คอลัมน์ การเมือง มติชน 27
ก.ค. 2556
ปัญหาการวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นกองกำลังของขบวนการก่อความไม่สงบในห้วงแห่งเดือนรอมฎอน
ทำให้ประเด็นแหลมคม ว่าด้วย "การเมืองนำการทหาร"
หวนกลับมาอีกวาระหนึ่ง
คล้ายกับว่า
เมื่อผ่านสงครามกลางเมือง เมื่อมีการประกาศใช้คำสั่ง 66/23
เรื่องการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์
ความเข้าใจในเรื่อง "การเมืองนำการทหาร"
จะเป็นเรื่องเล็กจ้อย
นายทหารตั้งแต่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผ่านมาถึง
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
ล้วนมีความเข้าใจในแนวคิดนี้อย่างถ่องถ้วน
ไล่ระดับมาจนถึง พล.อ.บุญเลิศ
แก้วประสิทธิ์
แต่เมื่อสัมผัสกับการเคลื่อนไหว "แช่แข็ง" ประเทศไทย
ประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวเพื่อฉีกหน้ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่
ก็เริ่มสงสัย
เหมือนความสงสัยต่อความรับรู้ทางการเมืองของ
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เหมือนความสงสัยต่อความรับรู้ทางการเมืองของ พล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์
เข้าใจ "การเมือง" นำ "การทหาร"
จริงหรือ
หากใครได้อ่านหนังสือเรื่อง
"กำเนิดและความเปราะบางของเสรีประชาธิปไตย" อันเป็นงานวิจัยของ ดร.สมเกียรติ
วันทะนะ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
จะทำให้รับรู้ถึงพัฒนาการ "การเมือง"
ได้ลึกยิ่งขึ้น
รับรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางการทหาร
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การทหาร
หนีไม่พ้นไปจากกระบวนการทางเศรษฐกิจ
บทบาทที่ไม่ควรมองข้าม คือ บทบาทของ นโปเลียน
โบนาปาร์ต
ผู้คนมักเข้าใจภาพลักษณ์ของนโปเลียนทางด้านนักการทหาร
และภาพลักษณ์ของการเป็นจอมเผด็จการ
แต่หารู้ไม่ว่า นโปเลียน
เข้าใจบทบาทการเมือง
การทหารอย่างแนบแน่น
นโปเลียนอาศัยพัฒนาการของเทคโนโลยีด้านปืนใหญ่ปรับเข้ากับยุทธวิธีรวมศูนย์การยิงไปยังจุดเปราะบางข้าศึก
กำชัยครั้งแล้วครั้งเล่า
กระนั้น
การทหารกับการเมืองของนโปเลียนดำเนินไปอย่างเป็นองค์เอกภาพ
นั่นก็คือ
อาศัยการทหารไปแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง ขณะเดียวกัน
อาศัยการทหารเป็นเครื่องมือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
และสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม
คำถามอยู่ที่ว่า
การเมืองกับการทหารอะไรคือด้านหลัก
ต้องเริ่มต้นจากนิยามของเคลาซวิทซ์ที่ว่า
สงครามคือความต่อเนื่องของการเมือง เป็นการเมืองที่หลั่งเลือด
จึงจะตอบคำถามระหว่างการเมืองกับการทหารได้ว่าอะไรคือด้านหลัก
อะไรคือด้านรอง
แน่นอน ในบางระยะการเมืองอาจเป็นด้านหลัก
ในบางระยะการทหารอาจเป็นด้านหลัก
กระนั้น
หากมองตามความเป็นจริงไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทางการเมือง
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ทางการทหารล้วนเป็นการดำเนินไปแห่งกระบวนการทางการเมืองมิใช่หรือ
เพราะว่า
สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด
แม้ว่าขีดความขัดแย้งทางการเมืองมิอาจบริหารจัดการได้โดยวิธีการทางสันติ
จำเป็นต้องใช้กำลัง จำเป็นต้องใช้อาวุธ นั่นก็คือ
ก้าวเข้าสู่พรมแดนของการเมืองหลั่งเลือด
การเมืองที่มีการตั้งปากกระบอกปืนเข้าหากัน
แต่ที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาดก็คือ
การเมืองอันหลั่งเลือดนั้นก็ยังถือว่าเป็น
พรมแดนของการเมืองอยู่นั่นเอง
กระบวน
การทั้งหลั่งเลือด
ทั้งไม่หลั่งเลือดจึงยังคงถูกกำกับอยู่ด้วยหลักทางการเมืองอย่างแนบแน่น
การเมืองต่างหากที่เป็นปัจจัยหลักตั้งแต่ต้นจนจบ
เพียงแต่จะยึดกุมอย่างไรจึงจะถือว่าไม่ละเมิดหลักการที่การเมืองนำการทหาร
การทหารมีการเมืองเป็นธงกำกับ
หากยึดกุมได้ก็จะรบที่ไหนชนะที่นั่น
ความเป็นเหตุ
ความเป็นปัจจัยระหว่างการเมืองกับการทหารจึงดำเนินไปอย่างเป็นองค์เอกภาพ
องค์เอกภาพนั้นในบางห้วงการเมืองอาจเป็นปัจจัยหลัก
บางห้วงการทหารอาจเป็นปัจจัยหลัก
แต่ที่ซึมซ่านอยู่โดยตลอดคือการไม่ทอดทิ้งธงทางการเมือง
การกุมเหตุ กุมปัจจัย จึงสำคัญอย่างยิ่งยวด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น