จาก facebook Sunai Chulpongsatorn
(สรุปการตระเวนยุโรปของ ส.ส.สุนัย จุลพงศธร 2-27 ธันวาคม 2554)
รายงานโดย ส.ส.ดร.สุนัย จุลพงศธร ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศสภาผู้แทนราษฎร
การตระเวนยุโรปของกระผมตามโครงการ ”จากใจถึงใจเพื่อไทยในยุโรป” และการเข้าพบประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้ให้ความรู้และความเชื่อมั่นแก่กระผมว่า “ทำไมคนไทยในต่างประเทศจึงเกิดภาวะตาสว่างและจะเป็นพลังที่มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยที่มิอาจมองข้ามได้” และเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติรวมตลอดถึงการนำปัญหาที่คนไทยต้องประสบจากการขอรับบริการจากสถานฑูตไทยในยุโรปแจ้งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปแก้ไข ซึ่งกระผมจะขอนำเสนอสู่สาธารณะเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คนไทยในยุโรปและคนไทยในอีกหลายทวีปรวมทั้งองค์กรแดงต่างๆในประเทศไทยที่ควรจะให้ความสำคัญและประสานพลังทำความเข้าใจร่วมกัน โดยข้อมูลเก็บจากการพบปะกับประชาชนมากกว่า 10 เมืองซึ่งเป็นการตระเวณพบประชาชนในต่างประเทศในฐานะสส.และในฐานะประธานกรรมธิการการต่างประเทศอย่างเปิดกว้างและมากเมืองที่สุดเป็นคนแรก ดังนี้
เริ่มต้นประชุมกับคนไทยและเอกอัครราชทูตไทยในปารีสเมื่อวันที่ 4 ธค.54 แล้ว เดินทางต่อไปด้วยรถยนตร์เข้าสู่เมืองนอยช์วีด เยอรมัน , มุ่งสู่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เพื่อเยี่ยมคาราวะประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ แล้วตีรถกลับมาประชุมประชาชนที่ เมืองฮัมบูร์ก และ กรุงเบอร์ลิน เยอรมัน,แล้วนั่งเครื่องบินไปกรุงโคเปนเฮเกน เดนมาร์ค ประชุมประชาชนที่กรุงโคเปนเฮเกน และที่เมืองสเลเซอร์ ประเทศเดนมาร์ก แล้วบินต่อไป ประเทศนอร์เวย์ ประชุมรับฟังความเห็นประชาชนที่เมือง บาลเก่น และเมืองทอร์นไฮม และที่กรุงออสโล จากนั้นบินเข้า เบลเยี่ยม ประชุมรับฟังความเห็นประชาชนที่เมือง ลูแบ กรุงลินอยู่ชายแดนเบลเยี่ยม ปิดท้ายฉลองคริสต์มาสที่หอไอเฟล ฝรั่งเศส
ทำไมคนไทยต่างประเทศจึงเกิดภาวะตาสว่าง
ได้พบความจริงว่าคนไทยในต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นอดีตคนยากจนและไร้โอกาสทางการศึกษาและความเจริญก้าวหน้าในสังคมไทยโดยเฉพาะผู้หญิงชนบทที่ถูกกดขี่ทางเพศและถูกดูถูกเหยียดหยามในสังคมไทย ซึ่งทันทีที่เธอสามารถเดินทางไปทำงานในประเทศยุโรปโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียที่มีความเจริญก้าวหน้าของระบบรัฐสวัสดิการหรือไปแต่งงานกับคนในชนชาติเหล่านั้น(ซึ่งเป็นปประเทศที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมกันระหว่างเชื้อชาติ) สิ่งแรกที่คนไทยและผู้หญิงไทยจะได้รับคือรัฐจะจ่ายเงินจ้างให้ไปเรียนหนังสือคือได้ทั้งเงินที่ใช้กินและเรียนฟรีเริ่มต้นเรียนภาษาของเขาก่อนและหากเรียนต่อได้ก็จะให้เงินจ้างให้ไปเรียนต่อในสิ่งที่ตนถนัด (ในขณะที่อยู่ในประเทศไทยไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ) ต่อมาเมื่อทำงานแล้วเกิดคลอดบุตรรัฐบาลก็จะดูแลจ่ายเงินค่าเลี้ยงบุตรรวมไปถึงแม้แต่ค่าซื้อผ้าอ้อม(แพมเพิส)ให้ด้วย และสำหรับผู้หญิงที่ไม่มีอาชีพเมื่อสามีตายรัฐก็ยังจ่ายเบี้ยบำนาญเลี้ยงดูต่อจนตัวตาย ในขณะที่เมืองไทยมีแต่คนที่อยู่ในระบบราชการเท่านั้นที่จะได้รับบำนาญเมื่อแก่เช่นตำรวจทหารและเมื่อตาย เมียก็จะไม่มีใครดูแลส่วนในยุโรปนั้นประชาชนชนชาติของเขาได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนทำราชการ สรุปโดยรวมแล้วคนไทยที่มาอยู่ในยุโรปได้พบเห็นระบบสังคมที่ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และทางการเมือง ที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ที่มาร่วมอยู่ในสังคมของเขาโดยไม่เหยียดเชื้อชาติภูมิหลังแห่งชาติกำเนิด และความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ และแน่นอนที่สุดทหารในบ้านของเขาไม่เคยออกมาตำหนิติเตียนรัฐบาลและไม่คิดที่จะปฏิวัติยึดอำนาจใช้อำนาจบังคับสื่อโฆษณาชวนเชื่อโกหกประชาชนเพียงเพื่อการยึดอำนาจและแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองโดยมิชอบ ทำให้ระบบการเมืองของเขามั่นคงและพัฒนาเศรฐกิจได้อย่างต่อเนื่องจนสามมารถมีงบประมาณมากพอที่จะสร้างความสุขให้ประชาชนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียมกันได้ และด้วยสภาพการณ์เช่นนี้เมื่อพวกเขามองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยก็เห็นมีแต่การปฏิวัติยึดอำนาจไม่หยุดหย่อน และมักจะโฆษณาโกหกหลอกลวงประชาชนอยู่เสมอว่า มีชีวิตอยู่อย่างไทยๆนี้ดีแล้วเพราะเป็นสังคมที่เน้นทางคุณธรรม ไม่เน้นการเจริญเติบโตทางวัตถุ เพราะประเทศที่เน้นแต่การเจริญเติบโตทางวัตถุความเจริญทางจิตใจจะต่ำซึ่งเป็นการโกหกหลอกลวงที่ชัดมากในสายตาของคนไทยในต่างประเทศ และยิ่งเมื่อเห็นนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เปิดโอกาสให้แก่คนยากจนที่เป็นคนชนชั้นเดียวกับเขาโดยมีโอกาสเรียนฟรี รักษาฟรี มีกองทุนหมู่บ้านช่วยเหลือคนยากจน
ซึ่งมีลักษณะคล้ายรัฐสวัสดิการที่เป็นการเริ่มต้นถึงแม่ว่าจะมิอาจเทียบเท่ากับของกลุ่มประเทศยุโรปได้ ซึ่งเพียงเท่านี้ฝ่ายทหารก็กลับนำมากล่าวอ้างว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่เลวร้ายจนเป็นสาเหตุหนึ่งในการยึดอำนาจ จึงกลายเป็นเรื่องตลกทำให้คนไทยในยุโรปเริ่มตั้งข้อสงสัยมากขึ้นและต่อมาเมื่อมีการฆ่าประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยตายกลางกรุงเทพมหานครที่ถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมออกไปทั่วโลกเห็นภาพทหารยิงประชาชนสดๆ 92 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน โดยไม่มีการสอบสวนดำเนินคดีแล้วและยังกล่าวใส่ร้ายอีกว่าคนเสื้อแดงยิงกันเองหรือว่าผู้ก่อการร้ายเป็นผู้ยิง รวมตลอดทั้งที่ออกมาโกหกคือนายทหารชั้นผู้ใหญ่เอง
