โดย พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์
ท่ามกลาง ดราม่าเรื่องข้าว ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
นับเนื่องมาตั้งแต่เรื่องของข้อถกเถียงจากเรื่องจำนำข้าว มาจนถึง
ข้าวเน่า-หนูตาย-แก๊งล้มข้าว-และการรมยาในข้าวนั้น
ผมกลับรู้สึกดีใจที่สังคมนี้ให้ความสนใจกับเรื่องของข้าวและเศรษฐกิจการเมืองเรื่องข้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนหนึ่งของความดีใจก็เพราะว่า
เรื่องข้าวและชาวนาจะได้กลายเป็นเรื่องที่กลับมาเป็นที่สนใจมากขึ้น
จากเดิมซึ่งขาดหายไปนานมากนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศนี้ในช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งที่การศึกษาและการเมืองของเรื่องชนบท ข้าว และชาวนา
นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากในสังคมไทยนับจากอดีตเป็นต้นมา
ในอดีตนั้นเรื่องราวของเศรษฐกิจการเมืองเรื่องชาวนานั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของการเมืองและรัฐเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อมีการพูดถึง "ขบวนการชาวนา"
ในฐานะที่มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องของการต่อสู้
เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช
หรือการเปลี่ยนแปลงประเทศในโลกที่สามไปสู่สังคมนิยม
อย่างน้อยในสังคมไทยเองนั้น
เรื่องราวของข้าว ชาวนา และ การผูกโครงสร้างอำนาจกับนา
นั้นก็มีให้รับทราบอยู่ทั่วไป ทั้งในชื่อของอาณาจักรอย่าง ล้านนา
และระบบเหมืองฝายต่างๆ หรือกระทั่งระบบที่เรียกว่า ศักดินา
ที่ผูกพันอำนาจกับเรื่องราวของที่ดิน การปลูกข้าว
และการควบคุมกำลังคนรวมทั้งระบบการจัดสรรอำนาจต่างๆ
(แม้จะมีข้อถกเถียงกันอยู่เสมอว่าตกลงเรามีที่ดินเยอะขนาดนั้นจริงหรือ?
แต่อย่างน้อยการเรียกกษัตริย์ว่า พระเจ้าแผ่นดิน
นั้นก็เกี่ยวข้องกับสังคมเกษตรกรรมในแบบที่อิงกับการปลูกข้าวเสมอ
ยิ่งสมัยเดิมก็ชัดเจนอยู่ว่าข้าวเป็นสิ่งที่ห้ามส่งออกก่อนยุคสนธิสัญญาบาวริ่งอีกต่างหาก)
นอกจากนี้แล้วในยุคอดีตนั้นจะพบว่า
การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจไทยและรัฐ-สังคมไทยนั้นเกี่ยวพันกับการขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับข้าวและชาวนา
เมื่อสังคมเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
ดังที่งานวิชาการอย่างงานเศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯของ อาจารย์ผาสุก
และอาจารย์คริส เบเกอร์
ชี้ให้เห็นพลังขับเคลื่อนสำคัญนอกเหนือจากรัฐ/กษัตริย์/ขุนนางเอง ก็คือ การ สร้าง
และขับเคลื่อนพลังชาวนาในชนบท และ พลังกรรมกร (จากจีนอพยพ) ในเมือง
ที่ทำให้พลวัตรของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมไทย
เห็นได้ชัดจากปลดปล่อยพลังในชนบทจากโครงสร้างศักดินา
และระบบโครงสร้างคูคลองสมัยใหม่ เพื่อเสริมกำลังการผลิตในเรื่องข้าว
และการจัดระบบคนจีนอพยพที่ขับเคลื่อนแรงงานในเมือง
