Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ภาวะวิเวกวังเวง (สูญญากาศ) ของระบอบประชาธิปไตยแบบแอ๊บแบ๊ว


ภาวะวิเวกวังเวง(สูญญากาศ)ของระบอบประชาธิปไตยแบบแอ๊บแบ๊ว 
บทความการเมืองแบบน่ารัก น่ารัก โดย นู๋แดง RED HOT จาก Facebook

 ปรากฏการณ์แห่งความไร้กฎเกณฑ์ของระบอบรัฐไทยที่แฝงตัวอยู่ในระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม (แบบแอ๊บแบ๊ว) มานานแสนนานได้ปรากฏเด่นชัดแล้วว่าได้เดินทางมาถึงจุดที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว
     ระบอบการปกครองของไทยวันนี้เนื้อแท้คือระบอบเผด็จการโดยคณะบุคคลที่ชอบแอ๊บฯประชาธิปไตย (กลัวชาวบ้านเค้ารู้ว่าเป็นเกย์เผด็จการ)
 ระบอบนี้จะถูกเรียกว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตย (ตามที่แกนนำ นปช. เค้าว่ากัน) หรือจะเรียกชื่อว่าอะไรก็แล้วแต่ท่านผู้อ่านเถอะค่ะ, แต่ทุกท่านก็ต่างรับรู้ว่าทุกชื่อที่เรียกขานนั้นล้วนแล้วแต่มุ่งไปหาศูนย์รวมอำนาจของระบอบเผด็จการโดยคณะบุคคลกลุ่มเดียวกันนั้นล่ะค่ะ, ที่พวกเขาเห็นประชาชนเป็นนางทาสในเรือนเบี้ย..ที่ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงตามบ้านต่างๆเลยค่ะ
     คนไหนที่ทำตัวเป็นแบบสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ แอ๊บแบ๊วน่ารักๆ จะได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษจากเหล่าเผด็จการคือ ทำอะไรก็ไม่ผิด (แม้ทำผิดกฎหมาย แต่ก็น่าเอ็นดู๊...น่าเอ็นดู) แต่ใครที่แสดงตัวเป็นเสรีชน  รักในเสรีภาพ และความเสมอภาคเหมือนเช่นมนุษย์ทั่วไปในโลกที่เค้าเป็นกัน ทำอะไรก็ผิดทั้งนั้นเพราะไม่ถูกใจเฮียผู้เป็นเผด็จการ (ไม่สบอารมณ์)  เจ๊ขอบอก...
     นักโทษทางการเมืองเสื้อแดงที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้ปล่อยตัว, และที่ปล่อยตัวมาแล้ว แต่กำลังจะถูกนำกลับไปขังลืมอีกครั้ง นี่ไงล่ะ!!! คือรูปธรรมที่แท้จริงของระบอบเผด็จการ อย่างนี้นี่เอง!!!!
     คนดีๆที่ถูกจับเข้าคุกถูกห้ามประกันตัวในฐานะนักโทษทางความคิดหรือนักโทษการเมืองทั้งที่ถูกจับและกำลังตามจับกันอย่างจ้าละหวั่นไปทั่ว มีตั้งแต่นายกรัฐมนตรีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร,ซึ่งตอนนี้เห็นท่าว่าจะถอดยศตำรวจออกแล้วด้วยซ้ำ จักรภพ เพ็ญแข, ตอนนี้ก็ออกจาริกแสวงบุญอยู่ ณ. กรุงพาราณสี ที่ไหนสักที่ในโลกนี้ นักเคลื่อนไหวอย่าง สุรชัย แซ่ด่าน , ดาตอร์ปิโด , ณัฐวุฒิ   ใสยเกื้อ, นักการเมืองอย่าง ส.ส.จตุพร  พรหมพันธุ์ ,  ส.ส.วิเชียร  ขาวขำ, ไม่เว้นแม้แต่ดาวตลกอย่างเจ็งดอกจิก รวมถึงชาวบ้านที่สวมเสื้อแดงถูกจับยัดเข้าคุกอีกมากมายทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน และล่าสุดนักหนังสือพิมพ์อย่างนายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข อยู่ดีๆแท้ๆ ก็พลอยโดนรวบตัวกับเค้าด้วย  แต่ทั้งหมดนี้ไร้เงาของแกนนำพันธมิตรเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีที่กระทำผิดในข้อหายึดสนามบิน นานาชาติสุวรรณภูมิและดอนเมือง บุกยึดธรรมเนียบรัฐบาลเป็นเดือนๆข้าวของเสียหายเป็นจำนวนมากทั้งเอกสารสำคัญของทางราชการอาวุธปืนต่างๆนับได้ว่าเป็นการ จรกรรมข้อมูลของชาติ เอาไปขายได้เลยทีเดียวล่ะแต่ก็ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหน่วยงานไหนสักหน่วย ไม่ว่าจะเป็น สตช. DSI (เงียบอย่างกะมีคนมากบารมีนั่งทับไว้) แต่ทำตัวน่าเอ็นดู๊น่าเอ็นดูเหมือนหมาๆแมวๆในครัวเรือน ที่เลียแข้งเลียขาน่ารัก เห่าและกัดคนที่ผู้เผด็จการเกลียดทั้งที่บางทียังไม่ได้สั่งก็ยังมี และที่สำคัญที่สุดคือ ทำตัวยืนสองขาได้คล้ายมนุษย์ด้วยแนะ!!! เอ??? หน้ามันจะเหมือนในโปสเตอร์ของพวกมันที่ i กับ e เป็นแบบกัน ที่สีเหลืองๆนี่หรือเปล่านา....???

      การระดมจับ,ปิด,ยึดเครื่องส่งและยัดข้อหาวิทยุชุมชนชาวเสื้อแดงทั่วประเทศในคราวเดียวกันล้วนเป็นสัญญาณความหงุดหงิดที่ถึงขีดสุดของเหล่าเผด็จการ ในขณะเดียวกันทีกับวิทยุชุมชนของพันธมิตรเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี และสันติอโศก เช่น สถานี ASTV และสถานีสุวรรณภูมิและอีกเยอะแยะเต็มไปหมด ที่มีพฤติกรรมทางกฎหมายและการเมืองเหมือนกันกับวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง (เพียงแต่จัดเวลาเลียตีนเลียมือ แผล็บ แผล็บ...เหล่าเผด็จการอย่างมีระบบ) ก็กลับได้รับความเอ็นดูอยู่ได้ต่อไปสบายๆ
      เพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายอย่าได้หลงใหลอยู่กับสัญญาณจอมปลอมที่เหล่าเผด็จการตีเกาะเคาะกะลาส่งสัญญาณเลือกตั้งเลยค่ะพี่น้องขา...
      แม้วันนี้เด็กน้อยอย่างนายมาร์ค ม.7 ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นนายกฯ ได้ประกาศยุบสภากำหนดวันเลือกตั้งเป็น 3 กรกฎาคม ก็เกิดภาวะวังเวงให้เห็นคือข่าวจัดงานวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาแท้ ยังต้องหลบลี้หนีเข้าไปจัดงานในกรมทหารลาบเลือดที่ 11 จะจัดงานกลางสนามหลวงอย่างที่เคยก็ไม่ได้ (ข่าวพาดหัว ไทยรัฐ  10 พ.ค. 54)  เอ??? สงสัยพวกนี้ชอบเป็น e แอบแน่ๆเลย แอบทำอะไรกันนู๋แดงยังสงสัยอยู่???

นี้คือความวิเวกวังเวงแห่งของระบอบประชาธิปไตยแบบแอ๊บแบ๊ว

     ภาวะวังเวงคือภาวะสูญญากาศของระบอบเผด็จการ
     จับตาดูสองด้านของความขัดแย้งแห่งจุดเปลี่ยนในภาวะสูญญากาศของระบอบเผด็จการนี้ให้ดีนะค่ะ
ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง แต่อย่าหลงใหลกับการเลือกตั้ง
     จงใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือประจานระบอบเผด็จการของไทย เพื่อให้ชาวไทยบางกลุ่มตาสว่างซะทีให้สิ้นสงสัยและเลิกสนับสนุนระบอบเผด็จการไทย
     ต้องให้ชาวโลกกับชาวไทยบางกลุ่มให้สิ้นสงสัยซะทีว่า ระบอบเผด็จการของไทยหมดสภาพไปต่อไม่ได้แล้ว เพราะระบอบเผด็จการของไทยกำลังเป็นพิษร้ายที่ขัดขวางความสงบสุขของทุกชาติในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะในไทยเท่านั้น
     พลังประชาธิปไตยในมือท่านทั้งหลายต้องช่วยกันผลักดันให้พรรคเพื่อไทยที่ยืนเผชิญหน้ากับระบอบเผด็จการไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นให้ได้เกิน 300 เสียง ไปเลยจะเห็นจะจะ ว่ามันจะเปิดเกมล้มโต๊ะหรือไม่
     จงเตรียมใจและดีใจกับชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่จะถูกปล้นชัยชนะจากระบอบเผด็จการอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกับเหตุการณ์การจัดตั้งรัฐบาลพลซุ่มกินในค่ายทหาร ”11รด” เหมือนเมื่อปลายปี 2551 นะจ๊ะ
     จงเตรียมใจและดีใจกับชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการที่จะถูกปล้นตัดหน้าก่อนการเลือกตั้ง อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกับเหตุการณ์การยึดอำนาจก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 19 กันยายน 2549 ก็อาจจะเป็นไปได้เหนอะ...
     หรือว่าจะไปหาเรื่องทะเลาะกับเพื่อนบ้านจนก่อสงครามเพื่อจะเปิดเกมล้มโต๊ะเลือกตั้งก็เป็นไปได้  แต่ขอบอกนะค่ะว่าเค้ารู้ไต๋ตัวเองหมดแล้วล่ะค้า...พี่บิ๊ก บู-ละพา แมวเหมียว...เมี๊ยว เมี๊ยว

     นี้คือ สองด้านของภาวะสูญญากาศของระบอบรัฐเผด็จการไทย
     นี้คือ การเตรียมจิตใจรับมือกับความเป็นจริงกับภาวะสูญญากาศของระบอบรัฐเผด็จการไทยที่เป็นฝ่ายกระทำมาโดยตลอด
     ภาวะสูญญากาศและวังเวงอันน่าสะพรึงเป็นภาวะที่ต้องเกิด แน่นอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรากำลังจะได้รัฐประชาธิปไตยของประชาชนแล้วแต่ เกมล้มโต๊ะก็กำลังเริ่มขึ้นแล้วอยู่เหมือนกัน

โปรถติดตามตอนต่อไปนะค่ะ ….นู๋แดง RED HOT

แถลงการณ์ทหารตำรวจปชต. ลั่นไม่ยอมให้ใครบงการทำลายปชช

แถลงการณ์ทหารตำรวจ ปชต. ลั่นไม่ยอมให้ใครบงการทำลาย ปชช.


