ข้อมูลโดย GO6
กลายเป็นประเด็นสุดฮอตข้ามปีสำหรับการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวเปลือก
ปีการผลิต 2555/2556 ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องการยกระดับราคาข้าวเปลือกในตลาด
สร้างรายได้ให้กับเกษตรกร โดยตั้งวงเงินสำหรับใช้ดำเนินการโครงการถึง 4 แสนล้านบาท
แต่ทว่า โครงการดังกล่าวมักถูกโจมตีในจุดโหว่ต่าง ๆ
ที่เป็นการเปิดช่องการทุจริตงบประมาณจำนวนมาก "นางสาววิบูลย์ลักษณ์
ร่วมรักษ์" อธิบดีกรมการค้าภายใน
ทัพหน้าแจงเป้าหมายนโยบายแท้จริงของรัฐบาล
-
การรับจำนำข้าวมักถูกโจมตีในเชิงลบ
หลายคนเป็นห่วงเรื่องจำนำข้าวทำให้รัฐบาลขาดทุน
100,000 ล้านบาท จริง ๆ แล้วไม่มี เป็นการคำนวณผิดพลาด
หากคิดจากงบประมาณที่ใช้ในการรับจำนำปีก่อน 370,000 ล้านบาท แต่มีของที่ขายได้อยู่
ไม่ใช่ว่าปีนี้จะขาดทุนเท่านี้ ปีหน้าจะขาดทุนเท่านี้ เอามาคูณกันเข้าไปเลย
รอบบัญชีกับรอบโครงการจะไม่เหมือนกัน เคยมีข้าวบางสมัยยังขายไม่หมดก็มี
แต่คนอาจจะมีความรู้สึกว่าซื้อ ๆ มาแล้วขาย เราอยากให้มองเป้าหมายของการรับจำนำ
ไม่ใช่การซื้อมาขายไป เจตนารมณ์ของรัฐบาล คือ ต้องการสร้างรายได้ที่ดีให้เกษตรกร
ให้หลุดพ้นจากวงจรหนี้สิน แต่คงไม่ใช่นโยบายระยะยาว
เป็นเพียงการลดภาระของเกษตรกรให้สามารถลืมตาอ้าปาก ยืนบนขาของตัวเองได้
เรามีเส้นทางที่วางไว้ และมีกรอบระยะเวลา
หากไม่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เทียบเท่ากับค่าแรงงานขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน
อาจทำให้เกษตรกรเลิกอาชีพนี้ไปหมด
-
ผลรับจำนำรอบที่ 1 ปี 2555/2556
ขณะนี้เหลือระยะเวลาอีกราวครึ่งเดือนจะสิ้นสุดโครงการรอบที่
1 มีข้าวเปลือกเข้าสู่โครงการรับจำนำแล้ว 10 ล้านตัน
ซึ่งยังต่ำกว่าประมาณการผลผลิตข้าวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่คาดการณ์ว่าจะมีผลผลิต
15 ล้านตันข้าวเปลือก โดยใช้เม็ดเงินไปแล้วประมาณ 130,000 ล้านบาทเศษ
ต่ำกว่าที่ตั้งวงเงินรับซื้อเอาไว้ 410,000 ล้านบาททั้งปี
วงเงินนี้ส่วนใหญ่เตรียมไว้จำนำข้าว ส่วนจำนำมันสำปะหลังเพียงเล็กน้อย มีที่กู้มา
140,000 ล้านบาท และมีมติของ
ครม.ให้นำเงินที่ได้จากการขายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่ทยอยคืน 60,000-70,000
ล้านบาทมาหมุนเวียน เม็ดเงินจึงเพียงพอโดยผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) เงินก็ผ่านกลับไปสู่บัญชีของเกษตรกร ไม่ได้อยู่ในมือใครเลย
ส่วนที่เห็นผลจำนำข้าวนาปีรอบนี้มากกว่าโครงการนาปี
2554/2555 ซึ่งมีเพียง 6 ล้านตัน เพราะในปีก่อนเกิดปัญหาน้ำท่วม
สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตส่วนหนึ่ง
ทำให้เกษตรกรต้องปลูกใหม่และนำเข้ามาสู่โครงการรับจำนำนาปรังแทน
จึงทำให้ยอดจำนำนาปรังปี 2555 มีมากถึง 14 ล้านตัน
รวมแล้วทั้งปีไม่ต่างจากปีที่ก่อน
-
ความสำเร็จของนโยบายรับจำนำข้าว
โครงการสามารถยกระดับราคาข้าวเปลือกหอมมะลิให้สูงขึ้นจากปีก่อน