อันเป็นการก่อร่างสร้างประเทศที่สำคัญก่อนที่จะเป็นเศรษฐกิจการเมืองสมัยใหม่จนถึงวันนี้
หรืออย่างสิ่งที่ชัดเจนอีกประการหนึ่งก็คือ
เราจะเห็นถึงจุดเปลี่ยนแปลงสังคมสำคัญจากพลังของชาวนาและเศรษฐกิจการเมืองเรื่องข้าว
มาตั้งแต่อดีต นับตั้งแต่การสำรวจชนบทของไทยก่อนจะมีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง
2475 หรือจำนวนฎีกาที่เพิ่มขึ้นของชาวนาต่อองค์พระปกเกล้าฯ
และกระทั่งข้อกล่าวหาของคณะราษฎรในประเด็นของ การทำนาบนหลังคน
ในแถลงการณ์คณะราษฎรฉบับที่หนึ่ง
มิพักต้องพูดถึงโครงการจัดการจำกัดการถือครองที่ดินที่เผชิญการต่อต้านอย่างหนักในเค้าโครงเศรษฐกิจฯของนายปรีดี
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
นอกจากนั้นเรายังต้องตั้งหลักกับเรื่องสำคัญอีกประการกนึ่งก็คือ
การดำรงอยู่ของรัฐและเศรษฐกิจของไทยในอดีตนั้นจะต้องอยู่ให้ได้ภายใต้การจัดยึดครองจิตใจของชาวนาเป็นที่สำคัญ
ดังที่เห็นจากการขับเคลื่อนขบวนการคอมมิวนิสต์เองนั้น
หัวใจสำคัญของการต่อสู้ในแบบป่าล้อมเมือง และการต่อสู้ที่ได้รับแรงสนับสนุนจากจีน
และสงครามปลดแอกทั่วโลกในประเทศโลกที่สาม รวมทั้งไทยด้วยก็คือ
การยึดกุมจิตใจของชาวนา
และการทำความเข้าใจโครงสร้างความเชื่อมโยงของชาวนากับเศรษฐกิจโลก
นับเนื่องมาตั้งแต่ยุคที่เพลง
เปิบข้าว ของจิตร ภูมิศักดิ์ ร้องกันอย่างติดปากในขบวนการนักศึกษา
หรือในยุคที่สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย
นั้นมีอิทธิพลสำคัญต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง สามประสาน ร่วมกับขบวนการนักศึกษา
และ กรรมกร
อย่างไรก็ตาม
ความสนใจที่เรามีต่อเรื่องของชาวนาและเศรษฐกิจการเมืองเรื่องข้าวนั้นดูจะลดลงไป
อย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อสักยี่สิบกว่าปีก่อน
อย่างน้อยนับเนื่องมาจากเมื่อสังคมไทยเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ
ที่เกิดการพัฒนาชนบทอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการพัฒนามากมายในชนบท
และการส่งเสริมให้เกิดการเลือกตั้งที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
(ผมเคยอภิปรายเรื่องเหล่านี้ไว้ในบทความปริทัศน์เรื่อง
ความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจกับการเมืองในการเปลี่ยนแปลงของสังคมเกษตร
และขบวนการชาวนาในสังคมไทยปัจจุบัน : ข้อสังเกตเชิงวิพากษ์
ในวารสารฟ้าเดียวกันฉบับแรกเมื่อปี 2546)
ยิ่งเมื่อการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไป มาจนเข้าสู่ยุคที่เรียกว่าธนาธิปไตย
และนับเนื่องมาจนถึงการปฏิรูปการเมือง
เราจะเห็นว่าจุดสนใจของการเมืองไทยนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
และทำให้เห็นตัวแสดงใหม่ๆในการเมืองไทย อย่างน้อยในสามด้าน คือ ชนชั้นกลางในเมือง
และ ชาวบ้านในชนบท โดยที่ในเรื่องชาวบ้านในชนบทนั้น
เกิดการสร้างภาพที่น่าสนใจออกมาเป็นสองด้าน
หนึ่งคือ
กลุ่มคนที่ได้รับความสนใจอย่างมากผ่านวาทกรรม ชาวบ้าน
ที่ได้รับผลกระทบจากโลกาภิวัตน์ และโครงการพัฒนา
