โดย ส.ส.ดร.สุนัย จุลพงศธร
นอกจากการตามติดมุมมองจากลูกหลานคณะราษฎรผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เว็บไซต์ข่าวรัฐสภาถึงประชาชน ยังนำเสนอความคิดเห็นจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร...ถึงวันนี้ ทัศนะของพวกเขาเป็นอย่างไร
การพูดคุยกับลูกหลาน ‘คณะราษฎร’ ผู้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 คงเป็นเพียงมุมหนึ่ง
ในขณะที่ ‘ประชาธิปไตย’ ของประเทศไทยที่ผ่านยังคงสะดุดแล้วสะดุดอีก
และไม่แคล้วที่สุดท้ายแล้ว ‘นักการเมือง’ จะต้องเป็นที่สุดแห่งเสียงก่นด่าราวกับเดรัจฉาน
ท่ามกลางมายาคติทางการเมืองของนักการเมือง
เราจึงขอสวนทางด้วยการเลือกคุยกับนักการเมือง
เพื่อนำปากคำจากมุมที่มีภาพลักษณ์สีหม่นมาสะท้อนความเป็นจริงอีกด้านอาจอาจหมองกว่า
โดยครั้งนี้ เราเริ่มที่ ‘สุนัย จุลพงศธร’ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ที่มีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย
ทั้งยังเข้าไปมีส่วนในขบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ซึ่งเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางการเมืองที่มีพลังอย่างยิ่งในปัจจุบัน
ภาพของ สุนัย ที่คนทั่วไปได้สัมผัสผัสคือ ส.ส.
ที่มักอภิปรายในสภาอย่างดุเดือด
แต่อีกภาพหนึ่งที่ไม่ค่อยได้รับการมองเห็นมากนักนั่นคือการยืนอยู่บนจุดยืนของอุดมการณ์เสรีนิยมอย่างเด่นชัด
และเราเห็นได้ชัดจากคำตอบหลายคำถามของเราครั้งนี้
เราเริ่มต้นด้วยการถามถึงเรื่องทั่วๆไปอย่างมุมมองของเพื่อนสมาชิกในสภาของเขากับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ.2475 เป็นอย่างไร
แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นภาพสะท้อนของปัญหาหลักทางโครงสร้างของประเทศที่ชวนให้ต้องขบคิดอะไรกันใหม่ไม่น้อย
“ผมคิดว่า ส.ส.- ส.ว. ในสภามีจำนวนไม่ใช่น้อยไม่รู้
ที่ไม่รู้ไม่ใช่เพราะความไม่รู้ของเขา
แต่เป็นเพราะระบบโครงสร้างและระบบการศึกษาพยายามปกปิดเรื่องวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ยกตัวอย่างเจ้าหน้าที่ที่เคยมาช่วยงานซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีถือเป็นภาพสะท้อนได้ดีที่เขาไม่รู้จักคนชื่อ
‘ปรีดี พนมยงค์’ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม
ดังนั้น ใครที่ไม่รู้จักเรื่อง24 มิถุนายน 2475 จึงไม่ใช่ความผิดของเขาแต่เป็นความผิดของสังคมนี้
เป็นความของผิดของคนบางคนที่มีความคิดคับแคบ”
ทั้งนี้ สุนัย เชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือความตั้งใจที่ต้องการ ‘ปกปิด’ อันสืบเนื่องมากจากเรื่องประโยชน์ในอำนาจ
ทั้งที่เรื่อง 24 มิถุนายน 2475 เป็นความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ไม่มีสิทธิบิดเบือนได้
และคนที่มานั่งอยู่ในสภาในวันนี้ก็ถือว่าเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเมื่อ
24 มิถุนายน 2475
