโค้งสุดท้ายรับรองเซียนอย่างทักษิณก็เถอะจะเกิดภาวะหืดขึ้นคออย่างแก้ไม่ตก......ต้องระวัง
ธงอภิสิทธิ์ลดลงเป็นระยะๆ
ภาวะแห่งการถอดใจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงออกต่อสังคมอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนายอภิสิทธิ์แสดงความหงุดหงิดใส่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเช่นนายเนวิน ที่ออกมาทำนายฟันธงกว่า “อภิสิทธิ์แพ้แน่” ด้วยคำพูดเหน็บแนมไล่ส่งให้นายเนวินกลับไปทำทีมฟุตบอลดีว่า ทั้งๆที่เคยกอดคอจูบปากตั้งรัฐบาลกันมา และเหน็บแนมคำเตือนสติของนายบรรหารที่ให้นายอภิสิทธิ์ทำใจให้กว้างว่า “นายบรรหารโกรธเพียงเพราะปฏิเสธไม่ไปบึงฉวากที่สุพรรณบุรี” (มติชน 2 มิถุนายน 2554)
การเดินทางไปหาเสียงที่ภาคเหนือเมื่อต้นเดือนมิถุนายน นายสมาน ชมพูเทพ นักการเมืองสารพัดพรรคได้พยายามประจบประแจงนายอภิสิทธิ์โดยจัดพิธีสืบชะตาที่วัดหนองเงือก จังหวัดลำพูน ข่าวภายในวงพิธีกรรมรายงานว่า นายอภิสิทธิ์มีสีหน้าไม่ค่อยดีและมีท่าทีปฏิเสธในเบื้องต้นเพราะไม่ชอบทั้งพิธีกรรมและนายสมาน ชมพูเทพ ที่มีประวัติอื้อฉาวในจังหวัดลำพูน แต่ที่ปรึกษาใกล้ชิดก็ให้เหตุผลเรื่องคะแนนนิยมที่ตกต่ำในภาคเหนือมาก ทำให้นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจยอมทำตามในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ และล่าสุดกระแสนิยมในพรรคประชาธิปัตย์ได้ลดลงจนนายอภิสิทธิ์ประจักษ์ด้วยตัวเอง และดูประหนึ่งว่า นายอภิสิทธิ์ได้รู้ชะตากรรมของตัวเองแล้วถึงขนาดให้สัมภาษณ์เป็นนัยว่าพรรคเพื่อไทยกำลังจะใช้เสียงในสภาที่มากกว่าเปลี่ยนแปลงกฎหมายด้วยคำว่า “จะใช้เสียงดังกลบความถูกต้องของกฎหมายหรือ”(ไทยรัฐ 4 มิถุนายน 2554 )
วิกฤติคอยท่ายิ่งลักษณ์หลังเลือกตั้ง
แม้ผลการเลือกตั้งจะพอรู้ได้จากหลักวิชาการวิจัยที่ทำประชามติ ซุ่มคะแนนความนิยมของประชาชนจากหลายสำนักซึ่งตรงกันว่า หมายเลข 1 นำหน้าหมายเลข 10 แน่นอน แต่มี 2 วิกฤติกำลังรอท่าผู้ชนะมาฝ่าฟัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม ก็คือวิกฤติ Vote No ของกลุ่มพันธมิตรและวิกฤติเสียงชนะในสภาไม่เด็ดขาดกำลังกลายเป็นกระแสที่สร้างความหวาดวิตกให้สังคม
การที่กลุ่มพันธมิตรประกาศตัวอย่างเด็ดเดี่ยวให้ประชาชนโหวตโนให้มากที่สุด และหากคะแนนโหวตโน(กาช่องไม่ลงคะแนน)และโนโหวต(พวกนอนหลับทับสิทธิ์)รวมกันได้มากถึง 5 ล้านเสียงก็แสดงชัดว่า ประชาชนไม่พอใจพวกที่เข้าสภา ที่เปรียบเสมือนสัตว์เดรัจฉาน กลุ่มพันธมิตรก็จะเสนอให้ปฏิรูประบบการเมืองใหม่ ดังนั้นการเคลื่อนไหวมวลชนเสื้อเหลืองนอกสภาเพื่อล้มระบบการเลือกตั้งอันเป็นฝันร้ายของประชาชนก็จะกลับมาอีก แม้ปัจจุบันจำนวนสมาชิกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมที่สะพานมัฆวานจะไม่มาก แต่เกจิอาจารย์ทางการเมืองวิเคราะห์ฟันธงว่า ม๊อบพันธมิตรเสื้อเหลืองยังคงความเป็นม๊อบเส้นใหญ่ที่ กกต.ไม่กล้ายุ่งและตำรวจก็ไม่กล้าแหยม ทั้งๆที่ กกต.