แถลงการณ์ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ ฉบับที่๑ สถานการณ์ความสงบร่มเย็นและความเจริญของประเทศไทยในห้วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันปรากฏเด่นชัดว่าอำนาจทางทหารได้เข้าไปบงการและใช้อำนาจอันไม่ถูกต้องก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบสุขและความร่มเย็น และความเจริญของประเทศชาติดังกล่าว
กลุ่มทหารและตำรวจที่เป็นผู้บังคับหน่วยและฝ่ายเสนาธิการและอำนวยการในปัจจุบัน ได้เฝ้ามองกลุ่มอำนาจทางทหารดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตระหนักแน่ชัดในปัจจุบันว่า กลุ่มอำนาจดังกล่าวยังคงตั้งใจที่จะดำเนินการบงการอำนาจทางการเมือง ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งแน่นอนว่า จะเกิดผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแน่นอน
โดยอ้างถึง การปกป้องสถาบันมาเป็นข้ออ้าง ทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตลอดมา ซึ่งแท้จริงเป็นการแอบอ้างสถาบัน เพื่อสร้างและรักษาอำนาจของตนเองไว้เท่านั้นนอกจากนี้ยังกระทำการเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์และทำลายสถาบันทหาร อีกทั้งยังเป็นกองทัพที่เลวร้ายเข่นฆ่าประชาชนของตนเองอย่างไร้มนุษยธรรมและไร้ยางอายต่อการกระทำของชายชาติทหารที่กระทำแล้วไม่ยอมรับการกระทำของตนเอง
ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ จึงมิอาจจะปล่อยให้ผู้มีอำนาจทางทหารในปัจจุบันกระทำต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไปได้ จึงแจ้งแถลงการณ์ฉบับนี้ มาสู่พี่น้องสื่อมวลชน เพื่อสื่อสารให้กองทัพและประชาชนได้ทราบโดยทั่วถึงกันว่า ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ จะกระทำการดังต่อไปนี้
๑.จะใช้พลังอำนาจทั้งปวงที่มีอยู่ขัดขวางการกระทำของกองทัพที่จะทำลายระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติ การแทรกแซงการเลือกตั้ง การบีบบังคับนักการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล
๒.จะเปิดเผยหลักฐานข้อมูลการใช้งบประมาณของกองทัพอันเป็นการทุจริต คอรัปชั่น ของผู้นำกองทัพและการร่วมมือ การทุจริตของฝ่ายทหารและการเมือง
๓.จะเปิดเผยหลักฐานและข้อมูลการปฏิบัติการทางทหารของ ศอฉ.อันเป็นข้อมูลที่แท้จริง ของฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารที่ปฏิบัติการในห้วง ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๓ และการสั่งการการสังหารประชาชนที่วัดปทุมวนาราม ทั้งเอกสารและคลิปเสียง
๔.จะเปิดเผยเบื้องหลังการสั่งการของชายชุดดำต่อการปฏิบัติการลับ ในการสังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ทั้ง พล.ต.วลิต โรจนภักดี และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
แถลงการณ์ฉบับที่ ๑ นี้ กลุ่มทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ ขอถวายชีวิตเพื่อชาติและประชาชน และจะไม่ยอมให้กลุ่มอำนาจทางทหารมาบงการและทำลายประเทศชาติและประชาชนอีกต่อไปจึงแจ้งมาเพื่อทราบ

ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔

๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๔

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 3)"ลั่นไกหนึ่งนัด อาจจะทำให้รัฐบาลล่มได้"

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 3)"ลั่นไกหนึ่งนัด อาจจะทำให้รัฐบาลล่มได้"


ตอน 3

หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553 เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำเอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง จากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่

..............................................................................................................

ข้อเสนอแนะจากบทเรียนทางยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี

ข้อเสนอแนะทางยุทธศาสตร์ ประกอบด้วยสาระสำคัญดังต่อไปนี้

1. รัฐบาลควรมีการป้องกันทางยุทธศาสตร์โดยการผ่านพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่มวลชน พ.ศ....เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม ป้องกันมิให้ปริมาณการชุมนุมมีมวลชนมากขึ้น และขยายระยะกว้างจนกระทั่งไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ และกรณีที่มีกฎหมายนี้เด็ดขาดตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อจัดการกับแกนนำที่จะสร้างสถานการณ์และก่อให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย แล้วใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการ ซึ่งมีแต่ความสูญเสีย โดยเฉพาะชีวิตของประชาชนที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ทั้งยังจะกลายเป็นรอยแผลเป็นของสังคมไทยตราบนานเท่านาน

2.รัฐบาลควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เช่น การปฏิบัติยุทธการกระชับวงล้อมครั้งนี้ เพื่อให้ฝ่ายทหารได้นำนโยบายไปกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหาร ยุทธการ และลงรายละเอียดทางยุทธวิธี เพื่อเป็นหลักประกันสุดท้ายขององค์กรที่บังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.รัฐบาลควรได้ประเมินถึงผลความเดือดร้อนของประชาชนโดยรอบพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ กรณีมีมาตรการตัดน้ำตัดไฟ เพื่อเตรียมการสำหรับความช่วยเหลือเบื้องต้น ยกตัวอย่างเช่น การอพยพประชาชนออกนอกพื้นที่ความขัดแย้งไปยังพื้นที่ไม่ปลอดภัย

4.รัฐบาลควรแสดงความมีเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพตั้งแต่เบื้องต้น เพื่อให้สังคมเกิดความมั่นใจและเชื่อมั่นว่า ทุกมาตรการที่รัฐบาลสั่งให้กองทัพปฏิบัตินั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

5.รัฐบาลควรให้ ศอฉ.สรุปบทเรียนการปฏิบัติทั้งหมด ทั้งในแง่โครงสร้างการจัด การอำนวยการ แง่กฎหมาย ภาพพจน์ของประเทศในสายตาของนานาชาติ ผลกระทบที่เกิดขึ้นทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการทหาร

6.ศอฉ.ควรได้มีการประเมินการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) ว่า มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ขณะปฏิบัติการควรได้ประเมินข่าวและสถานการณ์จากสื่อมวลชนทุกประเภทด้วย และรัฐบาลควรได้นำบทเรียนครั้งนี้ไปสู่การกำหนดนโยบายการปฏิบัติการข่าวสารในระดับรัฐบาลมากน้อยเพียงใด

7.กองทัพควรได้ศึกษาถึงการปรากฏตัวของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ ในแต่ห้วงของการปฏิบัติในช่องทางของ ศอฉ.ว่า ส่งผลต่อความเชื่อมั่น ความมั่นใจและการยอมรับของประชาชนว่าเป็นอย่างไร

8.กองทัพควรได้นำบทเรียนการปฏิบัติการครั้งนี้ เพื่อจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาของทหาร เช่น หลักสูตรการก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบ
หลักสูตรการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบในเมือง หลักสูตรการรบในเมือง หลักสูตรการปราบจลาจล เป็นต้น

9. กองทัพควรได้ศึกษาบทเรียนของการปฏิบัติการในแง่กฎหมายทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษในกรณีของการก่อการร้าย คดีจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์
คดีงดทำธุรการทางการเงินของบริษัท กลุ่มบุคคล หรือบุคคล

10.รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณให้กับกองทัพในการเตรียมกำลัง อาวุธยุทธโธปกรณ์ ยานพาหนะ อุปกรณ์พิเศษ เพื่อภารกิจการปราบจลาจลคู่ขนานไปกับภารกิจการต่อต้านการก่อการร้าย
และแยกแยะกลุ่มก่อการร้ายออกจากผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์

11.รัฐบาลควรได้กำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการทางยุทธศาสตร์ กรณีแกนนำประกาศยุติการชุมนุมแต่มวลชนไม่ยอมรับ ทำให้มวลชนเกิดอาการโกรธแค้น ผิดหวังบุกเผาทำลายและก่อการจลาจลอย่างรุนแรงทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

12.กองทัพควรดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับทหารนอกแถวที่ฝักใฝ่ทางการเมืองอย่างชัดแจ้ง เช่นกรณีการพยายามเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะจะทำให้ภาพพจน์ของกองทัพในสายตาประชาชนเสียหาย

ข้อเสนอแนะทางยุทธการ ประกอบด้วย สาระสำคัญดังต่อไปนี้

1.กองทัพบกควรกำหนดแผนยุทธการในกรณีการสลายการชุมนุม การขอคืนพื้นที่ การกระชับวงล้อม ให้มีความอ่อนตัวซึ่งแต่ละแผนยุทธการต้องสามารถปฏิบัติได้จริงตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนดให้ ภายใต้กฎการใช้กำลังที่ชัดเจนและเข้มงวด

2.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้กำหนดแผนการต่อต้านการจลาจล เพื่อรับมือกรณีมวลชนไร้แกนนำ บ้าคลั่ง บุกเผา โจมตีสถานที่ต่าง ๆ ในขั้นการก่อจลาจลทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