ซึ่งมีลักษณะคล้ายรัฐสวัสดิการที่เป็นการเริ่มต้นถึงแม่ว่าจะมิอาจเทียบเท่ากับของกลุ่มประเทศยุโรปได้ ซึ่งเพียงเท่านี้ฝ่ายทหารก็กลับนำมากล่าวอ้างว่าเป็นนโยบายประชานิยมที่เลวร้ายจนเป็นสาเหตุหนึ่งในการยึดอำนาจ จึงกลายเป็นเรื่องตลกทำให้คนไทยในยุโรปเริ่มตั้งข้อสงสัยมากขึ้นและต่อมาเมื่อมีการฆ่าประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยตายกลางกรุงเทพมหานครที่ถ่ายทอดสดผ่านดาวเทียมออกไปทั่วโลกเห็นภาพทหารยิงประชาชนสดๆ 92 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน โดยไม่มีการสอบสวนดำเนินคดีแล้วและยังกล่าวใส่ร้ายอีกว่าคนเสื้อแดงยิงกันเองหรือว่าผู้ก่อการร้ายเป็นผู้ยิง รวมตลอดทั้งที่ออกมาโกหกคือนายทหารชั้นผู้ใหญ่เอง
จากสิ่งที่คนไทยได้รับการยอมรับถึงความเสมอภาคกันในประเทศสหภาพยุโรปในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่เข้ามาร่วมชีวิตกับสังคมของเขาโดยชอบทั้งๆที่คนไทยเหล่านั้นไม่เคยร่วมรบทัพจับศึกปกป้องประเทศเขาเลย อีกทั้งเมื่อคนไทยเปรียบเทียบกับการมีชีวิตอยู่ในประเทศไทยที่ได้มีการโฆษณาทั้งวิทยุโทรทัศพูดกรอกหูทุกวันว่าคนไทยเป็นเจ้าของประเทศไทย บรรพบรุษไทยได้สละเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องแผ่นดินไทย แต่ความเป็นจริงปรากฎว่าชีวิตคนยากจนในเมืองไทยโดยเฉพาะในชนบทกลับไม่มีใครเหลียวแลอย่างจริงจังไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา หรือความเจ็บป่วยก็ต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น มีแต่คนกลุ่มน้อยที่เป็นอภิสิทธ์ชนเท่านั้นที่ไต่เต้าเข้าสู่ระบบราชการได้จึงจะมีชีวิตที่มีหลักประกัน ดังนั้นเมื่อ พตท.ทักษิน ทำนโยบายที่เอื้อต่อคนทุข์คนยากในชนบทก็กลับถูกยึดอำนาจและที่สะเทือนใจที่สุดก็คือประชาชนเจ้าของประเทศกลับถูกยิงตายกลางถนนด้วยสไนเปอร์คล้ายกับการไล่ยิงสัตว์ทั้งๆที่ถูกกรอกหูทุกวันว่าเป็นเจ้าของประเทศ
ดังนั้น คนไทยในต่างประเทศจึงรับไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมายแบบสองมาตรฐานที่กลุ่มเสื้อเหลืองยึดธรรมเนียบรัฐบาลและยึดสนามบินสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง กลับไม่ถูกดำเนินคดีไดๆ เขาจึงเริ่มหูตาสว่างและเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มพลังเสื้อแดงในหลายประเทศในยุโรป และยิ่งมีการจับกุมดำเนินคดีการกระทำผิดเกี่ยวกับการะเมิดสถาบันอย่างมากมายตามมาก็ยิ่งเกิดการเปรียบเทียบกับประมุขในแต่ละประเทศในยุโรปซึ่งก็มีทั้งประธานาธิบดีและระบบพระมหากษัตริย์ซึ่งในประเทศของเขาก็มีความเสมอภาคทั้งทางด้านกฎหมาย วัฒนธรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งก็มีรูปธรรมให้เห็นชัดเจนว่าประมุขแห่งรัฐในแต่ละประเทศของพวกเขาหากขับรถเร็วเกินกำหนดก็จะถูกจับเช่นเดียวกับชาวบ้านธรรมดา รวมตลอดทั้งหากออกไปในที่สาธารณะก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบสังคมโดยยืนเข้าแถวรอรับบริการเสมอภาคกัน ส่วนการบังคับใช้กฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทก็ไม่มีกฎหมายพิเศษบังคับใช้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้คนไทยในยุโรปหันกลับมามองประเทศไทยของตัวเองมากยิ่งขึ้นจนเกิดภาวะตาสว่างของคนในยุโรปและคนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการเปรียบระหว่างสังคมที่ล้าหลังกับสังคมที่พัฒนาแล้ว ความเข้าใจของคนไทยในต่างประเทศจึงเป็นองค์ความรู้เชิงประจักษ์ที่พวกเขาประสบพบเห็นเอง ซึ่งมีความแจ่มชัดกว่านักวิชาการบางคนในประเทศไทย ดังนั้นพลังก้าวหน้าของคนไทยในต่างประเทศจึงเป็นพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้เพราะเพียงแต่เขาโทรศัพท์เข้ามาในประเทศไทยมาอธิบายความจริงให้พี่น้องเขาทราบก็จะเป็นพลังเปลี่ยนแปลงอันมหาศาล
การแก้ปัญหาข้อขัดข้องการขอรับบริการของสถานทูตไทย
จากภูมิหลังของความยากจนของคนไทยที่เคยจนข้างต้นแต่พวกเขาก็ยังมีความฝังใจกับการเป็นคนไทยแล้วหวังว่าสักวันหนึ่งอยากจะกลับมาประเทศแม่จึงยังรักษาสถาณะภาพความเป็นคนไทยอยู่จึงต้องไปติดต่อสถานทูตเพื่อขอต่อพาสปอร์ทใหม่และทำบัตรประชาชนใหม่เป็นระยะๆรวมตอลดถึงการขอทำวีซาให้คู่สมรสเพื่อจะมาเที่ยวเมืองไทย จึงจำเป็นต้องเดินทางไปขอรับบริการของสถานทูตไทยซึ่งเป็นตัวแทนเชิงโครงสร้างของระบบขุนนางไทยจึงเกิดความขัดแย้งเชิงเปรียบเทียบด้านบริการของระบบราชการไทยที่ยังดำรงภาวะการแห่งวัฒนธรรมขุนนางกับ ระบบราชการของต่างประเทศที่ก้าวหน้าทางวัฒนธรรมที่เน้นความเป็นมนุษย์ดังตัวอย่างเช่น การกรอกแบบฟอร์มขออนุญาตต่างๆของสถานทูตไทยซึ่งคนไทยบางคนที่ขาดโอกาสทางด้านการศึกษาในภาษาประเทศไทย ก็จะไม่ได้รับความสะดวกและหลายแห่งจะมีคำพูดของเจ้าหน้าที่สถานทูตในลักษณะเชิงดูถูกเหยียดหยาม เช่น “เป็นคนไทยอย่างไรจึงเขียนหนังสือไทยไม่เป็น” รวมตลอดถึงการไม่ได้รับความสะดวกอื่นๆ อาธิเช่น การขาดเอกสารสำคัญบางฉบับที่เตรียมมาไม่ครบ (โดยไม่มีประกาศไว้ก่อนในระบบการแจ้งข่าวของสถานทูต)ก็จะถูกไล่กลับแล้วให้กลับมายื่นใหม่ รวมถึงการขาดสำเนาเอกสารแค่แผ่นเดียวก็ไม่ให้บริการถ่ายเอกสารแต่จะให้ผู้ขอรับบริการนำเอกสารออกไปถ่ายข้างนอกแล้วให้กลับมาใหม่ทำให้เสียเวลา และบางครั้งกลับมาก็หมดเวลาทำงานของสถานทูตเพราะสถานทูตไทยให้บริการตามคำขอเพียงครึ่งวันซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนานแล้ว ดังนั้นในโอกาสที่เป็นครั้งแรกที่กระผมในฐานะ ส.