จาก
โลกวันนี้ วันสุข ปีที่ 9 (14) ฉบับที่ 415 วันที่ 8-14 มิถุนายน
พ.ศ. 2556
ประกาศขณะนี้ทางเพจ V For Thailand ต้องการสมาชิกเพิ่มอีกจำนวนมากเพื่อที่จะสามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง
ขอให้ทุกท่านเชิญชวนเพื่อนๆเข้ามากด Like และ Shareข้อความนี้ออกไปให้ได้เยอะที่สุด”
ข้อความในเพจ V For Thailand ที่สร้างกระแส“หน้ากากขาว”
โดยใช้สัญลักษณ์
“กายฟอคส์” (GuyFawkes) ในโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “ตอนนี้หลังจากเราเปิดตัวออกไปแล้ว
เพจเราเป็นเป้าโจมตีทันที แต่เพื่อความพร้อมที่เราจะยืนหยัดสู้ต่ออำนาจมืด และเพื่อไม่ให้เพจถูกปิด
เราจะต้องอาศัยแรงของนักรบหน้ากากขาวทุกท่าน ช่วยกระจายข้อความและคำประกาศนี้ออกไปให้ได้เยอะที่สุด”
เป้าหมายของแอดมิน V For Thailand คือต้องการให้มีการจัดกิจกรรมรวมพลในแต่ละจัง
หวัดให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด
หลังจากจัดกิจกรรม “ยุทธการประกาศศักดารวมพลใหญ่คนหน้ากาก” ครั้งแรกที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา
โดยแอดมิน V For Thailand ผู้จัดกิจกรรมกล่าวก่อนเริ่มกิจกรรมว่า
“วันนี้ผมและคุณจะออกไปเป็นประกายไฟ
แรกที่ลามลุกให้เกิดแสงสว่างแห่งความถูกต้องความดีงาม
และความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ขอให้ออกมา ออกมา และก็ออกมา ออกมากู่ก้องให้โลกได้รับรู้ว่าประเทศไทยของเราได้ถูกครอบงำโดยอำนาจจากการเลือกตั้ง
และอำนาจนี้กำลังอาศัยคำว่าประชาธิปไตย
บังหน้า ทำการทรยศประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
กอบโกยแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋า
ของนักเลือกตั้งและพวกพ้องเพียงกลุ่มเดียว
ถึงเวลาแล้วที่ภารกิจของวี (we) จะต้องกวาดล้างปลิงเหล่านี้ออกจากประเทศไทย”
จุดกระแสให้ติด
กลุ่มหน้ากากขาวจะถูกมองว่าเป็นตลกร้ายหรือแค่การจัดกิจกรรม
“รวมพลคนหน้ากาก” ไม่ว่าที่กรุงเทพฯ
รวมถึงในจังหวัดต่างๆที่ระบุว่ามีผู้สนใจทยอยเข้าไปกดไลค์ร่วมกิจกรรมครบทุกจังหวัดนั้น
อย่างน้อยก็มีผลทางจิตวิทยาให้กลุ่มหน้ากากขาวมีความคึกคักแม้แต่ละจังหวัดจะมีไม่กี่คนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า
กลุ่มหน้ากากขาวได้นัดรวมพลกันอีกครั้งในวันที่ 9 มิถุนายนที่หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านระบอบทักษิณ ระบอบเผด็จการรัฐสภาและคอร์รัปชัน แต่อีกด้านหนึ่งก็เชื่อว่าเป็นการตรวจสอบว่าหลังจากการเคลื่อนไหวจะมีมวลชนมาเข้าร่วมมากน้อยแค่ไหน
เช่นเดียวกับการประกาศจัดกิจกรรมในต่างจังหวัดที่ต้องการสร้างภาพมากกว่าจำนวนคนที่เข้าร่วม
ขณะที่ “ผู้จัดการออนไลน์”
ได้พยายามสร้างกระแสให้กลุ่มหน้ากากขาวได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นการพาดหัวข่าวหรือเขียนบทความ เพื่อไม่ให้กระแสหน้ากากขาวหายไป รวมถึงชักชวนให้ซื้อ “สติ๊กเกอร์กาย
ฟอคส์” ที่ ASTV Shop บ้านเจ้าพระยาที่เริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่
31 พฤษภาคม แม้แต่ซื้อ “ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์”
ยังมีสติ๊กเกอร์แถมในเล่ม โดยลงข้อความให้ร่วมกันขยายเครือข่ายปฏิบัติการ
