โดย คิดดี พูดดี ทำดี ปรารถนาพุทธภูมิ
นำเสนอโดย Sunai Fan Club
ขอเป็นกำลังใจ
และสร้างกำลังใจร่วมกันและกัน
เห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามแล้ววิตกกังวล
แต่เมื่อฝ่ายเดียวกันเห็นต่างเคลื่อนไหวและโจมตีด่าทอซึ่งกันกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า
กลับเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องเป็นไปได้ คือ พรบ.นิรโทษกรรม
ระหว่างคนเสื้อแดงด้วยกันเอง หรือ คนเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งเวทีปราศรัยกล่าวโจมตีและด่าทอพวกเดียวกัน
หรือการรวมกลุ่มจัดม็อบต่อต้าน พรบ.นิรโทษกรรม และโจมตีพวกเดียวกัน
ใครจะมองว่าเป็นความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย หรือเป็นดอกไม้หลากสีก็ตาม
แต่ในยุทธวิธีทางทหารถือเป็นความอ่อนแอไม่มีเสถียรภาพ นำมาซึ่งความปราชัย
ในการรบ แม่ทัพมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาด
แต่ถ้าทหารบางส่วนไม่เห็นด้วย ซึ่งก็มีบางส่วนที่เห็นด้วย
แม่ทัพก็ต้องอธิบายชี้แจง
เมื่ออธิบายแล้วเขาก็ยังยืนกรานไม่เห็นด้วยแถมยังปลุกระดมทหารอื่นให้คล้อยตาม
ทำให้กองทัพแตกแยกไม่มีเอกภาพขาดระเบียบวินัย แม่ทัพที่มองเห็นภัยอาจแพ้ข้าศึก
จึงจำเป็นต้องลงโทษทหารผู้นั้น
อย่างไรก็ตาม
เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การต่อสู้ในสนามรบ เป็นแค่ความเห็นต่างทางความคิด
เพราะทุกฝ่ายต่างมีเจตนาดีและหวังดี เพียงแต่มุมมองไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่ถ้าความเห็นคนส่วนใหญ่ไปทางไหนก็ควรยอมรับ
และปรับความเห็นให้เข้ากันเพื่อไปสู่เป้าหมายหลักแม้จะต้องเสียสละบ้าง
หรือแม้จะอยู่ในสนามรบจริงก็ตาม แม่ทัพก็ไม่ควรตัดสินประหารชีวิตทหาร
ควรจะลงภาคทัณฑ์ เพราะจะทำให้เสียทหารที่มีฝือมือ
ผมเคยได้ยินว่า นปช. ดำเนินยุทธศาสตร์ 2 ขา กับพรรคเพื่อไทย
แต่ขณะนี้ขาทั้งสองข้างไม่สามัคคีกัน เดินไปคนละทางแม้ว่าจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
ทำให้ไม่สามารถเดินไปไหนได้เพราะถ่วงเตะกันไปมา บางครั้งก็สะดุดขาตัวเองล้มลง
นับประสาอะไรจะไปสู้กับข้าศึก แม้จะวิ่งหนีก็วิ่งไม่ได้
คนเสื้อแดงนั้น
เดิมส่วนมากแล้วก็คือคนที่เลือกพรรคไทยรักไทย หรือเคยเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย
อาจเป็นกลุ่มหัวคะแนน สส. พรรคเพื่อไทย ซึ่งได้ออกมาต่อต้านรัฐประหาร
และภายหลังได้กลายเป็นคนเสื้อแดง จะว่าไปแล้วหัวคะแนน หรือ สส.
ในพื้นที่ยังมีอิทธิพล แม้ว่าจะมีแกนนำเสื้อแดงในทุกระดับ
ดูได้จากการระดมคนเมื่อครั้งที่สนามราชมังคลาฯ และจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการเกณฑ์คนครั้งใหญ่ๆนั้น
สส. พรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
วัฒนธรรมการปราศรัยทางการเมือง
กับวัฒนธรรมการประชุมหรือสัมมนาในห้องประชุมนั้นต่างกัน การปราศรัยนั้น
มีทั้งให้ความรู้ ให้ข้อมูลเท็จบ้างจริงบ้าง
มีทั้งการพูดโน้มน้าวให้ผู้ฟังคล้อยตามและเกิดอารมณ์ร่วม
แม้ว่าผู้ฟังจะมีความเห็นต่างแต่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะแสดงออก
หรือถ้าเสนอความคิดเห็นต่าง ก็จะกลายเป็นคนละพวกไปทันที และก็จะถูกควบคุมตัว
ซึ่งถือเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ยิ่งกว่านั้น แกนนำกลุ่มต่างๆ
มักมีผู้ที่นิยมยอมรับนับถือหรือที่เรียกว่าแม่ยก ถ้าแกนนำพูดอะไรแม่ยกก็มักจะเชื่อและคล้อยตามเสมอ
จึงไม่แปลกถ้าแกนนำในกลุ่มต่างๆมีความเห็นต่างกัน
หรือระหว่างองค์กรมีความเห็นต่างกัน ก็จะทำให้บริวารหรือแม่ยกของแกนนำกลุ่มต่างๆ
หรือองค์กรต่างๆมีความเห็นต่าง และนำมาซึ่งความขัดแย้ง ดังนั้น
แกนนำจึงมีบทบาทสำคัญในการใช้เหตุผลอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจ
และคล้อยตามเชื่อในสิ่งที่พูด
ผู้ชุมนุมหรือผู้ฟังนั้น
ก็มีหลายระดับทางสติปัญญา
มีทั้งประเภทเมื่อแกนนำพูดอะไรออกมาแล้วก็เห็นดีเห็นงามเชื่อไปทั้งหมด
คือประเภทล้างสมองง่าย และเมื่อมีใครเห็นต่างก็จะต่อต้าน
กับอีกประเภทหนึ่งฟังแล้วเชื่อ แต่ถ้าใครมีเหตุผลที่ดีกว่ามาหักล้าง
เขาก็จะพิจารณาด้วยตัวเขาเองว่าเหตุผลใครดีกว่า
(เรื่องผู้ชุมนุม
แม่ยกหรือบริวารนี้เป็นข้อสังเกต) บทความนี้ถ้าจะมีความชอบ
ก็ขอให้ท่านทั้งหลายรับไว้เถิด ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น