3.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้มีการศึกษาบทเรียนประสบการณ์งานระดับยุทธการในการปฏิบัติการครั้งนี้เพื่อกำหนดต้นแบบ และหลักนิยมของกองทัพบกที่สามารถนำมาปรับใช้ได้กับเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในเมืองตั้งแต่ความขัดแย้งของการเมืองเริ่มต้น การชุมนุมขนาดใหญ่อย่างสงบไม่เกินขอบเขตกฎหมาย การชุมนุมที่ผิดกฎหมาย บทบาทของกองทัพบกในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการปฏิบัติตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลเป็นกรณี ๆ ไป

4.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้ชี้แจงทำความเข้าใจให้มากขึ้นถึงเส้นทางหรือพื้นที่ปลอดภัยที่ผู้ชุมนุมจะสลายตัวไป พร้อมให้ความมั่นใจว่าเป็นเส้นทางและพื้นที่ปลอดภัยจริง ๆ

5.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้มีการพิจารณาการใช้หน่วยระดับกองพลให้เหมาะสมกับภารกิจและมีความคุ้นเคยกับพื้นที่ปฏิบัติการในเมือง

6.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้มีการติดตาม ตรวจสอบ พฤติกรรม พฤติการณ์ของนายทหารนอกแถวที่มีทัศนคติฝักใฝ่ทางการเมือง โดยควรมีการลงโทษอย่างเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพราะกลุ่มคนพวกนี้จะนำแนวคิดทางยุทธการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบในเมืองไปถ่ายทอดให้กลุ่มการเมือง เพื่อนำมาซึ่งการก่อการร้ายได้

7.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้พิจารณาถึงหลักการจู่โจมในการปฏิบัติว่า ควรกำหนดการจู่โจมขั้นต้นใดได้บ้าง บางครั้งอาจจะต้องเพิ่มเติมในส่วนของแผนการลวง โดยเฉพาะการแสดงกำลังและการปฏิบัติต่อต้านในการรบแบบกองโจรในเมือง

8.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรยึดถือหลักการของการมีเสรีในการใช้เวลามาเป็นบทเรียนในการปฏิบัติการครั้งต่อไป เพราะภัยคุกคามของกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวในม็อบนั้นเป็นความฝืดของสนามรบที่เป็นอุปสรรคเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลานี้เปิดกว้างในกรอบแผนยุทธการ กรอบสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องมีเวลาเพื่อการตัดสินใจ และการมุ่งแต่ความสำเร็จมากเกินไปก็อาจปฏิบัติการล้มเหลวได้สูง

9.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้มีการสนับสนุน พล.ม.2 รอ. ในภารกิจการปฏิบัติรบในเมืองอย่างเต็มขนาด เพื่อจะเป็นหลักประกันว่าการบุกทะลวงแนวตั้งรับของกลุ่มประท้วงในอนาคตนั้น แนวป้อมปราการอาจจะแข็งแกร่งมากกว่าครั้งนี้ก็เป็นไปได้

10.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้นำแผนยุทธการกระชับวงล้อมครั้งนี้ไปศึกษา แล้วจัดทำเป็นหลักสูตรการฝึกประจำปี ในภารกิจการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ รวมทั้งมีการซักซ้อมแผนการปฏิบัติในพื้นที่ที่สุ่มเสี่ยงต่อการตั้งเวทีปราศรัยถาวรเต็มพื้นที่กรุงเทพฯ

11.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรมีการจัดโครงการกองทัพบกประชาชนในพื้นที่ของชุมนุมบ่อนไก่ ถนนพระราม 4 และชุมชนสามเหลี่ยมดินแดง ถนนดินแดง-อนุสาวรีย์ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อประชาชนกับเหตุผลของการปฏิบัติการทางทหาร ณ ช่วงเวลา

12.กองทัพบกผ่าน ศอฉ. ควรได้มีการสร้างตัวตายตัวแทนของโฆษก ศอฉ. เพื่อเตรียมการสำหรับโฆษก กอ.รส.ในอนาคต และควรได้ศึกษาเตรียมการก่อนล่วงหน้า

ข้อเสนอแนะทางยุทธวิธี ประกอบด้วยสิ่งสำคัญดังต่อไปนี้

1.ผู้บังคับหน่วยระดับยุทธวิธี ควรมีวินัยและความอดทนสูงเยี่ยม และพร้อมปฏิบัติงานเกินกรอบเวลาที่กำหนด อย่างน้อยต้องเตรียมการ เตรียมใจ เตรียมผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างน้อย 7 วัน (กรณี 3 วันนั้นน้อยเกินไป) ถ้ามีการต่อต้านอย่างหนัก เช่น กรณีชุมนุมบ่อนไก่)

2.ผู้บังคับหน่วยระดับยุทธวิธี ควรมั่นใจ เชื่อมั่นที่รองรับด้วยเหตุผลว่า ภารกิจทางยุทธวิธีนั้นสอดรับกับแผนยุทธการ และแผนยุทธศาสตร์ของ ศอฉ. และรัฐบาล

3.ผู้บังคับหน่วยระดับยุทธวิธีควรมีการรักษาความลับในการปฏิบัติการ ทั้งก่อนและหลังการปฏิบัติการ เพื่อมิให้เป็นพยานหลักฐานทางกฎหมายกับกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลหยิบยกไปเปิดเผยต่อสื่อมวลชน

4.ผู้บังคับบัญชาหน่วยระดับยุทธวิธีควรปฏิบัติภายใต้การรักษาชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นที่สำคัญที่สุด และต้องควบคุมการลั่นไกกระสุนจริงโดยมีสติ และมีเจตนารมณ์ อย่างให้กำลังพลปฏิบัติด้วยความโมโห หรือการแก้แค้นเป็นอันขาด

5.ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถืออาวุธ ควรถืออาวุธและใช้อาวุธในรูปแบบการฝึกที่ปลอดภัยที่สุด ควรระลึกเสมอว่า การลั่นไกหนึ่งนัด อาจจะทำให้รัฐบาลล่มได้

6.การดำเนินกลยุทธ์ ควรกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่ประมาท ต้องมีวิจารณญาณสูงในการแยกแยะผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงออกจากผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์โดยเฉพาะเด็ก ผู้หญิง และคนชรา

7.การทำงานกับสื่อมวลชน ควรกำหนดพื้นที่ห้ามเข้า พื้นที่อันตราย และควรมีชุดถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของกองทัพที่มีความสามารถสูงในการเก็บภาพเพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติบวกของกำลังทหาร

8.การจัดชุดรบ เอนกประสงค์สำหรับภารกิจในเมืองควรประกอบกำลังด้วยชุดรถยานยนต์หุ้มเกราะ ชุดทหารราบ ชุดพลซุ่มยิง ชุดกู้ระเบิด ชุดผจญเพลิง ชุดถ่ายภาพและชุดปราบจลาจลที่พร้อมสลับหน้าที่ และเปลี่ยนเครื่องอุปกรณ์แต่งภายใน 3 ภารกิจหลัก คือ (1) ชุดรบในเมือง (2) ชุดปราบจลาจล (3) ชุดตั้งรับเพื่อตรีงพื้นที่

9.อุปสรรค์สำคัญของการเคลื่อนที่เข้ากระชับวงล้อม คือ พลซุ่มยิงของ นปช. ดังนั้นในระดับยุทธวิธีควรมีการผลิตพลซุ่มยิงเร่งด่วนของหน่วยระดับกรมของกองทัพบกเพื่อรับภารกิจในกรุงเทพฯ และภูมิภาคในอนาคต

10.ควรศึกษาจัดทำบทเรียนการปฏิบัติ ในกรณี 10 เมษายน พื้นที่แยกคอกวัว กรณี 28 เมษายน พื้นที่อนุสรณ์สถาน กรณี 13 พฤษภาคม การลอบยิงเสธ.แดง และกรณียุทธการกระชับวงล้อม เพื่อจัดทำเป็นคู่มือหรือแนวทางปฏิบัติสำหรับการปฏิบัติระดับยุทธวิธีของกองทัพบก

11.การจัดทำบังเกอร์เร่งด่วนสำเร็จรูป เพื่อให้หน่วยปฏิบัติระดับยุทธวิธีใช้ได้ทันที เมื่อต้องปรับภารกิจจากการสลายการชุมนุม หรือการปราบจลาจล เป็นการตั้งรับอย่างเร่งด่วนตามแนวเส้นทางเดินเท้า

12.ควรมีการศึกษาค้นหาตัวแบบที่เหมาะสมในการกำหนดพื้นที่ที่ใช้กระสุนจริง เพราะปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามีประเทศใดในระดับนานาชาติที่ได้นำมาปฏิบัติในการสลายการชุมนุมที่ได้รับการยอมรับ

13.ควรมีการศึกษา และค้นหาเทคนิคการใช้พลซุ่มยิงในสถานการณ์การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบในเมือง ใน 3 พื้นที่หลัก คือ (1) พื้นราบ (2) บนสะพานลอยข้ามถนน (3) อาคารสูง

14.ควรถอนตัวออกมาจากพื้นที่ชุมนุมไม่ว่าจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหรือไม่เมื่อใกล้เวลามืดค่ำ เพื่อป้องกันการลอบยิงจากพลซุ่มยิงที่ยังหลงเหลืออยู่ ไม่เช่นนั้นจะพบกับความสูญเสียโดยไม่จำเป็น

15.ควรมีการศึกษาตัวแบบของการใช้รถหุ้มเกราะในภารกิจกระชับวงล้อมที่เหมาะสม ถูกต้องตามหลักนิยม

16.การเคลียร์พื้นที่เพื่อการตรวจค้น ผู้ตรวจค้นควรใส่ถุงมือเพื่อป้องกันลายมือแอบแฝงในวัตถุพยาน พร้อมถ่ายรูปสภาพเดิมก่อนการตรวจค้น เพื่อใช้ประโยชน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป


สรุป
บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ แม้ว่าในระดับยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยุทธิวิธีจะได้บทสรุปออกมาในเชิงประสบความสำเร็จเสียเป็นส่วนใหญ่ ในระดับรัฐบาล ศอฉ. กองทัพบก และหน่วยปฏิบัติ ผลสำเร็จครั้งนี้สร้างความโล่งใจให้กับสังคมไทยได้ไม่กี่นาที แต่ภายหลังผลการประกาศยุติการชุมนุมของแกนนำสถานการณ์ที่กำลังลดดีกรีความรุนแรงลง กลับกลายเป็นการประทุขึ้นของยุทธการเผาบ้านเผาเมืองก่อการจลาจลจากความโกรธแค้น ผิดหวังของมวลชนคนเสื้อแดงแดงทั้งแผ่นดิน แต่เป็นการแดงด้วยเปลวเพลิง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นั่นคือ บทเรียนสงครามจลาจลเผาบ้านเผาเมืองที่ยังไม่ได้เขียน แต่ได้สร้างความหายนะให้กับประเทศนี้ไปเรียบร้อยแล้ว สมกับหนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่งได้พาดหัวข่าวในวันรุ่งขึ้นวันที่
20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ว่า "ประเทศพินาศ"


เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 2)กระสุนจริงและสไนเปอร์


หมายเหตุ : บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553  เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำเอกสารแนวทางในการปฏิบัติทาง ทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมืองจากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก  สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่


ความสำเร็จทางยุทธการ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ (ตอนที่2)


1.แผนยุทธการมีพื้นฐานและสอดรับกับความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางทหารและนโยบายของรัฐบาล 

2.แผนยุทธการมีการวางแผนเป็นขั้นตอนรัดกุมมีเสรีในการปฏิบัติตามกรอบเวลามีการวางแผนและปฏิบัติโดยปราศจากแรงกดดันด้วยเวลา

3.การปฏิบัติการข่าวสารนับว่าเป็นผลในระดับยุทธการ ทั้งในส่วนการสร้างขวัญและกำลังใจของฝ่ายปฏิบัติการ และลดขวัญกำลังใจของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย
 

4.ความสำเร็จของการปฏิบัติงานด้านการข่าวในพื้นที่กลุ่ม นปช.ทำให้สามารถใช้หน่วยได้ตรงกับขีดความสามารถและถูกต้องเหมาะสมกับภารกิจ ยกตัวอย่าง การใช้หน่วยสไนเปอร์ของทุกกรม โดยเฉพาะกับพื้นที่ตึกสูงตามเส้นทางถนนวิทยุและสายสารสิน
 

5.ความสำเร็จในการจู่โจม แม้ว่าแผนยุทธการครั้งนี้ไม่สามารถจู่โจมด้วยเวลาได้ ก็มีการแก้เกมด้วยการจู่โจมด้วยความเร็วโดยการส่งล่วงหน้าเข้ารักษาความ ปลอดภัยบนพื้นที่อาคารสูง การเข้ายึดพื้นที่สวนลุมพินีเป็นส่วนใหญ่ได้ก่อนสว่าง และการรุกเข้าพร้อมกัน 3 ทิศทาง
 

6.การปฏิบัติตามแผนยุทธการ กระทำด้วยการรุกคืบด้วยความระมัดระวังของแต่ละพื้นที่โดยการประเมินศักยภาพ ของกำลังการ์ดนปช.ให้สูงกว่าเมื่อครั้ง10 เมษายน เพื่อให้มีระบบป้องกันตัวทหารที่มากขึ้น ดังนั้นการปฏิบัติการทางทหารที่ใช้กำลังทหารประมาณ 2 หมื่นนาย มีการสูญเสียทหาร 1 นาย กับบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นความสูญเสียที่ยอมรับได้
 

7.กองกำลังการ์ด นปช.มีการตั้งรับแบบกองโจรวางกำลังเต็มพื้นที่ ขาดผู้เชี่ยวชาญการวางกำลังตั้งรับและร่นถอยแบบทหารที่แท้จริง เนื่องจากการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ทำให้จุดศูนย์ดุลของ นปช.กลายมาเป็นจุดแข็งของการปฏิบัติของกองทัพ
 

8.แผนยุทธการเป็นการวางแผนการปฏิบัติรบเต็มรูปแบบเสมือนการทำสงครามรบใน เมือง ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล วางแผนเข้าปฏิบัติการ ซึ่งมีอำนาจกำลังรบเปรียบเทียบสูงกว่ามาก ยิ่งมีการสั่งการให้ใช้กระสุนจริงกับกลุ่มกลุ่มก่อการร้ายผู้ถืออาวุธ และเพื่อป้องกันตัวเองได้ ทำให้ทหารที่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน ก็มีจิตใจรุกรบมากขึ้น
 

9.แผนยุทธการในการรุกผ่านฝ่ายเดียวกันจากถนนสาทร ถนนสีลม ถนนสุรวงศ์ และถนนวิทยุ ทำให้กองกำลังทหารสามารถรักษาโมเมนตัมในการปฏิบัติการได้อย่างตอ่เนื่อง และสามารถพิทักษ์ป้องกันพื้นที่ส่วนหลัง (พื้นที่สีลม) ได้อย่างปลอดภัย
 

10.ความมีเอกภาพในการปฏิบัติ จากการสั่งการของแม่ทัพภาคที่ 1 กับกองกำลัง 3 กองพลให้ปฏิบัติการได้ถูกจังหวะการรุกและการหยุดหน่วย เพื่อผลการรุกของหน่วยอื่นหรือรอเวลาสำหรับการปฏิบัติชั้นสุดท้าย ยกตัวอย่างหน่วยรุกแตกหัก ได้แก่ พล ม.2 รอ.จากทิศทางสีลมมุ่งสู่สี่แยกศาลาแดง ส่วนที่ 2 กองพลที่เหลือคือ พล.ร.9 รับผิดชอบพื้นที่แยกอโศก เพลินจิต ชิดลม และ พล.1 รอ.รับผิดชอบพื้นที่ดินแดง พญาไท ราชปรารภ กำลังส่วนนี้ต้องตรึงกำลัง ปิดเส้นทางหลบหนี ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ผู้ชุมนุม นปช.ได้ทยอยออกจากพื้นที่ราชประสงค์ผ่านถนนพระราม 1 ไปแยกปทุมวัน หรือเข้าไปในวัดปทุมวนาราม



ความสำเร็จทางยุทธวิธี : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์
 
ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ จึงเห็นได้ว่าภารกิจชัดเจน คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริง จากกำลังหน่วยรบหลักของเหล่าทหารราบ เหล่าทหารม้า และหน่วยส่งกำลังทางอากาศ อย่างเช่น ร.31 รอ.ในภารกิจปฏิบัติการพิเศษ อาจเรียกได้ว่าเป็นการรบในเมืองที่ใช้อาวุธยุทธโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนปอร์ หน่วยยานเกราะ ซึ่งการปรับกำลังและการเปลี่ยนแปลงทางยุทธวิธีที่สำคัญครั้งนี้ก็เป็นผล สะท้อนจากบทเรียนเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ.2553 นั่นเอง
 

การปฏิบัติการทางยุทธวิธีที่ใช้เวลาทำงาน 9 ชั่วโมง (เวลา 03.30-13.30) ถือว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่งทางยุทธวิธีของการรบในเมือง ที่สมควรได้มีการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการรบในเมือง ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 

1.การปฏิบัติการทางยุทธวิธีสอดรับกับแผนยุทธการกระชับวงล้อมของศอฉ.ใน ระดับยุทธการและนโยบายของรัฐบาลที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อการเมืองชัดเจนผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกองทัพชัดเจน ผู้บังคับหน่วยชัดเจนนำมาซึ่งแผนยุทธการและแผนปฏิบัติระดับยุทธวิธีก็มอง เห็นทิศทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

2.ปรับยุทธวิธีการปราบจลาจลเป็นยุทธวิธีการรบในเมือง เพื่อการปราบปรามกองกำลังติดอาวุธ หรือผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงในกลุ่ม นปช.ด้วยฐานข่าวของ ศอฉ.ว่ามีกองกำลังติดอาวุธประมาณ 500 คน มีอาวุธปืนซุ่มยิง อาวุธสงคราม เช่น M 79 M 16 AK 47 และ Travo-21
 

3.ปรับการยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองเป็นการใช้กระสุนจริงจากอาวุธประจำกาย ทำให้ต้องมีการสร้างวินัยอย่างเข้มงวด ตามกฎการใช้กำลัง จากเบาไปหาหนัก ตามหลักสากลมีการยิงให้กรวยกระสุนตกต่ำกว่าหัวเข่า การยิงเมื่อเห็นเป้าหมายหรือบุคคลถืออาวุธ เป็นการยิงเพื่อป้องกันตัวเอง การยิงขู่จะยิงเมื่อม็อบเคลื่อนที่เข้ามาแล้วสั่งให้หยุด ก็ไม่ยอมหยุด

4.การจัดระยะห่างระหว่างการวางกำลังของหน่วยทหารกับแนวตั้งรับของม็อบใน ระยะยิงหวังผลปืนM16 ประมาณ 400 หลา ซึ่งต้องมีกำลังพลเข้าเวรตรวจดูความเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช.ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดเวลา
 

5.การปรับการวางกำลังและการเคลื่อนที่ภายใต้อาคารและทางเดินเท้าไม่มีการ จัดรูปขบวนยืนแถวหน้ากระดานเป็นแผงกลางถนน เพื่อเตรียมตัวผลักดันกับฝูงชนในภารกิจปราบจลาจล เพื่อป้องกันการซุ่มยิงจากด้านหลังผุ้ชุมนุม

6.การดัดแปลงที่วางกำลังเป็นการตั้งรับแบบเร่งด่วนเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือถอยร่นด้วยกำบังกระสอบทรายสูงระดับครึ่งเข่า เมื่อต้องนอนราบหรือสูงระดับศรีษะเมื่อต้องการยืนปฏิบัติการ และมีการวางแนวทหารตั้งรับเป็นชั้นๆ ตามเส้นทางเคลื่อนที่เข้าหาม็อบ มิใช่เป็นการวางแนวเป็นปึกแผ่นเพียงชั้นเดียว ซึ่งถ้าม็อบมีจำนวนมากกว่า ก็สามารถล้อมทหารและเข้าถึงตัวแย่งปืนได้ง่าย
 