“หน้ากาก V” จากโลกไซเบอร์สู่ท้องถนนและทุกซอกมุมในสังคมด้วยการติดสติ๊กเกอร์หน้ากาก
V เพื่อเป็นสัญลักษณ์การต่อต้านรัฐบาลเผด็จการภายใต้ระบอบทักษิณซึ่งเดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องโดยไม่ฟังเสียงประชาชน
เกมคนหน้าเดิม
ขณะที่
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกลุ่มหน้ากากขาวว่า
เป็นกลุ่มเสื้อเหลืองที่แปลงร่าง
เพราะนำรูปที่ตำรวจสันติบาลถ่ายไว้ตั้งแต่มีการชุมนุมประท้วงมาเปรียบเทียบดูแล้ว ส่วนแกนนำสำคัญที่อยู่เบื้องหลังยังไม่รู้
ยังไม่โผล่หน้าออกมา เพราะยังไม่มั่นใจในพลัง จึงส่งพวกปลาซิวปลาสร้อยมาก่อน
ทั้งถากถางถึงพวกไทยสปริงว่าเป็นคนหน้าเดิมที่ไม่มีงานทำ
ป่วนบ้านป่วนเมือง เมื่อตัวละครไม่เปลี่ยน ใครจะเอาด้วย
“ฝากถามว่าที่ออกมาเคลื่อนไหวจะเอาใครเป็นนายกฯ
หรือจะเอาอภิสิทธิ์มาอย่างเก่าก็ไม่มีใครเอาด้วยแล้ว
ไอ้ชุดนี้เป็นมะพร้าวไม่มีกะทิ คั้นมาแกงไม่ได้ ผมห่วง ไม่ได้ขู่นะไอ้พวกที่มีศัตรูเยอะแล้วออกมาเปิดประเด็นสร้างศัตรูเพิ่ม
วันหนึ่งถ้ามีปัญหาอะไรอย่ามาโทษรัฐบาล”
ร.ต.อ.เฉลิมยังกล่าวว่า ไม่ได้ดูถูกพวกไทยสปริงหรือหน้ากากขาว
แต่รัฐบาลนี้มาตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย จะมาทำเป็นอีแอบ หากรัฐบาลเอาจริงไปดำเนินคดีก็หาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
ส่วนที่อ้างว่ารัฐบาลมีจุดตายหลายเรื่องนั้น ทำไมไม่ไปบอกนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน เพื่อจะได้นำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งย้ำว่าถ้ารัฐบาลไม่ทุจริต
รัฐบาลอยู่ยาวแน่ กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเหมือนลมพัดยอดหญ้า ไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล
แต่นายก่อแก้ว พิกุลทอง
ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)กลับมองว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาวเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อเรียกร้องความสนใจ
จุดประสงค์เพื่อล้มรัฐบาล ซึ่งสอดคล้องกับหลายๆกลุ่มที่มีการชุมนุมและจัดสัมมนาขณะนี้
แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก และไม่เห็นด้วยที่มีกลุ่มเสื้อแดงบางส่วนสวมหน้ากากแดงชุมนุมคู่ขนานกับกลุ่มหน้ากากขาว
เพราะที่ผ่านมาคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยไม่มีปิดบังอำพราง
จึงไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก ซึ่งอาจยิ่งกระตุ้นความสนใจให้กับกลุ่มหน้ากากขาว
รวมพลคนเกลียดทักษิณ
ที่น่าสนใจคือคำถามที่ว่า
ทำไมกลุ่มเกลียดทักษิณและต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงออกมาเคลื่อนไหวอย่างเป็นลูกโซ่ขณะนี้
ซึ่งสอดคล้องกับพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่ม ส.ว.ลากตั้งที่พุ่งเป้าโจมตีร่าง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและร่าง
พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติว่าต้องการช่วยคนคนเดียวคือ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
และพยายามโจมตีการบริหารงานของรัฐบาลว่าล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และมีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้างขวาง
ทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนเลยก็ตาม
เมื่อผนวกกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาว
ไทยสปริง กลุ่มนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดินและเครือข่ายภาคประชาชนไทย
ที่ปักหลักชุมนุมที่ท้องสนามหลวงต่อต้านรัฐบาลขณะนี้รวมทั้งการประสานกับ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ และพล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี จากองค์การพิทักษ์สยาม
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา อดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
(คมช.)พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน หนึ่งในสมาชิกและผู้ก่อตั้งสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย
ฯลฯ
แม้จะเป็นคนหน้าเดิม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสื้อเหลืองหรือสลิ่ม
แต่ไม่ใช่พวกปลาซิวปลาสร้อยอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม สบประมาท แม้ขณะนี้ดูเหมือนมวลชนจะหนีหายไป แต่เบื้องหลังของทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวมีกำลังทรัพย์และอำนาจทั้งในระบบและนอกระบบจาก
“มือที่มองเห็น” และ “มือที่มองไม่เห็น” พร้อมจะโค่นล้มรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยตลอดเวลาเพียงแค่ทำให้ประชาชนเริ่มไม่เชื่อและไม่พอใจรัฐบาล
ไม่ว่าจะกดดันให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร หรือใช้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ที่ยังเป็นคนหน้าเดิมๆ
เช่นกันโดยเฉพาะการเดินเกมคู่ขนานระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่ม 40 ส.ว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าการกระทำของ นายสมศักดิ์
เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา และ ส.ส.-ส.ว. 312 คน ที่ร่วมสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และมาตรา 237ถือเป็นการกระทำที่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และให้ยุบพรรคการเมือง 6 พรรคคือพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา
พรรคพลังชล พรรคมหาชน พรรคประชาธิปไตยใหม่และพรรคชาติพัฒนา ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่
ส.ส. และ ส.ว.
ดังกล่าวสังกัดอยู่
จึงเห็นชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวทุกองคาพยพจากทุกกลุ่มทุกสีที่เกลียดทักษิณและต้องการล้มล้างระบอบทักษิณนั้น
จำเป็นต้องประสานกันไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ หรือไม่เป็นเอกภาพอย่างในอดีตก่อนมีการทำรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 เพราะเห็นว่ายิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่นานก็ยิ่งมีผลงาน
มีความมั่นคงและแข็งแกร่ง ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศก็มีมากขึ้นด้วย
การเมืองไทยเหมือนวิ่งเข้าซอยตัน
เพราะกลุ่มล้มล้างระบอบทักษิณ
ไม่เอาทั้งการเลือกตั้งและ
ไม่เอาประชาธิปไตย
แล้วจะเอาระบอบอะไร? เพื่ออะไร?
เพื่อผลประโยชน์ของใคร?
