ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 363 วันที่ 9 – 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 หน้า 6 คอลัมน์ ปวงประชา โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
นักปรัชญาเมธีท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
“ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตนเอง 2 ครั้ง
ครั้งแรกเป็นโศกนาฏกรรม ครั้งที่ 2 เป็นละครตลกปนสมเพช”
แต่สำหรับประเทศไทยต้องมี
3 ครั้ง 2 ครั้งแรกเป็นโศกนาฏกรรม
คือรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี 2549 และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี
2551 ส่วนครั้งที่ 3 คือการพยายามโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในขณะนี้
กำลังจะเป็นละครตลกปนสมเพช
นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ
3 กรกฎาคม 2554 พวกเผด็จการก็ดำเนินมาตรการหลอกลวงและแยกสลายต่อฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ใช้ประโยชน์จากความเพ้อฝันของแกนนำพรรคเพื่อไทยที่หวัง “ปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
กับพวกเผด็จการ พวกเขาส่ง “สัญญาณประนีประนอมหลอกๆ”
โดยหวังผล 2 ด้าน ด้านหนึ่งเพื่อดึงแกนนำพรรคเพื่อไทยให้ออกห่างจากฐานมวลชนของตนเอง
ทำให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวและอ่อนแอ ถูกทำลายได้ง่าย อีกด้านหนึ่งก็เพื่อสร้างความระส่ำระสาย
หมดกำลังใจและถอยห่างในหมู่มวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
เมื่อพรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
มาตรา 291 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
และพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติที่มุ่งยกเลิกคดีการเมืองทั้งปวงที่เป็นผลจากรัฐประหาร
2549 ฝ่ายเผด็จการก็มิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้
จึงต้องดำเนินการรุกกลับทันที
สำหรับพวกเผด็จการแล้ว
รัฐธรรมนูญ 2550 กับคดีการเมืองทั้งปวงที่โยนใส่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร และนักการเมืองพรรคไทยรักไทย คือหลักประกันเฉพาะหน้าในอำนาจปัจจุบันของพวกเขา
เป็นดอกผลทางการเมืองที่สำคัญที่สุดที่ได้รับจากรัฐประหาร 2549 หากปล่อยให้ฝ่ายประชาธิปไตยแก้ไข 2 ประเด็นนี้สำเร็จ
พวกเขาก็จะ “ไม่ได้อะไรเลย” จากการรัฐประหาร
ทั้งยังสูญเสีย “ทุนทางการเมือง” ของตนไปอย่างมากมายมหาศาลแล้วอีกด้วย
ใน 2 ครั้งแรกเมื่อปี 2549 และ 2551 ประชาชนจำนวนมากยังไม่รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวของพวกเผด็จการผ่านมือเท้า
เช่น กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ตุลาการ และทหาร จึงน่าตกใจและไม่อาจเข้าใจได้ทันท่วงที
แต่เผด็จการไทยก็เหมือนอาชญากรการเมืองอื่นๆทั่วโลก คือชะล่าใจ กระทำการซ้ำอีกโดยเชื่อว่าประชาชนยังโง่อยู่
หรือถึงประชาชนรู้ก็ไม่มีทางตอบโต้ ในครั้งที่ 3 พวกเขากำลังทำผิดพลาด
เพราะมาถึงวันนี้ประชาชนรู้และจะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป
ท้ายสุดเครื่องมือและวิธีการเก่าๆจะมีประสิทธิผลน้อยลงทุกที
เปรียบเสมือนผู้ลงทุนสร้างและผู้กำกับละครที่ใช้เค้าโครงเรื่อง ฉากหลัง และตัวละครซ้ำเป็นครั้งที่
3 จนประชาชนคนดูเอือมระอาเต็มทน คนพวกนี้คือสิ่งมีชีวิตทางการเมืองที่พ้นยุคสมัยไปแล้วอย่างแท้จริง
เราจึงได้เห็นพวกเขาหันมาใช้
“สี่ขาหยั่ง” ของตนซ้ำอีก คือกลุ่มอันธพาลการเมืองบนท้องถนนก่อกวนสร้างสภาวะจลาจลนอกสภา
พรรคประชาธิปัตย์ก่อความปั่นป่วนทำลายกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภาและสนับสนุนการก่อความวุ่นวายนอกสภา
องค์กรตุลาการใช้ “กฎหมาย” มาทำลายรัฐบาลและสภาที่มาจากการเลือกตั้ง
แล้วจบลงด้วยการแทรกแซงของกองทัพเหมือน 2 ครั้งแรก
ทั้งหมดนี้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือน ยุยงให้ท้าย ใส่ไคล้เป็นเท็จโดยสื่อมวลชนและนักวิชาการที่หากินอยู่กับเผด็จการ
การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด
แล้วอ้างข้อกำหนดศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 มี “คำสั่ง” ให้สภาผู้แทนราษฎร
“ชะลอ” การพิจารณาร่างแก้ไขฯวาระ 3
จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
เหล่านี้ได้ถูกผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายมหาชน เช่น คณะนิติราษฎร์
ชี้แล้วว่าเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นการก้าวก่ายครอบงำการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง
ผลเฉพาะหน้าของ
“คำสั่ง” ศาลรัฐธรรมนูญคือ เป็นการยับยั้งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และอาจนำไปสู่การ “ทำแท้ง” ด้วยคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าร่างแก้ไขฯฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญ
เพราะเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งๆที่ยังไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ
ยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นอย่างไร
นี่คือการตัดตอนให้เป็นบรรทัดฐานว่านับแต่นี้ไปการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
ไม่ว่าจะครั้งไหน เมื่อไร ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะทุกครั้งอาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!
และในกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังอาจเลยไปถึงการสั่งยุบพรรคเพื่อไทย
ส่วนบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขฯก็เข้าข่ายมีความผิด ถูกถอดถอน
และอาจถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย!
แต่ผลในระยะยาวคือ
อำนาจตุลาการกำลังเข้าครอบงำและทำลายกระบวนการนิติบัญญัติทั้งหมด เพราะในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญสามารถอ้างข้อกำหนดและกฎหมายที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญมาสั่งฝ่ายนิติบัญญัติให้ “ชะลอ” การทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้ ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าแทรกแซงและ
“ชะลอ” การพิจารณาออกกฎหมายอื่นๆได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ซึ่งก็คือศาลรัฐธรรมนูญจะ “กดปุ่มสั่ง” ให้รัฐสภา “หยุด” เมื่อไรก็ได้
ทั้งหมดนี้เป็นการเผยให้เห็นเนื้อแท้ของรัฐธรรมนูญ
2550 ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการที่กลุ่มอำนาจนิยมจำนวนไม่กี่คนกุมอำนาจการปกครองที่แท้จริง
ผ่านองค์กรตุลาการที่ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้งของประชาชน เป็นอำนาจที่อยู่เหนือและครอบงำอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ
คำว่า “ตุลาการรัฐประหาร” ก็คือการที่ตุลาการสามารถอ้างอิงหลักตรรกะ
เลือกใช้ภาษาไทยและ “พจนานุกรม” มาตีความตัวหนังสือในกฎหมายรัฐธรรมนูญตามที่ตนเห็นชอบ
เข้าแทรกแซงกระบวนการนิติบัญญัติและ “ถอดถอนลงโทษ” นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้โดยไม่มีใครท้วงติงตรวจสอบได้
หากพรรคเพื่อไทยยอมจำนนก็เท่ากับว่าได้สูญเสียอำนาจนิติบัญญัติไปโดยสิ้นเชิง
ทั้งประธานสภา รองประธานสภา และ ส.ส. เป็นได้เพียง “เจว็ด”
ในห้องประชุม เสียงข้างมากในสภาสูญเปล่า และคะแนนเสียงเลือกตั้ง 15
ล้านเสียง ก็คือเสียงนกเสียงกาที่ไร้ความหมาย
พรรคเพื่อไทยจะต้องแสดงความกล้าหาญ
ยืนยันสถานะของสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบธรรม เป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย เป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติของปวงชนชาวไทยที่มิอาจยอมจำนนต่อคำสั่งที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเช่นนั้นได้
พรรคเพื่อไทยมิได้โดดเดี่ยว หากแต่มีหลังพิงเป็นประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่พร้อมจะสนับสนุนและปกป้องสภาที่มาจากคะแนนเสียงเลือกตั้งของพวกเขา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น