ที่กลายเป็นข้ออ้างและกำลังขับเคลื่อนใน การเมืองภาคประชาชน และ
การเมืองแบบประชาสังคม สอดประสานกับพลังก้าวหน้า (ใหม่) ของสังคมอาทิ เอ็นจีโอ
และขบวนการต้านโลกาภิวัฒน์ต่างๆ รวมทั้งสมัชชาคนจน
กับกลุ่มคนที่มีจำนวนมาก
แต่เหมือนกับถูกละเลยทางทฤษฎีมาเป็นเวลานาน นั่นคือ ชาวบ้านปกติ
หรือชาวนาเดิมนั่นแหละครับ
โดยคนเหล่านั้นถูกมองว่าได้รับประโยชน์จากโครงสร้างการเมืองอุปถัมภ์
ที่แปลงตัวเองมาสู่ระบบเลือกตั้ง
และระบบสนับสนุนจากโครงสร้างของรัฐที่หมกมุ่นกับการพัฒนามาโดยตลอด
พวกหลังนี่แหละที่เมื่อเกิดการพรากอำนาจของเขาไปหลังจากการทำรัฐประหารเมื่อปี
49 จึง กลายเป็นไพร่
ในวาทกรรมใหม่ที่นักวิชาการจำนวยหนึ่งเกิดอาการตื่นตาตื่นใจจนถึงกับทำวิจัยกันอย่างอึกทึกครึกโครมในช่วงที่ผ่านมา
ว่าคนเสื้อแดงพวกนี้เป็นใคร มาจากไหนกันแน่
ถ้าอภิปรายเพิ่มเติมในเรื่องนี้ต่อไปอีกสักหน่อย ก็จะพบว่า
ชาวบ้านที่ดูจะอยู่ภายใต้ระบบการเมืองประชาธิปไตยเลือกตั้ง
และโลกาภิวัตน์ที่พอจะต่อรองได้ผ่านการต่อรองกับกลไกการเมือง
ที่เกี่ยวเนื่องกับนโยบาย เอาใจชาวบ้าน นั้นดูจะเป็นที่รังเกียจของพวก
การเมืองใหม่ มาโดยตลอด แต่อย่างน้อยเมื่อระบบประชาธิปไตยเลือกตั้ง
และทุนนิยมเสรีโลกาภิวัตน์ ดำเนินต่อไป
การศึกษาเรื่องการเศรษฐกิจการเมืองในชนบทจึงไม่ค่อยเป็นเรื่องน่าสนใจมากไปกว่า
การศึกษาเรื่องของการซื้อเสียงที่ซับซ้อน
และระบบเจ้าพ่อที่แผ่ขยายอิทธิพลไปทั่ว
จนกระทั่งเมื่อการต่อต้านการรัฐประหารมีมากขึ้น
และการเมืองเสื้อแดงขยายตัวนั่นแหละครับ
การพยายามจะลดทอนอำนาจของชาวบ้านกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในขบวนของประชาสังคมจึงมีมากขึ้น
และดูเหมือนว่าการเมืองบนท้องถนนในแบบที่ต่อต้านการรัฐประหารจะถูกลดทอนคุณค่าลง
ทั้งที่การเมืองแบบนี้กลายเป็นพื้นที่และกิจกรรมการเมืองของคนตัวเล็กตัวน้อยที่มีจำนวนมาก
ซึ่งถูกกันจากระบบประชาธิปไตยเลือกตั้งที่ถูกพรากไปหมาดๆ
และตกขบวนประชาธิปไตยอุดมคติแบบประชาสังคมที่ได้ดิบได้ดีกับการรัฐประหารและกระแสปฏิรูป
(สิ่งนี้คือ สังคมของการเมือง (โดยแท้) political society ซึ่ง Chaterjee ในงาน
Politics of the Governed วิจารณ์พวกสำนักคิดประชาสังคม (civil society) ไว้นานแล้ว
และผมได้นำมาเป็นแรงบันดาลใจในงาน การเมืองของไพร่ ตั้งแต่ปี 2550)
และหลังจากการ กระชับพื้นที่ ในปี 2553
เราก็จะพบกับการส่งอำนาจต่อให้กับคณะกรรมการปฏิรูปต่างๆ
เพื่อชี้ให้เห็นถึงจุดอ่อนของการเมืองอุปถัมภ์และเลือกตั้งที่เป็นอยู่
รวมทั้งความเฟื่องฟูของขบวนการ สินค้าศีลธรรม ต่างๆท่ามกลางกระแสการต่อต้าน
ทุน(นิยม)สามานย์ ในรูปแบบต่างๆ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้
สิ่งที่กลายเป็นสนามการต่อสู้สำคัญเรื่องของเศรษฐกิจการเมืองเรื่องข้าวและชาวนานั้น
ก็มาเป็นเรื่องของการจำนำข้าว และกระแสข้าวเน่า
ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ข้อกล่าวหาถึงความผิดพลาดในการกำหนดนโยบายที่ทำให้เกิดการขาดทุน