“แต่จะว่าใครก็ไม่ได้ แม้กระทั่งอาจารย์ที่จบมาจากต่างประเทศ
หรือบางคนที่เป็นอาจารย์ของสถาบันพระปกเกล้าเองที่พยามจะปิดเบือนเรื่องของ 24
มิถุนายน 2475 ว่าเป็นเรื่องของการชิงสุกก่อนห่าม
ซึ่งความจริงไม่จำเป็นที่ต้องมีการศึกษาสูงเพียงแต่เอาความจริงมาร้อยเรียงต่อกันก็จะรู้ความจริงว่า
การกระทำของคณะราษฎรนั้นไม่ใช่การชิงสุกก่อนห่าม
แต่เป็นเรื่องวิวัฒนาการของสังคมโลกที่เคลื่อนตัวมาแล้วร้อยกว่าปีในเวลานั้น
และได้เคลื่อนตัวเข้ามาสู่สังคมไทย
การเคลื่อนตัวครั้งนั้นมีทั้งการเคลื่อนตัวทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางความคิด
จึงได้เกิดคนอย่างเทียนวรรณขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ”
สุนัย อธิบาย เพิ่มเติมเพื่อให้ภาพยาวๆก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
พ.ศ.2475 ว่า
เคยมีกรณีหมอเหล็งที่ได้รับอิทธิพลมาจากเหตุการณ์ล้มราชวงศ์ชิงในประเทศจีน เมื่อ
ค.ศ. 1911 เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากที่ทำให้เกิดคนอย่างหมอเหล็งที่พยายามเลียนแบบหมอ
‘ซุนยัดเซ็น’ ดังนั้น
เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 จึงไม่ใช่เรื่องชิงสุกก่อนห้ามแต่เป็นเรื่องที่มีความเป็นมาสืบเนื่องเป็นลำดับ
แต่จะอธิบายอย่างไรในเมื่อ รัชกาลที่7 เองก็กำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ
สุนัย ตอบในกรณีนี้ว่า หากเป็นรัฐธรรมนูญ ของรัชกาลที่ 7 ก็คงไม่มี
ส.ส.นั่งอยู่ในสภา
“ในเวลานั้นที่ปรึกษาส่วนพระองค์คือ ฟานซิส บีแซร์
เป็นฝรั่งที่ให้คำแนะนำ มีบันทึกหลักการโดยเป็นรัฐธรรมนูญที่มี 10 กว่ามาตรา ส.ส.มาจากไหน มาจากในหลวงทรงแต่งตั้ง รัฐมนตรีมาจากไหน
มาจากในหลวงแต่งตั้ง ซึ่งจะถอดถอนใครอย่างไรก็ได้หมด
มันไม่ใช่โครงสร้างรัฐธรรมนูญอย่างนี้เลย
ก็แปลกใจกับคนที่เป็นอาจารย์ทางการเมืองโดยเฉพาะอาจารย์สถาบันพระปกเกล้า
หรือคนที่จบจากต่างประเทศ ทำไมกล้าทรยศกล้าบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ขนาดนั้น
แต่เสียงเขาดังกว่า เสียงของนายสุนัยไม่ดัง หรือเสียงของคนที่พูดสัจจะแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ดัง
เพราะถ้าเสียงดังมากติดตระราง”
สุนัย ยกตัวอย่างหนึ่งขึ้นมานั่นคือกรณีของ ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ประชาธิปไตย ว่า ก็คือคนหนึ่งที่พยายามตามหาวันชาติ 24 มิถุนายน ใช้เวลาตามหา 2 ปี ก็ถูกจับกุม
แม้ข้อกล่าวหาไม่ใช่เรื่องวันชาติแต่เป็นกรณี 112 แต่ก็นำไปสู่ผลกระทบทางความรู้สึกของผู้ที่ทำงานเคลื่อนไหวให้เกิดวันชาติ
24 มิถุนา และผลของสังคมที่ปกปิดประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง
สุดท้ายแล้วก็คือ ‘ความกลัว’ นั่นเอง
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าถ้าเราไม่เคารพความเป็นจริงแห่งประวัติศาสตร์นั้น
ประเทศชาติจะพัฒนายาก เพราะว่าความเข้าใจทางประวัติศาสตร์จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า