ใครยุบก่อน-ใครไปก่อน
แม้แต่องค์กรอิสระที่เป็นหนึ่งในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องออกมาเคลื่อนไหวด้วย เพราะพรรคเพื่อไทยได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าต้องแก้ไขทั้งที่มาและอำนาจขององค์กรอิสระใหม่ทั้งหมดโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่เพียงถูกตั้งคำถามเรื่องสองมาตรฐานมาโดยตลอด
ฝ่ายการเมืองยังมีการตรวจสอบคุณสมบัติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่างกรณีของนายชัช
ชลวร ว่ายังคงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่หรือไม่
หลังจากมีการประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายวสันต์
สร้อยพิสุทธิ์เป็นประธานศาลรัฐธรรมนูญ นายนันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตั้งข้อสังเกตในบทบรรณาธิการเว็บไซต์กฎหมายมหาชนหัวข้อ “การสลับตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญ”
(วันจันทร์ที่ 3 ถึงวันอาทิตย์ที่16 มิถุนายน 2556) ตอนหนึ่งว่า
“หลังจากวันที่คุณชัช
ชลวร พ้นจากตำแหน่งประธานศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่มีที่ใด ทั้งในรัฐธรรมนูญหรือในประกาศพระบรมราชโองการที่บอกว่าคุณชัชชลวร
ยังคงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่ คงมีเพียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยกันเองที่เห็นว่าคุณชัช
ชลวร ยังคงเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอยู่ และยินยอมทำงานร่วมกับคุณชัช ชลวร อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาเกือบ
2 ปีที่ผ่านมา โดยไม่ตั้งข้อสงสัยถึงสถานะของคุณชัช ชลวร แต่อย่างใด”
นายนันทวัฒน์ยังสรุปว่า
ไม่ทราบว่ามีมาตราใดในรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและหน้าที่ในการเขียนบทบัญญัติเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญได้
ดูๆแล้วเรื่องของนายชัช ชลวร มีลักษณะคล้ายกับเรื่องมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญ
ที่ศาลรัฐธรรมนูญ เข้าไปเขียนบทบัญญัติเพิ่มอำนาจให้ตนเองขึ้นมาใหม่นั่นเอง
ซอยตันการเมือง
การเมืองวันนี้ไม่ใช่แค่การต่อสู้กันในสภาแต่ยังใช้การเมืองนอกสภามาเคลื่อนไหวกดดันรวมถึงการดึงองค์กรอิสระที่มีอำนาจมากมายมาเป็นเครื่องมือ
เพราะแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยก็ยังทำไม่ได้ แตะไม่ได้ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจนวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
ไม่ว่าจะแก้ทั้งฉบับหรือรายมาตรา
แม้แต่รัฐบาลจะเสนอร่าง
พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน
2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของประเทศ ก็ถูกยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
เช่นเดียวกับโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ก็หนีไม่พ้นถูกยื่นให้องค์กรอิสระตรวจสอบเช่นกัน
สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ไม่ว่าการเคลื่อนไหวในสภาและนอกสภาจึงมีเป้าหมายเดียวกันคือ
ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและล้มล้างระบอบทักษิณ ไม่ว่ากลุ่มหน้ากากขาวเสื้อเหลือง
สลิ่มหลากสี และไทยปริง ก็ประกาศชัดเจนว่า “ต้องล้มล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก”
การเมืองไทยวันนี้จึงวิกฤตทั้งรัฐธรรมนูญและกระบวนการยุติธรรม
เพราะกลุ่มเกลียดทักษิณและต้องการล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งระบุชัดเจนว่า “การเลือกตั้งไม่ใช่จุดหมายของประชาธิปไตย”
อย่างที่แกนนำพันธมิตรฯเสนอรูปแบบ
“การเมืองใหม่” โดยลดบทบาทและความสำคัญของนักการเมืองที่ถือเป็น
“นักเลือกตั้ง” ให้เหลือเพียง 30% ของจำนวนผู้แทนฯทั้งหมดในสภา
ที่เหลือให้มาจากการสรรหา โดยเพิ่มสัดส่วนหรือจำนวนผู้แทนฯจากภาคประชาสังคมทุกภาคส่วน
เหมือนข้อเสนอ “แช่แข็งประเทศไทย” ของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม
การเมืองไทยจึงเหมือนวิ่งเข้าซอยตันเพราะกลุ่มที่ประกาศล้มล้างระบอบทักษิณและล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่อ้างสถาบันและผูกขาดความรักชาตินั้น
ไม่เอาทั้งการเลือกตั้งและไม่เอประชาธิปไตยอย่างอารยประเทศ
จึงต้องถามว่า แล้วจะเอาระบอบอะไร ? เพื่ออะไร?
เพื่อผลประโยชน์ของใคร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น