7.ใช้ลักษณะผู้นำหน่วยขนาดเล็กสูงมาก เพราะต้องอดทน ใจเย็น รอเวลา ทนต่อการยั่วยุ การรับควันไฟกลิ่นยางรถยนต์ที่เหม็นรุนแรงตลอดทั้งวันทั้งคืน
 

8.การใช้ส่วนสไนเปอร์คุ้มครองการเคลื่อนที่ในการรุกไปข้างหน้าและการ ป้องกันให้หน่วยเมื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า หรือเมื่อกองกำลังหยุดนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลาข้ามวันข้ามคืน อีกทั้งต้องรับภารกิจอารักขาผู้บังคับบัญชาระดับสูงอีกด้วย
 

9.การวางกำลังตามแนวทางเดินเท้าสามารถวางกำลังได้ ยิ่งกระจายกำลังออกไปให้ได้มากก็ยิ่งตกเป็นเป้าหมายคุ้มค่าน้อยลง และไม่ตกเป็นเป้าหมายคุ้มค่าน้อยลง และไม่ตกเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่ให้กับกระสุน M 79 ของกำลังก่อการร้าย
 

10.พัฒนารูปแบบการวางจุดตรวจการณ์ข้างหน้า (Out Post) โดยใช้สะพานลอยข้ามถนนมีการปิดฉากม่านดำเสริมด้วยบังเกอร์และกระสอบทราบ ทำให้ลดการตรวจการณ์ของการ์ด นปช.และเสริมการป้องกันได้อีกทางหนึ่ง ทั้งสามารถปกปิดการถ่ายรูปจากสื่อมวลชน
 

11.การปรับกำลังและระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ของกองทัพบกเข้าประจำ พื้นที่เพื่อต่อต้านการซุ่มยิงของกลุ่ม นปช.ทั้งบนอาคารสูงและพื้นที่สูงข่ม
 

12.การกำหนดพื้นที่อันตรายเป็นฉนวนกั้นกลางระหว่างแนวระยะยิงหวังผลของ หน่วยทหารกับแนวตั้งรับของกลุ่มนปช.เป็นยุทธวิธีประการหนึ่ง โดยมีการประกาศเขตการยิงด้วยกระสุนจริง (Live  Firing Zone)

13.การกำหนดเขตห้ามบิน เป็นแผนยุทธการที่สนับสนุนงานยุทธวิธี ทำให้มั่นใจว่าการรบเหนือน่านฟ้าพื้นที่ราชประสงค์ ฝ่ายเราสามารถครองความได้เปรียบทางอาศัยอยู่
 

14.ยุทธวิธียอมเสียพื้นที่ แล้วถอยกลับมาตั้งรับในพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่า ห่างจากระยะยิงของพลซุ่มยิงกลุ่ม นปช.เห็นได้จากความล้มเหลวในการกระชับวงล้อมในพื้นที่ 14 พฤษภาคม ถือว่าเป็นยุทธวิธีที่ชาญฉลาด ด้วยการไม่บุกตะลุยเข้าสู่คิลลิ่งโซน (Killing Zone)

15.การถอนกำลัง หรือการวางกำลังกระจายตัวมากขึ้นภายหลังค่ำมืด ก็ถือว่าเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการไม่ตกเข้าไปในกับดักที่ เป็นเป้าหมายคุ้มค่า
 

16.การใช้หน่วยรถหุ้มเกราะเมื่อจำเป็นและต้องการผลแตกหักในการสลายการ ชุมนุมเท่านั้น จึงทำให้ไม่ปรากฏการเคลื่อนไหวของยานเกราะก่อนวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553

17.การใข้รถหุ้มเกราะกับพลรบเคลื่อนที่ตามกันนั้นเป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ ได้แปรเปลี่ยนไปเพื่อเป็นการข่มขวัญการ์ด นปช.เพราะลดการสูญเสียพลรบ จากอาวุธ M79 จรวด RPG หรือระเบิดเคโมร์ตามแนวตั้งรับ นปช.

18.การสนธิกำลังอย่างลงตัวของชุดรบที่ประกอบด้วยชุดสไนเปอร์ ขบวนรถหุ้มเกราะพลรบหลังรถหุ้มเกราะขุดผจญเพลิง ขุดกู้ระเบิด (EOD) เป็นที่ประสบความสำเร็จที่น่าสนใจ

19.การกำหนดระยะเวลาการปฏิบัติการที่ส่งผลให้มีเสรีในการปฏิบัติทาง ยุทธวิธีเช่น การเริ่มปฏิบัติในตอนเช้าตรู่ ทำให้มีเวลามากพอสำหรับกำลังในการรุกเข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การรบในเวลากลางคืนทำให้การมองเห็นจำกัด อาจตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังก่อการร้ายที่แอบแฝง และที่สำคัญไม่มียิงฝ่ายเดียวกันหรือยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์

20.การใช้หน่วย ปจว.ทางยุทธวิธี เพื่อทำความเข้าใจก่อนการบุกสลายการชุมนุมถือว่าเป็นหลักสากลประการหนึ่ง
 

21.การใช้หน่วยในพื้นที่วางกำลังส่วนล่างหน้าไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม เพื่อตรึงกำลังป้องกันมิให้มวลชนคนเสื้อแดงยกกำลังเข้าช่วยที่ราชประสงค์ ต่อจากนั้นจึงใช้กำลังหลักเข้าสลายกลุ่มชุมนุม
 

22.การยอมถอนตัวของกำลังทหารออกจากพื้นที่ราชประสงค์ภายหลังถูกโจมตีด้วย M79 ในช่วงตอนเย็นตรงพื้นที่แยกสารสิน ถอยกลับไปยังพื้นที่ปลอดภัยถนนสีลมถือว่าเป็นการตัดสินใจในระดับยุทธวิธีที่ ถูกต้อง เพื่อลดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น
 

23.มีการซักซ้อมแผนและซักซ้อมการปฏิบัติทั้งหมดทั้งในพื้นที่ตั้งหน่วย และที่ร.11 รอ. เป็นการสร้างหลักประกันความมั่นใจสู่ความสำเร็จ และเป็นการลดเกณฑ์เสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง


.................

(ติดตามอ่านตอน3 ตอนจบ)  ข้อเสนอแนะจากบทเรียนทางยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยุทธวิธี

 คลิกอ่านย้อนได้จาก Link ด้านล้างนี้ได้

 เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 1) "มาร์ค"สั่งกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติ"ไม่ใช่"เจรจา"


ตัวจริงเสียงจริง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญโชว์พาว


ตัวจริงเสียงจริง ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญโชว์พาว
บทความจาก RED POWER ฉบับ 15




ส.ส.สุนัย จุลพงศธร (หงอกน้อย) เคยอภิปรายในสภาว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่นายกฯตัวจริง และไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ตัวจริงทำให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เดือดดาลลุกขึ้นประท้วงบีบบังคับให้เอ่ยชื่อตัวจริงเสียงจริงว่าใครคือนายกฯตัวจริง ในขณะนั้นนายสุนัย ก็ใช้ลูกเล่นขึ้นมาบอกชื่อด้วยการเอามือลูบหัวหงอกของตัวเอง เป็นที่รู้กันว่าน่าจะหมายถึง พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แต่จริงหรือไม่ก็ยังไม่มีใครยืนยัน แต่ตลอดระยะเวลา 2 ปี ดูท่าทีการตัดสินใจกล้าๆกลัวๆของนายอภิสิทธิ์ในแต่ละเรื่องขาดเหตุขาดผลความเป็นตัวของตัวเองในฐานะนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งยังไงๆชอบกล ตั้งแต่เรื่องที่นายอภิสิทธิ์กล้าทำทุกอย่างที่ผิดกติกาตามครรลองประชาธิปไตย แม้จะถูกประท้วงทั้งในสภาและนอกสภาอย่างไร นายอภิสิทธิ์ ก็สามารถดำรงฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ นับตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ,แถลงนโยบายตามรัฐธรรมนูญนอกสภา จนถึงสั่งฆ่าประชาชนตาย 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน โดยไม่ดูดำดูดีเลย จนล่าสุดสั่งทหารรบกับเขมร

            ข่าววงในของวงการสื่อค่อนข้างจะไม่เป็นที่สงสัยแล้วว่าตัวจริงเสียงจริงผู้ชักหุ่นหนังตะลุงอภิสิทธิ์จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่ทั้งสื่อเล็กและสื่อใหญ่ก็ไม่มีใครกล้าตีพิมพ์รวมทั้งสื่อ Red Power  ด้วย

            แต่มาถึงวันนี้ความลับก็ไม่เป็นความลับ ความกลัวก็กลายเป็นความกล้าด้วยนักข่าวสายทหารวาสนา นาน่วม ได้นำบทบาทของผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญๆในอดีตถึงปัจจุบันจนบ้านเมืองปั่นป่วนมา 5 ปีเศษ ออกมาเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาในหนังสือลับลวงพรางฉบับศึกพระวิหาร อ่านถึงบทที่ 23 ก็จะร้องว่าถึงบางอ้อจริงๆ เพราะในหนังสือนี้ระบุว่า            นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  จะเข้าพบพลเอกเปรมอยู่เสมอ และที่นายอภิสิทธิ์กล้าหาญ Show Power ถึงขนาดสั่งให้ทหารออกรบในรูปซ้อมรบในเขตชายแดนติดเขมรก็เพราะป๋าสั่ง เพราะป๋าจะสนใจเรื่องเขมรเป็นพิเศษ และวันหนึ่ง ณ ที่บ้านสี่เสาที่นายกฯอภิสิทธิ์และขุนทหารไปชุมนุมอวยพรปีใหม่ป๋า ป๋าก็โชว์พาวสั่งให้ลูกป๋าไปดำเนินการล่อกับเขมรทั้งในอดีตและปัจจุบัน