มีมติเสียงข้างมาก 4 :1 แล้วว่าเป็นการโฆษณาต่อต้านการเลือกตั้งซึ่งผิดกฎหมายเลือกตั้งแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งการปิดถนนราชดำเนินไม่ยอมคืนพื้นที่ให้การจัดงานกาชาดก็ตาม ล้วนแต่เป็นการแสดงออกถึงภาวะเส้นใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามได้ และอีกวิกฤติหนึ่งก็คือวิกฤติที่ไม่มีเสียงพรรคใดเกินครึ่งสภา ย่อมจะก่อให้เกิดความวุ่นวายเกิดการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารอีกซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะอาศัยตัวช่วยสีเขียวตัวเดิมที่จะสร้างรัฐบาลเทพอุ้มสมอีกครั้งหนึ่งให้ได้ แต่แทนที่ทั้ง 2 วิกฤตินี้จะเป็นอุปสรรคต่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่จะกลายเป็นโอกาสคล้ายกับไม้บูมเมอแลงทางการเมืองที่ย้อนกลับมากระตุ้นให้สังคมตัดสินใจออกมาลงคะแนนเสียงกันมากขึ้น และเทคะแนนให้พรรคการเมืองฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จนมีเสียงเด็ดขาดในสภาไปอย่างแน่นอน
มารยังตามผจญยิ่งลักษณ์
กระแสการเมืองของยิ่งลักษณ์ที่ขึ้นสู่กระแสสูง แทนที่จะเป็นบวกกลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้มารที่เคยรังควานพ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะหาทางเบรคคะแนนของพรรคเพื่อไทยไม่ให้ถึงครึ่งสภา เพื่อให้อำนาจต่อรองของมาร(อำนาจนอกระบบ) เข้มแข็งขึ้น วิธีการของมารที่จะเบรคคะแนนก็จะเป็นแบบมารๆนั่นคือจะใช้ความรุนแรง เลือดเนื้อ และชีวิต ของประชาชนมาเป็นเครื่องมือ เพราะตามทฤษฎีแล้วความรุนแรงจะสวนทางกับการลงคะแนน ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์คนไทยที่จะกลัวและจะอยู่กับบ้านโดยไม่ออกไปลงคะแนน หากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้น ซึ่งเคยพิสูจน์ความจริงมาแล้วในเหตุการณ์ล้อมฆ่านักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 และเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจโค่นล้มกันไปมาหลังจากนั้นเมื่อมีการเลือกตั้งปรากฏว่ามีผู้มาลงคะแนนน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีผลให้ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคประชากรไทยในกรุงเทพมหานคร ชนะยกทีมทุกเขตในกรุงเทพฯ แม้แต่คนโฆษณาขายผงซักฟอกในโทรทัศน์ซึ่งไม่เคยสนใจการเมืองเลย ก็ชนะการเลือกตั้งด้วย คงมีที่นั่งเหลือให้พรรคประชาธิปัตย์เพียงเสียงเดียวในกรุงเทพฯเท่านั้นคือนายถนัด คอร์มัน ดังนั้นสัญญาณอันตรายของมารผจญจึงเกิดดังขึ้น เริ่มต้นจากการขว้างระเบิดเข้าไปในม๊อบพันธมิตรที่สะพานมัฆวานเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มพันธมิตรก็วิเคราะห์ว่า เป็นฝีมือของคนมีสีที่ต้องการสร้างสถานการณ์ไม่ให้มีการเลือกตั้ง หรือเบรคการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่ามารนี้มีความโหดเพียงใด ขนาดพันธมิตรซึ่งเป็นแนวร่วมทางความคิดก็ยังไม่เว้นที่จะเอาชีวิตใช้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย ดังนั้นขอให้จับตามองให้ดีว่าจะเกิดเสียงระเบิดตูมตามขึ้นที่ใดอีก ไม่เว้นแม้กระทั้งชีวิตผู้สมัครส.ส. ดังนั้นแกนนำพรรค ทุกคนโปรดระวัง