เราจะพัฒนาทางการเมืองกันอย่างไร
แต่เมื่อเราไม่เข้าใจบิดเบือนกันหมดหรือที่เรียกในสำนวนใหม่ว่า ‘ตอแหลแลนด์’ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมันก็สับสน
เกิดการตีกัน ไม่ยอมรับประชาธิปไตยกัน อ้างประชาธิปไตยกันไปคนละอย่าง
การอ้างคนละอย่างก็เกิดจากการปกปิดประวัติศาสตร์ 2475 มันเลยเกิดการทะเลาะกันเนื่องจากการไม่ยอมเปิดประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง
เมื่อเราเรียงหินขึ้นมาแล้วทุกคนบอกว่าหินนั้นไม่มี ดังนั้นจึงต้องมาหาเส้นใหม่ ก็เลยเกิดเส้นทางของการปกครองระบบใหม่ขึ้นมาซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าระบบไหน
“ในช่วงสมัยหนึ่ง
ผู้มีอำนาจได้เสนอให้รื้อตัวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้วย
เพราะอย่างนี้จึงต่อความไม่ถูก
เมื่อต่อความไม่ถูกจึงได้มีการสร้างระบบการปกครองใหม่ขึ้นมา
จึงได้เกิดการเมืองใหม่ขึ้นมา อย่าง 70:30 ตามความคิดของคุณสนธิ
ลิ้มทองกุล มันเกิดการเมืองใหม่ในแนวแปลกๆขึ้น เช่น ขณะนี้มีการร่างรัฐธรรมนูญ
มีคนส่วนหนึ่งบอกว่าการแต่งตั้งดี แต่ถ้าการแต่งตั้งดีจริง
ทำไมไม่แต่งตั้งทั้งสองสภาเลย
เหตุที่มีการแต่งตั้งแค่สภาเดียวเพราะโลกบอกว่ามันไปแบบนั้นไม่ได้แล้วจึงได้แต่งตั้ง
ส.ว. ครึ่งสภา เมื่อมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมดให้เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยที่สากลเขาเป็นกันก็บอกว่าสากลไม่ดี
แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าคัดค้านในกรรมาธิการวิสามัญ
“ผมเป็นกรรมาธิการวิสามัญแก้รัฐธรรมนูญอยู่ในหมวดการเลือกตั้ง
ส.ว. ทั้งหมดมาตรา 111 มาตรา 112 มาตรา
113 มาตรา 114 ปรากฏว่า แม้กระทั่ง ส.ว.แต่งตั้งเองยังไม่มีใครกล้าคัดค้านว่า
ถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญแล้วให้ ส.ว. แต่งตั้งคงมีอยู่เพียง
แต่มีคนบิดเบือนให้มีการเลือกตั้งแบบนั้นเลือกตั้งแบบนี้
เช่นให้ประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง
เพราะหวังว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะได้หาคะแนนสักกลุ่มหนึ่ง 5,000-10,000 คน ก็จะได้กลับมาเป็นส.ว.แล้ว
บางคนพยามยามบอกว่าต้องเลือกตั้งโดยจัดกลุ่มอาชีพใหม่เพื่อไม่ให้เป็นลูกหลานของส.ส.
นี่คือตัวอย่างความสับสนเพราะเราไม่ยอมรับประวัติศาสตร์พัฒนาการของมัน” ถึงตรงนี้ สุนัย ยังคงย้ำอีกครั้ง “การบิดเบือนประวัติศาสตร์ก็คือปัญหาของวิกฤติประชาธิปไตยในวันนี้”
“ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยอยู่ตรงนี้มันเป็นผลแห่งกรรม
ถ้าเราเป็นชาวพุทธต้องยอมรับผลแห่งกรรม ผลแห่งกรรมจากวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ที่มีการยึดอำนาจโดยพรรคการเมืองหนึ่งที่จับมือกับคณะทหารล้มกระบวนการพัฒนาของประชาธิปไตยทั้งหมด