9% และราคาข้าวเปลือกเจ้า 5% ปรับสูงขึ้นกว่าปีก่อน 16.1%
เพราะราคาจำนำสูงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 37 ล้านครัวเรือน เข้าร่วมโครงการแล้ว 1.7
ล้านครัวเรือน ได้รับประโยชน์มีรายได้และเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
และชาวนาปลดหนี้ได้
-
ข้าวเปลือกแพงข้าวถุงจะปรับขึ้น
ขณะนี้สินค้าข้าวถุงยังไม่มีการปรับราคา
กรมติดตามความเคลื่อนไหวราคาทุกวัน และปกติมีผู้ผลิตจำนวนมากแข่งขันสูง
การปรับราคาไม่ใช่เรื่องง่าย และทางกรมได้ขออนุมัติให้นำข้าวสาร 5%
ในสต๊อกมาจัดทำข้าวถุงธงฟ้าขนาด 5 กก. ปริมาณ 300,000 ตัน ขายในร้านถูกใจกว่า
16,000 สาขา
-
ข้าวล้นโกดัง
นโยบายสต๊อกขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล
เพราะบางรัฐบาลอาจจะไม่ขายเลยก็ได้ เก็บไว้เป็นสต๊อกเพื่อความมั่นคง
ซึ่งมีคณะอนุกรรมการระบายข้าวกำกับดูแล
ประเมินปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ
-
จำนำรอบที่ 2 (นาปรัง)
ปีนี้เป็นปีแรกที่ปรับระบบให้ใช้โครงการรับจำนำแบบรอบที่
1 และรอบที่ 2 แทนระบบเดิมที่ใช้นาปีและนาปรัง โดยจะขึ้น ทะเบียนเกษตรกรอีกครั้ง
คาดการณ์ผลผลิตนาปรังปีนี้มีเรื่องภัยแล้ง ทางกระทรวงเกษตรฯคาดว่าผลผลิตจะได้ประมาณ
9 ล้านตันข้าวเปลีอก จากเดิม 11-12 ล้านตัน แสดงว่าราคาข้าวน่าจะขึ้น
แต่ส่วนใหญ่เป็นข้าวขาว ข้าวเหนียว ราคาจำนำต่ำกว่า ดังนั้น
คาดว่าจะใช้งบประมาณในการรับจำนำข้าวรอบ 2 ไม่เกิน 150,000 ล้านบาท
ไม่มากเท่ารอบแรก ส่วนโกดังกลางก็มีกำลังความจุเพียงพอ
เพราะทางกรมได้ดึงมาดูแลเอง
-
การอุดช่องโหว่โครงการจำนำข้าว
มีการตั้งคณะอนุกรรมการเข้ามาดูแลทุกเรื่อง
เรียกว่ามากที่สุดเพื่อป้องกันและลดปัญหาต่าง ๆ ที่เคยพบจากการรับจำนำที่ผ่านมา
เช่น ปัญหาเกษตรกรสวมสิทธิ์ข้าวสู่โครงการรับจำนำ
เคยตรวจสอบพบและดำเนินคดีกับเกษตรกรที่แจ้งขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงเกษตรฯ 10 ไร่
แต่เมื่อนำไปคำนวณคาดการณ์ผลผลิตต่อไร่จะได้ปริมาณผลผลิตข้าวของแต่ละคน
แต่เมื่อผลิตจริงเกิดเสียหายได้ต่ำกว่าที่ขึ้นทะเบียน
บางคนมีการนำข้าวของบุคคลอื่นมาสวมสิทธิ์
ส่วนที่เหลือขอยืมชื่อเกษตรกรเพื่อรับส่วนต่าง
ขณะนี้จึงเริ่มเข้มงวดตั้งแต่การทำประชาคม
เพิ่มการสุ่มตรวจสอบใบประทวนทั้งตำบลเพิ่มเป็น 20% จากเดิม 10%
ของที่ขึ้นทะเบียนทั้งหมด และให้พิมพ์ข้อความเตือนว่า
"กรณีที่สวมสิทธิ์ข้าวเปลือกจะมีความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี
หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
แต่ยังได้ตรวจสอบทั้งกระบวนการไปถึงโรงสีและโกดังที่เข้าร่วมโครงการ
ที่เดิมมักจะพบพฤติกรรมยักยอกหรือฉ้อโกง ก็แจ้งความดำเนินคดีและขึ้นบัญชีดำ
ป้องกันไม่
เข้ามากระทำความผิดได้อีก
ขณะนี้ขึ้นบัญชีดำไปแล้ว 3 โรงสี ตั้งแต่ปี 2554
และที่อยู่ระหว่างตรวจสอบก็ยังมีอีกพอสมควร หากพบว่าผิดจะดำเนินการตามกฎหมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น