เกิดการซื้อเสียงทางนโยบาย เกิดการคอร์รัปชั่น และการไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
(อาทิจัดเก็บไม่ดีและรมยาเกินขนาด)
จากการรบรอบที่หนึ่งที่อิงกับเรื่องนโยบายราคา
ซึ่งท้ายที่สุดก็ยังมีการตรึงราคาจำนำข้าวเอาไว้ได้ที่ราคาเดิมไปอีกระยะหนึ่ง
เพราะความเป็น ชาวนา นั้นทรงพลังเกินกว่าที่จะ ละเลย ทางนโยบาย
และการเมืองในท้ายที่สุด (แม้ว่าการเมืองของชาวนาจะหายไปนานแล้ว
แต่ต้องไม่ลืมว่าเรื่องนี้มีพลวัตรสูง เพราะกระแสการ กลับไปเป็นชาวนา (อีกครั้ง)
นั้นมีอยู่มาก และจากความเข้าใจจริงที่ว่า ชาวนา
นั้นเป็นเพียงบทบาทหนึ่งของผู้คนในทางเศรษฐกิจ ที่ซับซ้อนยิ่งในวันนี้
เพราะในแต่ละครัวเรือนนั้นมีรายได้ที่มามากกว่าหนึ่งทาง
หรือมากกว่าจากการเป็นชาวนาเท่านั้น ดังนั้น
เราจึงตอบไม่ได้ว่าชาวนาในวันนี้เป็นชาวนาจากอดีต หรือเป็นชาวนาที่แท้
แต่เราตอบได้ว่าชาวนาในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางเศรษฐกิจสังคมและการเมืองของชนบทที่มีพลวัตรสูงต่างหาก)
และการรบรอบที่สองนั้นเปลี่ยนจากเรื่องของการต่อสู้กับผู้ผลิต
หรือชาวนามาสู่เรื่องของการโจมตีรัฐบาลในฐานะผู้บริโภคในกรณีข้าวเน่า
ซึ่งในทางหนึ่งนั้นเหมือนกับจะทรงพลังและเห็นภาพได้ชัดกว่า และสื่อสารได้ง่ายกว่า
แต่สิ่งที่ท้าทายมากขึ้นก็คือ แม้ว่างานนี้จะสงบศึกกับ (การเมืองแบบ)
ชาวนาที่มีพลังและปริมาณมหาศาล เพราะถูกปลุกขึ้นมาทั้งจากนโยบายเอง และจากอคติเมือง
(urban bias) แล้ว
แต่สิ่งที่จะต้องเจอก็คือการลากเอาบริษัทข้าวต่างๆเข้ามาเล่นเกมฟ้องร้องทางกฎหมายโดยตรงเข้าด้วย
และยังโยกคลอนสายสัมพันธ์ที่กระชับแน่นของชาวนาและรัฐบาลไม่ได้
ยิ่งในวันนี้แม้ว่าการเมืองของชาวนา
จะไม่ได้ออกมาในรูปแบบของ ขบวนการชาวนา อีกต่อไป
จนทำให้เราอาจลืมไปว่าการเมืองนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องของขบวนการเท่านั้น
แต่เราจะพบว่า ความเป็นชาวนา อาจไม่ได้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นจากการทำความเข้าใจง่ายๆ
เชิงปริมาณว่ามีคนทำนามากขึ้นหรือน้อยลง เมื่อเทียบกับภาคการผลิตอื่นๆ
แต่อาจจะต้องทำความเข้าใจถึงความเท่าทวีคูณทางอัตลักษณ์ (multiple identities)
ของความเป็นชาวนา/ชนบท/ไพร่
ที่กระจายไปในคนจำนวนมากที่เชื่อมโยงตัวเองเข้าด้วยกันทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง
และสังคมในวันนี้
และนั่นคือสิ่งที่ตอกย้ำว่า ในท้ายที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งที่คนที่เรียนเรื่องเศรษฐกิจการเมืองเรื่องข้าวและชาวนาเขาศึกษากันมานาน
แต่มักไม่ค่อยพูดก็คือเรื่องของ อคติเมือง ที่ต้องการให้สินค้าเกษตรนั้นราคาถูก
และการเมืองของชาวนานั้นไร้พลัง นั้นเอาเข้าจริงอาจจะอ่อนแรงลงจากการถูกท้าท้าย
เพราะไปท้าทายและไปร่วมปลุกพลังของชาวนาและเศรษฐกิจการเมืองเรื่องข้าวขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นแหละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น