ล้มรัฐบาลปรีดี พนมยงค์ โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์ของในหลวงราชการที่ 8 ที่บิดเบือนประวัติศาสตร์แล้วใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายคู่แข่งทางการเมือง”
“ผลแห่งกรรมของการกระทำนั้น
ส่วนหนึ่งคือการฟื้นอำนาจของระบบราชการ
โดยนัยหนึ่งก็คือทำระบบอำมาตย์ให้เข้มแข็งขึ้น แล้วใส่ร้ายให้ระบบการเลือกตั้งเป็นระบบที่เลวร้ายไปทั้งขบวน
ดังนั้นผลแห่งกรรมจึงได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายในวันนี้และไม่สามารถที่จะสร้างเอกภาพทางความคิดของประชาชนเพื่อให้ยอมรับระบบประชาธิปไตยที่พัฒนาการมากว่า
200 ปี
พิสูจน์ความถูกต้องมาแล้วแม้กระทั่งรัสเซียที่พยายามจะพลิกออกไปในระบบสังคมนิยมอีกแบบหนึ่งโดยการไม่ผ่านกระบวนการประชาธิปไตยเลยแต่เป็นไปไม่ได้
หรือจีนที่พยายามผ่านไปสู่ระบบคอมมิวนิสต์โดยไม่ผ่านประชาธิปไตยเลยก็เป็นไปไม่ได้”
สุนัย ได้เน้นว่า คำว่า ‘กระบวนการแบบประชาธิปไตย’
หมายถึง การปกครองแบบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม
การพยายามไม่ผ่านก็ไปไม่ได้
แต่สังคมไทยเป็นผลแห่งกรรมที่ไม่ยอมให้กระบวนการดังกล่าวผ่าน
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์แบบจีนหรือรัสเซีย
แต่เพราะไม่ยอมรับพัฒนาการของโลกหรือที่เรียกว่า ‘เสรีภาพส่วนบุคคล’
ซึ่งหัวใจที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตยคือปัจเจกชน เพราะในเรื่องดังกล่าวเราจะพูดกันได้หรือเราทะเลาะกันได้โดยอยู่บนพื้นฐานแห่งกฎหมาย
“วันนี้ยังมีหน้ากากขาวพร้อมที่จะล้มระบอบประชาธิปไตย
คนที่สนับสนุนการล้มประชาธิปไตยก็คือคนชุดเดิมไม่ใช่ชาวบ้าน
เป็นบุคคลสำคัญมีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ต่างๆโดยไม่ผิดกฎหมาย รูปแบบหน้ากากขาวหากไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยบอกว่าจะล้มประธานาธิบดี
จะล้มระบบ เขาถูกจับทันที แต่อำนาจของเราไม่ได้อยู่กับประชาชน เล่นอย่างนี้
เราจึงได้รับผลแห่งกรรมที่คนมีอำนาจกลุ่มหนึ่งกระทำการตั้งแต่ปี 2489
ปี2490 เป็นต้นมาถึงวันนี้
ปิดทุกอย่าง ปิดวันชาติ ปิดวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปิดบุคคลสำคัญ
หรือแม้แต่ไม่มีสัญลักษณ์ของคณะราษฎรอยู่ในสภาเลย
กระทั่งบางคนที่เป็นลูกของคณะราษฎร
เวลาหาเสียงเลือกตั้งยังไม่กล้าบอกว่าตนเองเป็นลูกของคณะราษฎร” ส.ส.สุนัยพูดถึงกรรมของการกระทำในอดีต
เราถามต่อไปว่าแล้วจะมีวิธี ‘แก้กรรม’ อย่างไร
สุนัย บอกว่า การแก้กรรมไม่ใช่การแก้เชือก
แต่ต้องรับอานิสงค์ผลแห่งกรรมไปสักระยะหนึ่ง จนกระทั่งบุญใหม่เพิ่มเข้ามา
แต่ศาสนาพุทธล้างบาปไม่ได้ บุญส่วนบุญบาปส่วนบาป บาปที่ได้สร้างมา
เราจึงได้รับผลกรรม ซึ่งเขาก็ยืนยันที่จะสวนกลับในสิ่งที่เชื่อว่า การทำงานอย่างหนักและยืนยันในเรื่องนี้ตลอดเวลาก็คือการต้องการสร้างเนื้อนาบุญใหม่ทางการเมืองให้แก่สังคม
“เนื่องจากผมกำลังกินเงินเดือนในตำแหน่ง ส.ส.