ส.และในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯออกไปตระเวณเช่นนี้ กระผม ก็จะนำเสนอปัญหาต่างๆเหล่านี้ต่อ รมว.ต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ รมว.มหาดไทย เพื่อให้ปรับปรุงระบบบริการทำบัตรประชาชนออนไลน์ไปยังสถานทูตในต่างประเทศด้วยเพื่อคนไทยในต่างประเทศจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพียงเพื่อจะกลับมาทำบัตรใหม่ที่เมืองไทย
การเยือนศาลอาญาระหว่างประเทศ
กระผมได้มีโอกาสเข้าพบ รองประธานฯ นายฮันส์-พีเทอร์ โคล ซึ่ง รักษาการประธานศาลอาญาระหว่างประเทศ และตัวแทนสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศโดยในการนี้มี ดร.วีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศเนเธอร์แลนด์นั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย, นายฮันส์-พีเทอร์ โคล ได้กล่าวแสดงความยินดีที่มีตัวแทนจากสภาผู้แทนราษฎรไทยมาเยี่ยมคารวะและกล่าวถึงการที่ประเทศไทยควรจะเข้าเป็นสมาชิกอย่างถาวรของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งขณะนี้มีประเทศสมาชิกที่ให้สัตยาบรรณเกินกว่าครึ่งโลกแล้วคือมีถึง 120ประเทศแล้วและประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนก็มีแล้วเช่นกันได้แก่ กัมพูชา และ ฟิลลิปปิน รวมทั้งประเทศ มาเลเซีย และ อินโดนิเซีย ที่กำลังอยู่ในกระบวนการดำเนินการเป็นสมาชิกถาวร และได้ชวนเชิญให้ประเทศไทยซึ่งได้ร่วมลงนามเป็นสมาชิกเป็นเวลานานกว่า 10ปีแล้วให้ลงนามในสัตยาบรรณเพื่อให้เสร็จสิ้นพิธีการณ์สมบูลณ์และขอให้นำความปรารถนาดีของศาลอาญาระหว่างประเทศไปถึงคนไทยด้วย
ด้วยเหตุการณ์ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เป็นจริงและเพื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ระบบราชการไทยในต่างประเทศดูแลประชาชนและส่งเสริมให้คนต่างประเทศมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น รวมตลอดถึงเพื่อความเข้าใจอันดีเพื่อจะให้ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ กระผมต้องขอขอบคุณกลุ่มคนเสื้อแดงต่างๆในทวีปยุโรป ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการประสานงานและเฉลี่ยกันออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้แก่กระผมเป็นส่วนใหญ่ เพราะลำพังแต่กระผมเองก็ไม่อาจจะออกค่าใช้จ่ายเองได้ทั้งหมด รวมทั้งปีนี้เกิดภาวะวิกฤตน้ำท่วม งบประมาณไม่เพียงพอ ท่านประธานสภาผู้แทนจึงตัดงบการเดินทางในสมัยปิดประชุมที่ผ่านมา และขอขอบพระคุณท่านเอกอัครราฑูตไทยและเจ้าหน้าที่ ที่ร่วมประชุมตอบคำถามจนเกิดความเข้าใจอันดีต่อกันมา ณ .ที่นี้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น