ละครล้มเจ้า ตัวอย่างการสร้างสถานการณ์
แม้วันนี้จะเข้าสู่ภาคการเลือกตั้งแล้ว บทบาทของช่อง 11 ยังทำหน้าที่รับใช้ แผนงานหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยเฉพาะรายการของนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และนางบุญระดม จิตดอน ดังนั้นจึงเชื่อขนมกินได้ว่า ช่อง 11 พร้อมจะทำหน้าที่ประโคมข่าวเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย ตามแผนป.ช.ป ได้เสมอตามภาษาเซียนพนันที่ว่า “อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เทหมดหน้าตัก”
ละครน้ำเน่าลอบสังหาร เบี่ยงเบนคะแนนยิ่งลักษณ์
ข่าวคราวความรุนแรงและแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงเป็นระยะๆในขณะนี้เป็นเรื่องการเมืองชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย นับตั้งแต่เริ่มประกาศการเลือกตั้ง คือกรณีขว้างระเบิดใส่กลุ่มพันธมิตรและมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นอีกเพื่อสร้างกระแสล้มเลือกตั้งหรือป้ายสีเสื้อแดงเพื่อเรียกคะแนนสงสารให้แก่พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะจะเกิดกับบุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังจะเห็นได้ว่าบทละครเรื่อง “อภิสิทธิ์ถูกลอบทำร้าย” เริ่มต้นทดลองแสดงแล้วจากกรณีสาวกสันติอโศก นางสิริมา นวลแจ่ม ที่ปลอมตัวมาเป็นเสื้อแดงเพื่อจัดฉากว่าประท้วงด้วยความรุนแรงแล้วลงเอยด้วยอภิสิทธิ์เป็นคนใจกว้างและใจเย็นซึ่งตรงข้ามกับความเป็นตัวตนของอภิสิทธิ์ เพียงแต่การจัดฉากนี้คล้ายลิเกราคาถูกที่เล่นฟรีตามตลาดสดและติดตามด้วยบทละครแปลกๆอาทิเช่น ยิ่งลักษณ์ให้การเท็จจนถึงแผนลอบฆ่าคนสำคัญทางการเมืองของกองกำลังติดอาวุธเสื้อแดงที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ ดังนั้นบทละครลอบฆ่าลอบทำร้ายอภิสิทธิ์จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้นได้ซึ่งแน่นอนว่าหากเกิดขึ้นจริงสังคมจะช็อค และในระยะต้นจะเชื่อว่าพวกเสื้อแดงต้องเป็นคนทำแน่นอน เพราะตลอดระยะเวลาสองปีเศษที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพได้สร้างบทละคร แดงคือผู้ก่อการร้ายมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อระยะเวลาใกล้วันที่ 3 กรกฎาคม วันเลือกตั้ง ยิ่งลักษณ์ต้องระมัดระวังการหดตัวของคะแนนจากบทละครลอบฆ่าของผู้นำประชาธิปัตย์ แล้วความปั่นป่วนในภาวะกระชั้นชิดของการเลือกตั้ง วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ และโทรทัศน์ช่อง 11 ซึ่งแสดงบทบาทรับใช้พรรคประชาธิปัตย์อย่างน่าสงสัยในพฤติกรรมของอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ก็จะโหมข่าวใส่ร้ายจนพรรคเพื่อไทยพลิกตัวไม่ทัน แล้วคะแนนสงสารก็จะเทมาที่พรรคประชาธิปัต
วิเคราะห์ได้ดีมากเลยครับ ขอเป็นกำลังใจให้ต่อไปนะครับ
ตอบลบสมัครgoogleเพื่อติดตามDr.Sunai FanClubโดยเฉพาะเลยครับ^^
ตอบลบ