วาสนา นาน่วม ในหน้า 131 บันทึกไว้ดังนี้

อีกทั้งในห้องนั้น ทั้งผู้นำทหารและนายอภิสิทธิ์ ที่แยกวงกันพบป๋าเปรม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อขอพรปีใหม่นั้น มีการถกปัญหาไทยกับเขมรเช่นกัน

เขมรเขาไม่ให้เกียรติไม่เกรงใจเราเลยนะคำแนะนำสั้นๆของพลเอกเปรม นายทหารม้า อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ทำงานชายแดนมาก่อน

พลเอกเปรม นั้นห่วงใยและติดตามปัญหาปราสาทพระวิหารมาตลอด ตั้งแต่เขมรเสนอให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ตั้งแต่ 8 ก.ค. 2551 จนถึงเมื่อ 7 คนไทยถูกจับที่ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. เร่งเข้าพบ พล.อ.เปรม เพื่อรายงานสถานการณ์ทันที

ปีใหม่ 2554 นั้น พล.อ.เปรม จึงให้พรปีใหม่ให้ทหารทำหน้าที่ในการรักษาอธิปไตยอย่างอดทน เข้มแข็ง และเฉลียวฉลาด

พล.อ.เปรม นั้นให้ความสำคัญและสนใจปัญหาไทย เขมร มานาน โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหารและพื้นที่ปัญหาทับซ้อนถึงขั้นที่เคยให้บิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส.ลูกป๋า และประธานมูลนิธิรักเมืองไทย นำ จดหมายน้อยเรื่องเขมรไปให้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์เมื่อกลางปีที่แล้วมาแล้ว แถมทุกครั้งที่นายอภิสิทธิ์เข้าพบ พล.อ.เปรม ก็คุยเรื่องเขมรและประสาทพระวิหารแทบทุกครั้ง

ในที่สุด นายอภิสิทธิ์ก็ไฟเขียวให้กองทัพไทยออกแอ็คชั่นโชว์กล้าม ด้วยการให้เคลื่อนทัพไปทำการซ้อมรบในพื้นที่ชายแดน ที่ อ.กันทรลักษณ์            จ.ศรีสะเกษ โดยเป็นการฝึกแผนป้องกันประเทศด้านชายแดนตะวันออก ที่ใช้ชื่อ แผนกษัตริย์ศึก และ แผนจักรพงษ์ภูวนารถ

อ่านจบถึงตรงนี้ใครรู้แล้วก็จะหนาวว่าทำไมนายกษิต  ภิรมณ์ ปากมอมอย่างไร ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างไร ก็อยู่เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไปได้ โดยไม่ต้องสนใจความเห็นของสภาจนเกิดเหตุรบพุ่งกัน และแน่นอนหากประชาธิปัตย์ชนะ นายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกฯ อีกก็ได้นายกษิต เป็นรมว.ต่างประเทศอีก ไทยกับเขมรก็ทะเลาะกันต่อไปอีก และหากหันมามองการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรบ้าง แม้พันธมิตรชุมนุมด้วยคนหยิบมือเดียวที่สะพานมัฆวานเริ่มต้นจากเรียกร้องเขาพระวิหารคืนจนถึงเสนอให้ยึดอำนาจแล้วปิดประเทศ 5 ปี ก็ไม่มีใครกล้าหือ แล้วต่อมาก็เสนอแผนต่อต้านการเลือกตั้ง No Vote โดย ก.ก.ต.ไม่กล้าเอาผิด.................อยู่เมืองไทยรู้แล้วก็เฉยไว้ ณ สื่อใหญ่ทั้งหลาย ประชาชนจะได้โง่ต่อไป


เสียแรงที่รัก เสียแรงที่หลง แก้วหน้า (ม้า) ตัวเมีย

เสียแรงที่รัก เสียแรงที่หลง แก้วหน้า (ม้า) ตัวเมีย
บทความจาก RED POWER ฉบับ 15



            แก้วสรร(หน้าม้า) แสดงบทบาทในช่วงหาเสียงโค้งเลือกตั้งสุดท้าย ถูกตาต้องใจแฟนคลับชนิดไม่รู้ลืม ถึงขนาดดนัย เอกมหาสวัสดิ์ นักจัดรายการชื่อดังที่ไม่แดงไม่เหลือง  แฟนพันธ์แท้ออกปากสิ้นศรัทธาในพฤติกรรมแก้วสรร  อติโพธิ ที่เคยพูดว่า การออกมาเล่นงานยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ในขณะหาเสียงเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่วิสัยของนักเลงที่จะทำกัน ด้วยสำนวนว่า หน้าข้าว หน้าเหล้า วิสัยนักเลงไม่ทำกัน ข่าวสะพัดออกไปเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม แต่อยู่ๆต้นเดือนมิถุนายนก็ดันออกมาจับมือกับหมอตุลย์ แกนนำเสื้อหลากสี ณ ประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือเล่นงานยิ่งลักษณ์ อย่างเอาตาย โดยยื่นผ่านสมาชิกวุฒิสภา แต่พอรูปภาพออกมาทั้ง ส.ว. ที่มารับหนังสือก็เป็น ส.ว.สายพันธมิตรและบรรดามวลชนที่ยืนล้อมรอบเห็นหน้าก็รู้ว่าใครเป็นสายคุณหญิงคุณนายผู้ใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ ถึงขนาดครวญเพลงในรายการโทรทัศน์เจาะลึกทั่วไทย เมื่อ 8 มิถุนายน 2554 เสียแรงรักใคร่ เสียแรงปักใจจริง........กับแก้วสรร  อติโพธิ ว่าทำไมกลับคำในเรื่องหลักการเช่นนี้

            ข่าวภายในสืบเสาะมาแล้วว่า พฤติกรรมของแก้วสรรมีต้นทุนติด     กัณฑ์เทศน์จากพรรคประชาธิปัตย์ และคำขอร้องของผู้ใหญ่ บอกต่อๆมาให้ดำเนินการ ผู้ใหญ่ผู้นั้นเป็นใคร ขอให้อดใจรอ

            พฤติกรรมของแก้วสรร เช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้แฟนคลับหลายคนผิดหวัง และยิ่งกระทำกับผู้หญิงตัวเล็กๆที่อาสาจะเข้ามาแก้ปัญหา ทำให้หลายคนขนานนามแก้วสรรใหม่ว่า แก้วหน้า(ม้า)ตัวเมีย

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เอกสารลับ ยุทธการกระชับวงล้อม 14-19 พ.ค.53 ( ตอน 1) "มาร์ค"สั่งกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติ"ไม่ใช่"เจรจา"

บทความชิ้นนี้ตีพิมพ์ใน วารสารเสนาธิปัตย์ กรมยุทธศึกษาทหารบก ปีที่ 59 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2553  เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ”เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทาง ทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” จากความริเริ่มของพล.ท.สิงห์ศึก  สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่

ผู้เขียนใช้นามแฝงว่า”หัวหน้าควง”เป็นจปร.32 (เหล่าทหารราบ) เป็นนายทหารปฏิบัติการประจำกรมยุทธศึกษาทหารบก

เนื้อหาในบทความนี้เป็นมุมมองของนายทหารที่ปฏิบัติการณ์สลายการชุมนุมของ”คนเสื้อแดง”ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553  ที่สรุปบทเรียนจาก”ความสำเร็จ”ในการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

มีเนื้อหาหลายช่วงตอนที่น่าสนใจ เช่น

1.ใน ขณะที่”สุเทพ เทือกสุบรรณ”รองนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ยืนยันว่านายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ไม่ได้ร่วมสั่งการในการสลายการชุมนุม โดยนายสุเทพประกาศว่าเขาเป็นคนสั่งการเอง
 
“ผมเรียนกับพี่น้องครับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ได้ร่วมสั่งการใด ๆ ทั้งสิ้น ผมเป็นผู้อำนวยการ ศอฉ. ผมเป็นคนสั่งการทุกอย่าง แล้วผมรับผิดชอบ เขากล่าวหาว่า ทำให้คนตาย ผมไปมอบตัวแล้ว ผมเรียนกับพี่น้องครับ ผมพร้อมที่จะสู้คดีพิสูจน์ความถูก ความต้อง ผมไม่หนีไปต่างประเทศเหมือนทักษิณ”

แต่ในบทความชิ้นนี้ ระบุชัดว่า”นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ. ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่วางไว้”
 
นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่านโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่มนปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อมเพื่อ"ยุติการชุมนุม"ไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อ"เปิดการเจรจา" 


และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้อเสนอเป็นตัวกลางในการเจรจาของ"วุฒิสมาชิก"ในคืนวันที่18 พฤษภาคมถูกปฏิเสธ 

ยุทธการกระชับวงล้อมแบ่งเป็น 3 ช่วง คือ 1. ช่วง 14 พฤษภาคม 2.ช่วง 15-18 พฤษภาคม และ  3 ช่วงวันที่ 19 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุม 13.20 น.

