Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ส.ส.สุนัย เยือนศาลอาญาระหว่างประเทศพร้อมยื่นหนังสือร้อง 91ศพ เมษา-พฤษภาเลือดในไทย

จาก facebook SunaiFanClub

วันที่ 9 ธันวาคม 2554 ส.ส.สุนัย  จุลพงศธร พร้อมด้วย ฯพณฯ ดร.วีรชัย  พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์และคณะได้เดินทางไปศาลอาญาระหว่าประเทศ ซึ่งมีบัลลังก์ตั้งอยู่ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในการณ์นี้ ส.ส.สุนัย ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศได้นำคณะเข้าเยี่ยมศาลอาญาระหว่างประเทศ International Criminal Court (ICC.) เพื่อคารวะ นายฮันส์-พีเทอร์ โคล (Hans-Peter Kaul) รองประธานคนที่2 รักษาการในตำแหน่งประธานศาลอาญาระหว่าประเทศ ไดมีการสนทนาถึงความเป็นมาของ ICC. และบทบาทในการปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศที่เป็นชาติสมาชิก มร.ฮันส์ ได้กว่าได้กล่าวว่าขณะนี้ได้มีหลายประเทศได้มีความตื่นตัวที่จะเข้ามาร่วมเป็นสมาชิก ICC. แล้วกล่าวต่ออีกว่าท่านเคยเดินทางมาเยือนประเทศไทยเมื่อเดือน มกราคม 2554 ที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่ท่านจะเดินทางมายังไทยนั้น ICC. มีสมาชิก 114 ประเทศ แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของโลกปัจจุบันเพียง 10 เดือนจนถึงวันนี้ได้มีสมาชกเพิ่มขึ้นเป็น 120 ประเทศ และประเทศที่อยู่ใกล้ๆประเทศไทยที่อยู่ในกลุ่มชาติอาเซียนที่เป็นสมาชิก ICC. แล้วอย่างสมบูรณ์ คือ ประเทศฟิลิปปินส์ กับ กัมพูชา และขณะนี้ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ กำลังดำเนินการที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกและลงนามในสัตยาบันเข้าร่วมเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ต่อไป ท่านยังกล่าวต่ออีกว่าเป็นความเข้าใจผิดในเรื่องของการที่ประเทศที่เป็นสมาชิก ICC. แล้วจะเป็นการริดรอนอำนาจอธิปไตยทางศาลของแต่ละประเทศเพราะว่า ICC. นั้นจะต้องเคารพอธิปไตยของศาลในประเทศนั้นๆด้วย  แล้วเรื่องทั้งหมดนั้นจะต้องเริ่มที่ศาลของประเทศนั้นๆก่อน เว้นเสียแต่ว่าประเทศนั้นๆมีภาวะสงครามหรือเหตุความจำเป็นต่างๆที่ทำให้ไม่สามารถจะดำเนินการให้ความเป็นธรรมได้ เรื่องต่างๆเหล่านั้นจึงจะเข้าระบบงานของ ICC. และหากเข้ามาอยู่ในระบบของ ICC. แล้วก็จะให้ความช่วยเหลือทางด้านข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวกับระบบความยุติธรรมของนานาชาติที่เป็นสมาชิกร่วมกัน 

ขณะนี้ ICC. มีผู้พิพากษาที่เป็นตัวแทนจากชาติสมาชิกต่างๆ 15 ท่านโดยประมาณ แต่เป็นที่น่าสนใจก็คือใน 15 ท่านนั้นส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

