ข้อมูลจาก พระนครสาส์น
ในข้อเท็จจริง
ศัพท์คำว่า “เทคโนแครต” ไม่ได้สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวอะไร หาก “เทคโนแครต”
เหล่านั้นคือผู้ให้ความคิด ให้ปัญญา ชี้ทางออกให้กับสังคม
และนำหนทางไปสู่การพัฒนาประเทศและพัฒนาประชาธิปไตย !
…แต่ “เทคโนแครตไทย” ที่บางคน แสดงออกอย่างชัดเจนว่า “ปฏิเสธการยึดโยงกับประชาชน” วางตนเป็น “ปฏิปักษ์กับระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง” อันเป็นการทำลายระบบการคัดกรอง ตรวจสอบด้วยประชาชนอย่างชัดเจน อีกทั้งยังพยายามที่จะ “อาศัย” ภาวะวิกฤติบ้านเมืองและวิกฤติการเมือง เพื่อแสดงบทบาท โดยหวังจะเป็นการเปิดทางไปสู่อำนาจและเข้าสู่ตำแหน่ง หากเกิด “อุบัติเหตุทางการเมือง” … เหล่านี้ล้วน “น่าขยะแขยง” !!
โดยเว็บไซด์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI ( http://tdri.or.th/tdri-insight/snoh-technocrat ) ระบุถึง“เทคโนแครตไทย” ว่า “เสนาะ อูนากูล” เทคโนแครตคนสำคัญ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสำคัญดูแลงานทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย, เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตรองนายกรัฐมนตรี โดยมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจ-สังคม ในช่วง พ.ศ.2504-2535 และเป็นบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่ง ในช่วง “ยุคทอง” ของ “เทคโนแครต” คือช่วงสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และ “ยุคทอง” จบลงพร้อมกับการสิ้นสุดรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อปี 2531 และรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน เมื่อปี 2535
แต่ก็อย่างที่ได้นำเสนอมาแล้วในเรื่อง “ ไขปริศนา “ทายาทวีรวรรณ”แท๊คทีมม็อบกบฏ ล้ม ปชต.?เปิดบทวิพากษ์ “อำนวย ซุปเปอร์เทคโนแครตไทย”ไม่นิยมเลือกตั้ง แต่นิยมอำนาจ! ” ว่า การลาออกตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง” พร้อม “ล้างมือทางการเมือง” ของ “อำนวย วีรวรรณ” เมื่อปี 2540 ภายหลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศได้ เปรียบได้กับ “อวสานของเทคโนแครตไทย”
ซึ่ง “อวสานของเทคโนแครตไทย” ในปี 2540 นั้นมาจากหลายปัจจัย
ปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง ก็คือ ปัจจัยเรื่อง “ประชาธิปไตย” ที่ “รัฐธรรมนูญ 2540” ซึ่งมีเป้าประสงค์ที่จะส่งเสริมให้ประเทศมีความเป็น “ประชาธิปไตย” มากขึ้น ด้วยการเปิดโอกาสให้ “ประชาชน” ได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีความรู้และมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีโอกาสเข้าสู่การเมืองมากขึ้น ส่งผลให้ “เทคโนแครต” กลายเป็น “ส่วนเกิน” ของ “ระบอบประชาธิปไตย”
“เทคโนแครต” ส่วนหนึ่งพยายามปรับตัวเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยและผันตัวเองเข้าสู่ “สนามเลือกตั้ง” เสนอตัวเป็น “ทางเลือก” ให้กับประชาชน
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “เทคโนแครต” อีกส่วน ก็ “ไม่สามารถปรับตัวทางการเมือง” ให้มี “ที่ยืน” ในสังคมประชาธิปไตยได้เช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมาจึงได้เห็น “เทคโนแครต” บางส่วน แปลงกายเป็น “สัมภเวสีการเมือง” คอยหาจังหวะ ออกมาแสดงอภินิหาร อวดอุตริว่าเหนือปุถุชนคนทั่วไป ตามเวทีเสวนา เพื่อสร้างมูลค่า-ราคา ทางการเมือง ในการแสวงหาหนทาง-โอกาสเข้าสู่ “ตำแหน่ง-อำนาจ” ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุการเมือง ทั้งในรูปแบบของการ “รับเชิญ-เชื้อเชิญ-แต่งตั้ง” แบบที่ไม่จำเป็น” จะต้องผ่านการ “เลือกตั้ง” จากประชาชน!!