2.”หัวหน้าควง”สรุปว่า เหตุผลหนึ่งที่ประสบชัยชนะในการกระชับวงล้อมมาจากการถอนตัวของนายวีระมุสิก พงศ์ ประธานกลุ่มนปช. และการเสียชีวิตของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง  เพราะทำให้นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมืองและไม่มีหัวเสธ.ระดับ ยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรับก่อนหน้านี้นายสุเทพ ปราศรัยว่าเขาสงสัยว่าพวกของนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นฝ่ายยิงเสธ.แดง

3.เอกสารชุดนี้บอกชัดเจนถึงแผนยุทธการทั้งหมด และหน่วยทหารที่ใช้ในครั้งนี้  มีการยอมรับในเอกสารถึงการใช้”หน่วยสไนเปอร์” เป็นหน่วยแรกในการเข้าสลาย  โดยยึดพื้นที่สูงคืออาคารเคี่ยนหงวน และอาคารบางกอกเคเบิ้ล และมี หลายช่วงตอนที่พุดถึง”หน่วยสไนเปอร์” ที่ระดมพลแม่นปืนเท่าที่มีอยู่ในกองทัพบกเข้าประจำพื้นที่ เพื่อต่อต้านการซุ่มยิงของกลุ่มนปช.ทั้งบนอาคารสูงและพื้นที่สูงข่ม

4.มี การพูดถึงการสั่งการให้ใช้”กระสุนจริง”และระบุว่า”แผนยุทธการครั้งนี้เป็น การวางแผนการปฏิบัติรบเต็มรูปแบบ เหมือนการทำสงครามรบในเมือง  ใช้กำลังขนาดใหญ่ถึง 3 กองพล”และ”ยิ่งมีการสั่งการให้ใช้กระสุนจริงกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายผู้ถือ อาวุธและเพื่อป้องกันตัวเองได้ ทำให้ทหารที่สูญเสียความเชื่อมั่นจากเหตุการณ์ 10 เมษายน มีจิตใจรุกรบมากขึ้น”

และ”ปรับการยิงกระสุนยางจากปืนลูกซองเป็นการใช้กระสุนจริงจากอาวุธประจำกาย”

5.จาก หน่วยข่าวศอฉ.เชื่อว่ามีผู้ก่อการร้ายที่แอบแฝงในกลุ่มนปช.เป็นกองกำลังติด อาวุธประมาณ 500 คน มีอาวุธซุ่มยิง อาวุธสงคราม เช่น M 79  M16  AK 47 และ Travo-21

6.ในส่วนของ”ข้อเสนอแนะทางยุทธวิธี” มีข้อหนึ่งที่ระบุว่า “ผู้บังคับบัญชาหน่วยระดับยุทธวิธีควรปฏิบัติภายใต้การรักษาชีวิตของประชาชน ผู้บริสุทธ์เป็นที่สำคัญที่สุด และต้องควบคุมการลั่นไกกระสุนจริงโดยมีสติ และมีเจตนารมณ์  อย่าให้กำลังพลปฏิบัติด้วยความโมโห หรือการแก้แค้นเป็นอันขาด”

และ”ควรมีการศึกษาค้นหาตัวแบบที่เหมาะ สมในการกำหนดพื้นที่ที่ใช้กระสุนจริง เพราะปัจจุบันยังไม่ทราบว่ามีประเทศใด ในระดับนานาชาติที่ได้นำมาปฏิบัติในการสลายการชุมนุมที่ได้รับการยอมรับ”

 และนี่คือรายละเอียดของบทความชิ้นนี้โดย"มติชนออนไลนื"แบ่งเนื้อหาดังกล่าวเป็น2 ตอน

.......................................................................


บทเรียนยุทธการกระชับวงล้อม  พื้นที่ราชประสงค์ 14-19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553  ( ตอน 1 )


ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือคณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ

กล่าวนำ
สืบ เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อ ต้านเผด็จการแห่งชาติแดงทั้งแผ่นดิน (นปช.) กับรัฐบาล โดยกลุ่ม นปช.ได้มีการชุมนุมเกินขอบเขตของกฎหมายอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ 12 มีนาคม จนถึง 18 พฤษภาคม 2553 และกลุ่ม นปช.ได้เคลื่อนย้ายมวลชนมาปักหลักตั้งเวทีปราศรัยถาวรที่บริเวณพื้นที่สี่ แยกราชประสงค์สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในกรุงเทพฯส่งผลกระทบต่อ เสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล และได้สร้างผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏ มาก่อน


รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.เพื่อการแก้ไขปัญหาการชุมนุมของกลุ่ม นปช.   ตามพระราชบัญญัติการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยมีกองทัพบกเป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหา และกองทัพบกได้นำ  กำลังพลเข้าแก้ไขปัญหาในเหตุการณ์สำคัญ ๆ 3 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ 10 เมษายน พื้นที่สี่แยกคอกวัว เหตุการณ์การรักษาพื้นที่สีลม เหตุการณ์

สลายการเคลื่อนไหวกลุ่ม นปช. พื้นที่อนุสรณ์สถาน ดอนเมือง



บท ความฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ "เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทางทหาร : กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง" ตามดำริของเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่

เมื่อรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการกระชับวงล้อมพื้นที่ชุมนุมราชประสงค์ศอฉ. ผ่านการสั่งการมายังกองทัพบกก็ได้จัดกำลังเปิด

ยุทธการกระชับวงล้อม โดยแบ่งการปฏิบัติออกเป็น 3 ห้วงเวลา กล่าวคือ ห้วงแรก เป็นการกระชับวงล้อมขั้นต้น ในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553   ห้วงที่ 2 เป็นการถอยร่นเพื่อสถาปนาแนวตั้งรับเร่งด่วนในวันที่ 15-18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และห้วงสุดท้ายการกระทบวงล้อมขั้นสุดท้ายในวันที่ 19  พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 03.00 น. จนกระทั่งแกนนำประกาศยุติการชุมนุมบนเวทีราชประสงค์ เมื่อเวลา 13.20 น.

 บทความนี้จะได้นำเสนอบทเรียนแบบความสำเร็จของยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ในระดับยุทธ์ศาสตร์ยุทธการ และยุทธวิธี

พร้อมด้วยข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล ศอฉ. กองทัพบก และหน่วยปฏิบัติระดับยุทธวิธีเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป

ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ : การกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

การ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี   ภายหลังทหารประสบความสำเร็จในการปฏิบัติการ "ยุทธการกระชับวงล้อม" ในเวลา 10 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงความพอใจผลงานยุติม็อบว่า "...เป้าหมายของ ศอฉ.เพื่อกระทบวงล้อม เพื่อให้เกิดการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด

เรายึดหลักสากล ทำให้เกิดความพอใจ..." คำพูดไม่กี่คำของนายกรัฐมนตรีภายใต้สถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ ทำให้ทหารและกองทัพที่เป็นหมัดสุดท้าย  ซึ่งเป็นกลไกบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลที่มีอยู่รู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นถึง ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของยุทธการครั้งนี้


ความสำเร็จในยุทธศาสตร์ทางทหารยุทธการกระชับวงล้อม เมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 เป็นผลจากความชัดเจนทางการเมืองสำคัญ   ได้แก่

 1.นโยบาย รัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อม เพื่อการยุติ  การชุมนุมไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อเปิดการเจรจา ดังนั้นถ้าการเดินทางยุทธศาสตร์ทหารนั้น ถ้าเป้าหมายทางการเมือง (Political will) ชัดเจน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการทหารก็ไม่ยากและเมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการ ในที่ประชุม ศอฉ.ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่ได้วางไว้
2.สำหรับ สัญญาณทางการเมืองที่ส่งไปยังสังคมได้ส่งผลของจิตวิทยาระดับยุทธศาสตร์คือ การใช้ภาษาคำว่า "การกระชับวงล้อม" ไม่ใช่ "การสลายม็อบ" คือ "การปราบม็อบ" หรือ "การปิดล้อม" จากภาษาที่สื่อดังกล่าวสังคมรับได้ และรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งคาดหวังว่าเหตุการณ์จะสงบโดยเร็ว และอาจมีการสูญเสียชีวิตประชาชนบ้าง แต่ไม่มากมายเหมือนเช่นในอดีต

3.มาตรการตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดโทรศัพท์ ตัดระบบการส่งกำลังบำรุง และการตัดการเติมคนเสื้อแดงเข้าไปในราชประสงค์เป็นมาตรการระดับยุทธศาสตร์ ที่รัฐบาลภายใต้การอำนวยการของ ศอฉ.ได้สร้างแรงกดดันให้ม็อบราชประสงค์ ถูกบีบกระชับวงล้อมทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ได้ส่งผลข้างเคียงต่อชุมนุมผู้อาศัยโดยรอบพื้นที่การ ชุมนุม ถ้าปล่อยไว้นาน อาจส่งผลทำให้เกิดกระแสตีกลับ มาขับไล่รัฐบาลได้

4.ความ มีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ แม้ว่าจะมีกระแสข่าวความไม่ลงรอยกันบ้างในการแก้ปัญหาเนื่องจากการใช้กำลัง ทหารขอคืนพื้นที่ เพราะบทเรียนวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัวจะตามมาหลอกหลอนผู้นำกองทัพอยู่เสมอ ๆ แต่เมื่อได้ประเมินทางยุทธศาสตร์เพื่อมีความคุ้มค่าและมองเห็นความสำเร็จรับ บาลกับกองทัพก็หันมาร่วมมือกันเปิดยุทธการครั้งนี้อย่างมั่นใจรวมไปถึงความ ร่วมมือของทุกกองกำลัง

ของทุกเหล่าทัพ ก็เป็นการแสดงถึงความมีเอกภาพ

5.ปัจจัยเวลาใน กรอบการปฏิบัติงานก็เป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากความล้มเหลวในการรุกเข้าขอคืน พื้นที่ใน14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ทำให้หน่วยทหารทั้งในส่วนพื้นที่ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ และถนนราชปรารภ (สามแยกดินแดง) ต้องตรึงกำลังให้อยู่กับที่ หรือแทบจะเรียกได้ว่าถอยร่นออกมาจากระยะยิงของสไนเปอร์จากการ์ด นปช. แต่เมื่อรัฐบาลเข้าใจว่าต้องให้เสรีในการปฏิบัติเรื่องเวลา รัฐบาลจึงมีมติผ่าน ครม. ประกาศให้พื้นที่ กรุงเทพมหานคร หยุดราชการเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง 17-18 พฤษภาคม และ 19-21 พฤาภาคม ทำให้ทหารไม่มีแรงกดดันเรื่องเวลาเหมือนเช่นเหตุการณ์  10 เมษายนที่ผ่านมา

6.ประสิทธิภาพ ของการทำงานปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) ได้ผลทางยุทธศาสตร์ ทั้งในส่วนของกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านโทรทัศน์ NBT และการแถลงข่าวของ ศอฉ.โดยโฆษกของ ศอฉ. สามารถตอบโต้กลุ่ม นปช.และตอบข้อสงสัยของสังคม ผู้ชุมนุม ผู้ได้รับการ เดือดร้อนรอบพื้นที่ชุมนุม ประชาชนในส่วนที่เหลือของประเทศ ยกเว้นพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือที่มีมวลชนเป็นสีแดงเข้มก็ไม่ได้ผล รวมทั้งการสื่อสารกับนานาชาติในระดับโลก ก็ถือว่าได้ผลระดับหนึ่ง ผ่านทางรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ

7.การปรากฏตัวทางยุทธศาสตร์ ศอฉ. ได้ใช้ประโยชน์จากการที่สามารถควบคุมสื่อสารโทรทัศน์ในเวลาแถลงข่าวของผู้นำ ทหารในการ แก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นรองเสนาธิการทหารบก ผช.เสธ.ฝยก. แม่ทัพภาคที่ 1 และ ผบ.พลหน่วยปฏิบัติ ทำให้กำลังพลมีความเชื่อมั่น การปฏิบัติการยุทธการกระชับวงล้อม มีการวางกำลังทางทหารและมีผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นรับผิดชอบอย่างชัดเจน สังคมและประชาชนก็มั่นใจว่า น่าจะมีความสำเร็จสูง

8.การชี้แจงทำ ความเข้าใจของการใช้อาวุธ ตามหลักสากล มีกฎการใช้กำลัง การยิงกระสุนจริง การใช้หน่วยสไนเปอร์ ก็ถือว่ากระทำได้อย่างทันท่วงที เพื่อตอบโต้กับภาพข่าวทั้งในและต่างประเทศ เพราะถ้าไม่มีการแก้ข่าวทุกวัน ข่าวความห่วงใยเหล่านี้ได้ไต่ระดับเลขาธิการสหประชาชาติ เลขาธิการอาเซียน ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากของปัญหามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลไม่สามารถรับมือกับต่างประเทศได้

9.การควบคุมการ ติดต่อสื่อสารทุกระบบ ก็ถือว่าเป็นงานระดับยุทธศาสตร์ที่สำคัย เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสั่งปิดเว็บไซต์ เฟซบุ๊ค และทวิสเตอร์ของเครือข่ายอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาดลง

10.การทำงานที่สอดคล้องกันระหว่าง มาตรการตัดน้ำตัดไฟ กับมาตรการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในเรื่องการประกาศงดทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ต้องสงสัยที่ต่อท่อน้ำเลี้ยง ให้กับกลุ่ม นปช. คือการตัดแหล่งทุนสำคัญของการเคลื่อนไหวลงได้ระดับหนึ่ง

11.การ นำคดีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงกับคดีการก่อการร้ายมาเป็นคดีของกรมสอบสวน คดีพิเศษเป็นผลให้การทำคดีมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดความเข้มข้นในการสืบสวนสอบสวน ตามกระบวนยุติธรรมและมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากถึง 11 หน่วยงาน มาช่วยกันทำคดีการก่อการร้าย ก็ถือว่าเป็นการสร้างความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายอย่างมาก

12.จุด อ่อนทางยุทธศาสตร์ของกลุ่ม นปช.ที่กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาล คือ การถอนตัวของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช. และการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้มีความเชี่ยวชาญทางทหารที่มีส่วนดูแลและวางแผนการรักษาความปลอดภัยของ การ์ด นปช. ถือว่าเป็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ เพราะกลุ่ม นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ และไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรัฐ ในกรณีที่ทหารจะเข้าสลายม็อบ นปช.


สรุปได้ว่า ความสำเร็จทางยุทธการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์ครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ทางการเมือง ตั้งแต่ระดับนโยบาย คือ คณะรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ความมีเอกภาพของรัฐบาลกับกองทัพ การที่ทหารสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ชัดเจนได้ก็เนื่องจากการเมืองของ รัฐบาลที่ชัดเจน และที่สำคัญดังที่ซุนวูกล่าวไว้ว่า "ชัยชนะย่อมเกิดจากฝ่ายตรงข้ามหรือข้าศึกตกอยู่ในสถานการณ์พ่ายแพ้เอง"นั่น คือสภาพการแตกแยกทางความคิดของกลุ่มแกนนำหลัก และการสูญเสียมือวางแผนระดับเสนาธิการ ทำให้สถานการณ์ของกลุ่ม นปช.เริ่มเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์มาตามลำดับ



แผนยุทธการและหน่วยรับผิดชอบการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์

 แผนยุทธการสลายม็อบราชประสงค์ถูกกำหนดดีเดย์ไว้ตั้งแต่ตี3 ครึ่งวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 หน่วยแรกที่เข้าปฏิบัติการคือ หน่วยสไนเปอร์ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มของตึกบนถนนวิทยุ (อาคารเคี่ยนหงวน) และสะพานแยกสารสิน(อาคารบางกอกเคเบิล)โดยที่อาคารสูงบนถนนวิทยุถูกยึดได้ก่อนตี 5 ครึ่ง ส่วนตึกสูงด้านถนนสารสินยังเข้าไม่ได้


หลังจากนั้นทหารจาก พล.ม.2 รอ.ได้แยกกำลังรุกเข้าไป 3 ทิศทาง ตามเส้นทางถนนวิทยุ ถนนสีล้ม และถนนสุรวงศ์ มีการเคลื่อนรถหุ้มเกราะปฏิบัติพร้อมทหารเดินเท้าอาวุธเต็มอัตราศึกเป็นรูป ขบวนการรบที่คุ้นตาสำหรับการปฏิบัติการของยานยนต์รบกับหน่วยของการยุทธรบใน เมือง


แต่กว่าที่ภาพรถหุ้มเกาะจะค่อยๆ บดทับและพังทลายป้อมค่ายป้องกันของ นปช. ที่ศาลาแดงได้นั้น ได้มีการวางแผนปรับแผนส่วนหน้ามาแล้วเป็นเดือนโดยใช้บทเรียน 10 เมษายน เป็นสมมติฐาน ดังนั้นแผนยุทธการครั้งนี้จึงมีการวางแผนอย่างรัดกุมและตั้งอยู่บนสถานการณ์ ที่เป็นไปได้มากที่สุด และจะเห็นได้ว่ายุทธการครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทหารและ ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่กล่าวมาแล้วข้างต้น



ขั้นการปฏิบัติยุทธการกระชับวงล้อม

 จากการประมวลภาพการแถลงข่าวของศอฉ. และภาพข่าวของสื่อมวลชน แผนยุทธการน่าจะประกอบด้วยขั้นการปฏิบัติ 4 ขั้นตอน ได้แก่


1.ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นต้น เพื่อทดสอบกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ขั้นต้น ใช้เวลา 1 วัน (14 พฤษภาคม)


2.ขั้นการวางกำลังตรึงพื้นที่รอบนอก เพื่อป้องกันการเติมคนของกลุ่ม นปช. อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับหลังหันรบ 180 องศา มาตั้งรับใย 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ บ่อนไก่ ถนนราชปรารภ และสามย่าน ขั้นนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูวสุด ควบคุมสถานการณ์ให้นิ่งให้ได้ รอฟังคำสั่งต่อไปใช้เวลา 4 วัน (15-18 พฤษภาคม)

3. ขั้นการสลายม้อบภายหลังจากปฏิบัติการในขั้นที่ 2 ที่ต้องใช้เวลา 4 วัน เพื่อเช็คข่าวการวางกำลังและอาวุธสงครามในพื้นที่สวนลุมพินี การวางกำลังหลังแนวด่านตรวจ นปช.โดยรอบพื้นที่ราชประสงค์ การเช็คที่ดั้งจุดใช้อาวุธ M 79  การตรวจสอบกองกำลังกลุ่มอ่กการร้ายจำนวน 500 คนว่าวางกำลังพื้นที่ใด เมื่อทุกหน่วยเข้าที่พร้อม การปฏิบัติการก็เริ่มต้นในเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม โดยให้เสร็จสิ้นภารกิจภายใน 1,800 ของวันเดียวกัน

 4. ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นสุดท้าย เพื่อตรวจสอบค้นหาหลักฐาน อาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ.2553 สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ในวันบุกสลายการชุมนุมในขั้นที่ตอนที่ 3 เพราะกลุ่ม นปช.ได้วางเต้นท์และที่พักเป็นจำนวนมาก และตั้งแต่บ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม มวลชนเสื้อแดงได้ก่อการจลาจลในพื้นที่ราชประสงคืและทั่วกรุงเทพฯ



หน่วยรับผิดชอบวางกำลังยุทธการกระชัยวงล้อม

เป็นการปฏิบัติการร่วม3 เหล่าท้พคือ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ โดยกำลังหลักที่ใช้ปฏิบัติการเป็นกำลังของกองทัพบก จำนวน 3 กองพล ได้แก่


กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.1รอ.) ใช้กำลัง 3 กรม หลักคือ ร.1 รอ. ร.11 รอ.และ ร.31 รอ.ให้ ร.1 รอ กับ ร.11 รอ. วางกำลังพื้นที่ดินแปลง พญาไทราชปรารภ ร.31 รอ.เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว พร้อมปฏิบัติการพิเศษ  กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ถนนวิทยุ บ่อนไก่ ศาลาแดง ลุมพินี สามย่านกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่อโศก เพลินจิต ชิดลม


นอกจากนี้ยังมีกองกำลังพร้อมสนับสนุน คือ พล.ร.2 รอ.กำลังของหน่วยอากาศโยธิน (อย.) ของกองทัพอากาศสแตนด์บายพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมง และมีหน่วยปฏิบัติการทางอากาศพร้อมขึ้นบินเหนือพื้นที่ราชประสงค์ ขณะที่กองทัพเรือรับภารกิตจพิเศาอารักขาสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณโรงพยาบาลศิริราชง


ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจของกองทัพจะมีสัญญาณบอกฝ่าย เป็นสัญลักษณ์แถบสี ติดหัวไหล่ แขนขวา โดยจะมีการเปลี่ยนสีทุกวัน แต่เมื่อการปฏิบัติภารกิจเต็มขั้นในวันที่ 19 พฤษภาคม กำลังทุกหน่วยจะใช้แถบสีชมพูเป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ติดไว้บริเวณหลังหมวกเหล็กทุกนาย