ในวันเดียวกันนี้ ส.ส.สุนัย และคณะ ได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีใหญ่สำคัญคดีหนึ่งที่โด่งดังและให้ความสนใจไปทั่วโลกแบบสดๆ คือ คดีอาญากรรมต่อมนุษยชาติและอาญากรรมสงครามของ อดีตประธานาธิบดีประเทศไอวอรีโคสต์ นาย จีน-ปิแอร์ บิมบา กอมโบ (Jean-Pierre Bemba Gombo) ซึ่งเป็นคดีล่าสุดที่ถูกระบุว่ามีประชาชนอย่างน้อย3,000คนเสียชีวิตแต่ยังไม่นับบาดเจ็บ พิการ และสูนหาย ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน 2553 ที่มีการเลือกตั้งทั่วไป แต่เนื่องจาก นายกอมโบ แพ้การเลือกตั้งดังกล่าวแต่กลับไม่ยอมลงจากอำนาจเป็นเหตุให้เกิดความไม่พอใจและมีการต่อต้านจากประชาชนทำให้เกิดความรุนแรงมีการสั่งปราบปรามประชาชนอย่างหนักโดยกองกำลังของ นายกอมโบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการจับกุมนักโทษทางการเมืองที่เข้าร่วมในการณ์นี้มากกว่า500คน แต่ในภายหลังโดยการช่วยเหลือจากกองกำลังนานาชาตินำโดย ฝรั่งเศส และ ยูเอ็น ได้ใช้กำลังเข้าแทรกแซงเพื่อฟื้นฟูและช่วยจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นในที่สุด นายกอมโบ ก็ถูกจับกุมตัวได้และถูกกักบริเวณไว้ที่บ้านของตนตั้งแต่เดือนเมษายน 2554 แล้วในที่สุดก็ถูกนำตัวไปดำเนินคดีที่ ICC. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2554   ที่น่าสนใจเกี่ยวกับคดีเป็นกรณีศึกษาเป็นอย่ายิ่งคือ ประเทศไอวอรีโคสต์มิได้เป็นสมาชิกหรือภาคีแต่อย่างไดตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่าประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court) แต่ยังสามารถนำตัว นายกอมโบ ขึ้นดำเนินคดีต่อ ICC. ได้โดยการที่รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีคนใหม่ได้ประกาศยอมรับเขตอำนาจของ ICC. ทั้งนี้เป็นไปตาม
“มาตรา 12 ของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ระบุถึงเงื่อนไขเบื้องต้นในการใช้เขตอำนาจศาลดังนี้
ข้อ 3 ในกรณีที่รัฐใด ๆ ไม่ได้เป็นภาคีต่อธรรมนูญกรุงโรมตามข้อกำหนดในย่อหน้า 2 รัฐดังกล่าวก็อาจยอมรับการปฏิบัติตามเขตอำนาจศาลของศาลอาญาระหว่างประเทศตามความผิดที่มีขึ้นได้ ทั้งนี้โดยการแจ้งความจำนงต่อนายทะเบียนของศาล...”
แต่เป็นการประกาศยอมรับเฉพาะคดีนี้เท่านั้นดังนั้น ICC. จึงมีอำนาจในการพิจารณาคดีดังกล่าว

สำหลับประเทศไทยได้เข้าร่วมลงนามเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543 ในสมัยรัฐบาลของ นายชวน หลีกภัย แต่ยังมิได้ลงนามในสัจยาบันจนถึงขณะนี้ เนื่องจากต้องพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายในประเทศที่กำหนดไว้ก่อน โดยก่อนหน้าการลงนามคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2542 แต่งตั้ง “คณะกรรมการพิจารณาธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ” ทั้งหมด 16 ท่าน โดยมีตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ อาทิ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ, รองอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ,กระทรวงกลาโหม, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงยุติธรรม, สำนักงานอัยการสูงสุด, ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, สภาความมั่นคงแห่งชาติ, กองทัพบก, กองทัพเรือ, กองทัพอากาศ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, องค์การระหว่าประเทศ, เจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศอีก 3 คน เป็นเลขานุการ ผู้ช่วยเลขาฯ นอกนั้นทั้งหมดเป็นคณะกรรมการโดยมี อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายฯ เป็นประธานฯ เมื่อพิจารณาแล้วเห็นควรเหมาะสมถูกต้องจึงมีมติเห็นชอบในสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัยจึงเข้าร่วมลงนามเข้าเป็นสมาชิกของ ICC. แต่ในทางปฏิบัติจำเป็นจะต้องดำเนินการปรับกระบวนการทางกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่าประเทศและจะต้องลงนามในสัตยาบันเข้าเป็นภาคีแต่เหตุการณ์ก็ปล่อยทิ้งมากว่า 10 ปีแล้วไม่ได้ดำเนินการให้เป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน

สำหรับประธานศาลอาญาระหว่าประเทศคนปัจจุบันท่านนี้น่าสนใจมากเพราะเป็นชาวเอเชีย ชื่อ นาย ซอง ซาง-ฮยุน (Song Sang-Hyun) ซึ่งเป็นชาวเกาหลีใต้ ในการสนทนาในครั้งนี้ท่านประธานฯ ได้สื่อผ่านทาง มร.ฮันส์ รองประธานคนที่2 ซึ่งเป็นรักษาการประธานฯ ขอให้ ส.ส.สุนัย ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศได้นำความเข้าใจอันดีและถูกต้องนี้ไปเผยแพร่ต่อหน่วยงานต่างๆ ทั้งรัฐบาล, สภา, หน่วยงานทหาร, ศาล และประชาชน เพื่อเชิญชวนให้ประเทศไทยได้ลงนามในสัตยาบันเข้าเป็นภาคีโดยสมบูรณ์

หลังจากนั้นได้มีการมอบของที่ระลึกจากสภาผู้แทนราษฎร แก่ มร.ฮันส์ ซึ่งเป็นที่ถูกใจท่านเป็นอย่างมากพร้อมทั้งกล่าวว่า “ของที่ระลึกชิ้นนี้จากเมืองไทยสวยงามมากผมจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีและจะนำไปประดับไว้ในห้องทำงานของผม”

และท่านก็เชิญ ส.ส.สุนัยและคณะ ถ่ายรูปร่วมกันเพื่อเป็นที่ระลึก พร้อมกล่าวว่านี่เป็นตัวแทนจากฝ่ายการเมืองภาคประชาชนคนแรกของไทยที่มาเยี่ยมเยือนศาลอาญาระหว่างประเทศ ในนามประธานกรรมาธิการการต่างประเทศของไทย จึงขอถ่ายรูปร่วมเป็นที่ระลึก



 


หลังจากพบ มร.ฮันส์ แล้วได้มีโอกาสเข้าพบกับตัวแทนสำนักงานอัยการศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้ปรึกษาหารือกันถึงข้อกฎหมายตามธรรมนูญกรุงโรมฯ ถึงกระบวนการของการนำคดีสู่ ICC. ของแต่ละประเทศแล้วในการปรึกษาหารือนั้น ส.ส.สุนัย ก็ได้สอบถามถึงข้อกฎหมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ความรุนแรงในการสังหารหมู่ประชาชนในไทยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ถึง 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งทาง ICC. ก็รับทราบมาก่อนแล้ว กำลังเป็นที่สนใจและอยู่ในกระบวนการการศึกษาของคดีนี้อย่างใกล้ชิดโดยสำนักงานอัยการ ICC. พร้อมกันนี้ ส.ส.สุนัย ได้ยื่นหนังสือสรุปเหตุการณ์ความรุนแรงจนไปสู่การสังหารหมู่ประชาชนให้แก่ท่านอัยการสูงสุด คือ นาย ลูอีส มอเรโน โอคัมโพ (Luis Moreno Ocampo) โดยลงหนังสือวันที่ 9 ธันวาคม 2554 โดยมอบผ่านตัวแทนสำนักงานอัยการ ICC.

นาย ลูอีส มอเรโน โอคัมโพ (Luis Moreno Ocampo) อัยการสูงสุด ICC.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น