จาก “เทคโนแครตไทย” ที่มีชื่อเสียง-บทบาท ในช่วงที่ “ประเทศไทย” กำลังต้องการพัฒนา “ด้านเศรษฐกิจ” อย่างเร่งด่วน โดยอาศัยการอวดอ้างสรรพคุณและมาด “ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ-ธุรกิจ” เข้ามามีทรงอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายภาครัฐ ในช่วงกว่า 20 ปีที่แล้วนั้น
ตลอดระยะกว่า 8 ปีผ่านมา ซึ่งสังคมไทยต้องเผชิญ กับ “วิกฤตความขัดแย้ง” กลับพบว่า มีการระบาดของ “วิธีการ” แบบ “เทคโนเครซี่ไทย” จำนวนมาก โดยเฉพาะการมาในรูปแบบของการอ้างว่าเป็น “นักเคลื่อนไหวการเมือง-เอ็นจีโอ-ภาคประชาชน-ผู้ทรงคุณวุฒิ”
ทำให้ไม่เพียง “เทคโนแครต” บางกลุ่มที่ยังพยายาม “อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง” เพื่อสรรสร้างโอกาสเข้าสู่เส้นทางการเมืองเท่านั้น ที่พยายามวนเวียนหาหนทางเข้าสู่ “อำนาจรัฐ” แต่กลับพบว่ามี “นักต้มตุ๋นการเมือง” ที่ลอกเลียน “วิธีการ” แบบ “เทคโนเครซี่” ด้วยการอวดอ้าง “ความรู้-ความสามารถเกินจริง” เพิ่มมูลค่าและราคาในสังคม เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง ปะปนอยู่ด้วยอย่างแยกไม่ออก
ส่งผลให้ภาวะ “สังคม” ที่กำลังอ่อนแอจากความขัดแย้งที่รุนแรง ทั้ง “เทคโนแครต” และ “นักต้มตุ๋นทางการเมือง” ที่ลอกเลียน “วิธีการ” แบบ “เทคโนเครซี่” ขวักไขว่ไปเต็มหมดในสาระบบการเมืองไทย โดยเฉพาะในเวทีการชุมนุมทางการเมือง ต่างๆ รวมไปถึง “ม็อบ ปชป.”ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็มีให้เห็นแทบทุกวัน
ทำให้ แม้จะมีผู้เชื่อว่า “ยุคทอง” ของ “เทคโนแครตไทย” ชุดสุดท้าย ก็คือ ช่วง “รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน” เมื่อปี 2535 ที่เข้ามาครองอำนาจ “หลังเหตุการณ์ปฏิวัติ 2534” และ “หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
แต่ล่าสุด เมื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประกาศ โครงสร้าง “สภาประชาชน” ที่ประกอบไปด้วย สมาชิกไม่เกิน 400 คน
โดย “300 คน “มาจากการเลือกตั้งจากกลุ่มวิชาชีพ ซึ่งแท้ที่จริงก็คือการ “สรรหา” กันเองภายในกลุ่มคนเพียงกลุ่มหนึ่ง
และอีก “100 คน” มาจากการ “สรรหา” จากผู้ทรงคุณวุฒิ
ซึ่งเท่ากับว่า “สภาสุเทพ” กลายเป็น “สภาลากตั้งสมบูรณ์แบบ” 100 เปอร์เซ็นต์ !!!
จึงเป็น โอกาสที่ดีที่สุด ที่ “เทคโนแครต” ซึ่งไม่สามารถปรับตัวเข้ากับ “สังคมประชาธิปไตย” และ “นักต้มตุ๋นการเมือง” ที่ลอกเลียน “วิธีการ” แบบ “เทคโนเครซี่” จะเข้ามาจับจอง “พื้นที่การเมือง” มาเป็นของตัวเองครั้งใหญ่
เป็นการเข้ามาจับจอง ผ่านกระบวน “ลากตั้ง” ที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” นำเสนอ !
เป็นการเข้ามาจับจอง ผ่านกระบวนการ “เลือกกันเอง” ภายในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มตัวเอง !!
เป็นการเข้ามาจับจอง ผ่าน “สรรหา” ที่อ้างว่า ตัวเองเป็น “ผู้ทรงคุณวุฒิ” เหนือปุถุชนคนทั่วไป !!!
เพียงแต่ทั้งหมดนั้น “ไม่ได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง” , “ไม่ได้ผ่านการคัดครองตามระบอบประชาธิปไตย” และ “ไม่ได้ผ่านกระบวนการสร้างความยึดโยงกับประชาชน” !!!!
“สุเทพ เทือกสุบรรณ” หัวหน้าม็อบกบฏ ประกาศออกมาแล้วว่า จะพาพรรคพวกเดินสายพบ “ผู้ทรงคุณวุฒิ” เพื่อขอคำแนะนำในการก่อร่างสร้าง “สภาประชาชน” อาทิ “นายอานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “น.พ.ประเวศ วะสี” ราษฎรอาวุโส
โดยเฉพาะในรายของ “น.พ.ประเวศ วะสี” สุเทพ ถึงขั้นประกาศว่าจะ “เชิญ” เข้ามาเป็น “สมาชิกสภาประชาชน” ด้วยตัวเอง!!!
แบบฉบับ “ประชาธิปัตย์” ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน ก็ “วนกลับ” มาอาศัย “เทคโนแครตตัวพ่อ” ทั้งคู่ !!!
คนกันเอง-พวกเดียวกัน-ขุมข่ายเดิมๆ จึงไม่มีอะไรแปลกใหม่
สุดท้าย
หนทางหนีตายของ “กบฏ” ก็ไม่มีอะไรใหม่ … กลายเป็นแค่ หาหนทางคืนชีพให้
“เทคโนเครต” และ “เปิดช่อง” ให้ “นักต้มตุ๋นทางการเมือง” บนเวทีปราศรัยม็อบ ปชป.
เข้าสุ่วงจรอำนาจรัฐ !!!
ไม่เชื่อก็ลองดู เครือข่าย ปชป.-ประเวศ-อานันท์
ที่เคยนำเสนอมาแล้วดิ … แน่นปึ๊ก!! “เปิดขุมข่าย หมอชนบท
ส่องแบ๊คอัพ สามพรานฟอรั่ม…เบื้องหลังปฏิบัติการ หมอคลั่ง!!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น