ก็ใช้เวลาทั้งหมดให้กับการสร้างการเมืองที่ถูกต้อง
ซึ่งการเมืองที่ถูกต้องไม่ได้บอกว่าดีหรือเลวแต่เป็นการเมืองที่ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ของมัน
ผมคนเดียวไปแก้กรรมทั้งระบบไม่ได้แต่ถือได้ว่าเราได้เติมเนื้อนาบุญลงไปในระบบเรื่อยๆให้คนตาสว่างให้คนเข้าใจปัญหามากขึ้น”
สิ่งนี้คงสะท้อนการทำงานและทัศนคติของ ส.ส. คนหนึ่งในรัฐสภาของเราณ
ขณะนี้ เมื่อเวลาเดินมาถึงคำถามสุดท้ายเราย้อนไปที่ ‘กรรมแรก’ เมื่อการเปลี่ยนแปลง พ.ศ. 2475 ก็คือการร่วมมือกันระหว่างกลุ่มปัญญาชนกับกลุ่มทหาร
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยที่เขาสังกัดก็มีบทเรียนจากการรัฐประหารโดยทหาร
หากมองย้อนกลับไป จำเป็นจริงหรือที่ทหารจะต้องเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลง
“ผลแห่งกรรมแห่งการกระทำนี้มันส่งผล” เขาตอบ “แต่วิวัฒนาการของสังคมได้ทำให้ประชาชนตาสว่างขึ้น
กระบวนการต่างๆแห่งการใช้หนี้กรรมกำลังจะจบแล้ว”
เมื่อใกล้จะจบ แล้วทหารจะจบด้วยหรือ สุนัย บอกว่า
การรัฐประหารโดยทหารได้หมดสิ้นไปแล้วอย่างชัดเจนที่สุดคือ การรัฐประหาร
พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534
ถือเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของทหารขุนศึก เป็นปลายน้ำของทหาร
แต่ว่ากำลังทหารยังถูกใช้อยู่
“การรัฐประหาร19 กันยายน 2549
ไม่ใช่เป็นการรัฐประหารของทหาร เพียงแต่ใช้กลไกทหารในการดำเนินการ
สังเกตชัดเจนที่สุดคือ ผู้นำทหารไม่ได้กระทำการรัฐประหารเพื่อตัวเอง
แต่ใช้กลไกลของระบบราชการหรืออีกนัยหนึ่งก็คือระบบราชการ
จึงได้เห็นผู้พิพากษาออกมานั่งกันเป็นแผง นี่คือยุคใหม่ของการรัฐประหาร
หรืออาจจะมีอีกครั้งแล้วจบ การรัฐประหารได้หมดสิ้นไป
เพราะความล้มเหลวของการรัฐประหารเป็นบทเรียนที่ทำให้ประชาชนมีความชัดว่าการรัฐประหารนั้นไม่ใช่คำตอบของทางออกจากปัญหา
ไม่มีการรัฐประหารครั้งใดที่นำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรื่อง”
สิ่งที่แตกต่างจากการจัดตั้งของประชาชน สุนัย บอกว่า
ทหารเป็นกลุ่มเดียวที่มีระบบการจัดตั้งเดียวที่มีเงินเดือน ไม่ว่าการจัดตั้งของกลุ่มเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง
เมื่อเป็นอย่างนี้การจัดตั้งของทหารจึงเข้มแข็งใช้ได้ในทันทีทันใด
แต่เหมือนกับไฟไหม้ฟางที่จบระยะสั้นสั้นๆ
“ที่สำคัญที่สุดของการรัฐประหารไม่ว่าจะโดยทหารหรือขุนนางอำมาตย์ต้องจบเพราะโลกไม่ได้มีเชื้อฟืนเหล่านี้ให้แล้ว
ในศตวรรษที่ 21 ก้าวเข้าสู่ความทันสมัย
เข้าสู่ความเป็นปัจเจก ใครปฏิเสธประชาธิปไตยที่ดำเนินอยู่มา 200 ปี เท่ากับปฏิเสธศาสนาใหม่ของมนุษย์นั้นเอง”
การใช้หนี้กรรมในยุคที่ปัจเจกชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆมากขึ้นพร้อมๆกับการ ‘ปกปิด’ ยังคงดำเนินต่อไป สุดท้ายแล้วคงเป็นสิ่งที่ ‘เรา’ ในฐานะประชาชนคงจะต้องกำหนดกันด้วยตัวเองเสียทีว่า เราอยากเห็น ‘ความจริง’ หรือไม่ และ ‘ปลายทาง’ ของเรื่องนี้ควรเป็นอย่างไรกันแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น