ในภาวะการรัฐประหารยึดอำนาจของทหาร กลุ่มทุนผูกขาด โดยเฉพาะผูกขาดทางการเกษตรและผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น ซีพี , สหพัฒนพิบูลย์ ,เบียร์สิงห์ และเบียร์ช้าง จะมีความใกล้ชิดกับอำมาตย์ใหญ่ และกองทัพไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดแสดงออกอย่างเปิดเผยที่ลงขันสนับสนุนการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป
โดย นายวิจัย ใจภักดี
ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่กลุ่มทุนท้องถิ่นผู้ผูกขาดสินค้าทางการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตระกูลเป็นชาวจีนอพยพได้ประสานผลประโยชน์เข้ากับชนชั้นขุนนาง และพัฒนากลายเป็นทุนผูกขาด แล้วสูบกินพี่น้องประชาชนไทย
โดยหลอกลวงว่าเป็นคนชาติเดียวกัน และใช้ความเป็นชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ทำการผูกขาด และขัดขวางการขยายตัวของทุนสมัยใหม่ และทุนต่างชาติไม่ให้นำเสนอทางเลือกใหม่ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อประชาชน ด้วยการหลอกลวงว่า ทุนต่างชาติจะทำให้ไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ และคนไทยควรจะใช้ชีวิตแบบพอเพียง
ในขณะที่พวกเขาตักตวงความสุขจากสารพัดเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเสพสุขในชีวิตประจำวัน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทำให้พวกเขามีอายุยืนยาว แต่ชาวบ้านกลับมีชีวิตสั้น เพราะเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการแพทย์
กลุ่มทุนท้องถิ่นขนาดใหญ่ในปัจจุบันได้แสดงตนเป็นกลุ่มทุนผูกขาดและต่อต้านโลกาภิวัฒน์โดยสมบูรณ์แล้ว
พวกเขารู้ดีว่า กระแสโลกาภิวัฒน์กำลังบั่นทอนอำนาจผูกขาดทางเศรษฐกิจในประเทศไทยของพวกเขา และสุดท้ายจะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจทางการเมือง
แต่นับวันการปิดประตูผูกขาดขูดรีดประชาชนภายในประเทศไทย ก็ได้สร้างภาวะวิกฤติการดำรงชีวิตของประชาชนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เกิดมหาวิกฤตอุทกภัยในขณะนี้ ก็ยิ่งเปิดโปงความเลวร้ายของกลุ่มทุนขุนนางท้องถิ่นว่า เนื้อแท้แล้วชาติเป็นเรื่องหลอกลวงแต่ผลกำไรเป็นเรื่องจริง
ตัวอย่างการฉวยโอกาสกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อขึ้นราคาเช่น ไข่ไก่ และบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่จำเป็นเพราะสะดวกที่สุดในการบริโภคในภาวะฉุกเฉินของการเกิดอุทกภัยที่พอประทังชีวิตได้
และเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแก้ปัญหาการขาดแคลน ด้วยการนำเข้าจากต่างประเทศ พวกเขาก็ประสานเสียงร้องคัดค้านอ้างกฎหมายว่าจะก่อให้เกิดการแพร่ขยายเชื้อโรคที่ติดมากับไข่
ส่วนกรณีเส้นบะหมี่สำเร็จรูปจากต่างประเทศก็อ้างว่าไม่ได้ผ่าน อย. อาจจะด้อยคุณภาพ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค นำเข้าไม่ได้เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
ลองมองย้อนหลังกลับไปไม่ถึงปีที่ผ่านมาที่ไทยต้องประสบกับภาวะไข่แพงในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในฐานะรัฐบาลหุ่นเชิดของขุนนางที่ตั้งขึ้นมาการจากอุ้มชูของทหาร แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแก้ปัญหาโดยตรงด้วยการนำเข้าไข่ไก่ แต่นายอภิสิทธิ์กลับแก้ปัญหาด้วยการสั่งแม่ไก่นำเข้าเพื่อนำมาออกไข่
พวกกลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรกลับนิ่งเฉย ไม่มีการพูดถึงเชื้อโรคที่มากับไก่ ทั้งๆที่แม่ไก่น่าจะเป็นพาหะนำเชื้อโรคมากกว่าไข่
และว่ากันจริงๆแล้ว หน่วยงานที่ควบคุมคุณภาพอาหารเส้นบะหมี่สำเร็จรูปในญี่ปุ่น และไต้หวันที่จะนำเข้ามา ก็น่าจะมีคุณภาพสูงกว่าประเทศไทยเสียด้วย แต่กลุ่มทุนขุนนางท้องถิ่นก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง
จึงเห็นชัดเจนว่า โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาเป็นกลุ่มทุนอิทธิพลผูกขาดตัวจริง ที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลในฐานะเป็นกลุ่มทุนขุนนางที่ได้รับการคุ้มครองจากอำนาจนอกระบบ ที่เป็นอำนาจจริงของประเทศไทย
และที่เลวร้ายที่สุดก็คือเป็นกลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตร ที่ครอบงำการเจริญเติบโตของเกษตรกรไทยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
เราจะยิ่งเห็นชัดทั้งในภาวะปกติ และในภาวะการรัฐประหารยึดอำนาจของทหาร กลุ่มทุนผูกขาด โดยเฉพาะผูกขาดทางการเกษตรและผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น ซีพี , สหพัฒนพิบูลย์ ,เบียร์สิงห์ และเบียร์ช้าง จะมีความใกล้ชิดกับอำมาตย์ใหญ่ และกองทัพไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดแสดงออกอย่างเปิดเผยที่ลงขันสนับสนุนการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป
หากใครจะได้ติดตามการพัฒนาเปิดเสรีทางการค้าของกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นพลังแห่งโลกาภิวัฒน์ ก็จะเห็นชัดเจนว่า กลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรในประเทศไทยที่ผูกขาดการเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา และผูกขาดเมล็ดพันธุ์ เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดกลุ่มหนึ่งอย่างแท้จริง
ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ขอสงวนการเปิดเสรีทางการลงทุนใน 25 รายการ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการปิดกั้นการลงทุนด้านการเกษตร
ในวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การลงทุนจากต่างประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างงาน และการรับรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มากับการลงทุน ซึ่งจะก่อให้เกิดการแข่งขัน และนำไปสู่ทางเลือกใหม่ๆของผู้บริโภค และการต่อรองของแรงงานภาคการเกษตร
เพราะทุกวันนี้กลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรได้สร้างแรงงานทาสทางอุตสาหกรรมทางการเกษตรรูปแบบใหม่ขึ้น โดยพวกเขาออกแบบการจ้างงานที่หลอกลวงโดยนางจ้าง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่าแรงงานขั้นต่ำทางกฎหมายและสวัสดิการของแรงงาน ด้วยวิธีการให้เกษตรกรเป็นผู้ผลิตรายย่อยอิสระซึ่ง
ฟังแล้วดูดี แต่เนื้อแท้กลายเป็นว่าพวกเขาในฐานะผู้เลี้ยงไก่ ปลา หมู ต้องซื้ออาหารและยาจากบริษัทผูกขาดทางการเกษตรในฐานะเป็นผู้ประกันราคา เช่น บริษัท ซีพี เป็นต้น
โดยคำนวณประโยชน์ที่จะได้ต่อตัวมีจำนวนเงินจำกัดไม่ต่างจากเงินเดือนอันเป็นค่าจ้างแรงงานเลย
ทุกวันนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ ปลา และหมู รวมตลอดทั้งเกษตรกรที่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและถั่ว ไม่มีทางเลือกใหม่เล ยเนื่องจากกลุ่มทุนผูกขาดได้อาศัยอำนาจทางการเมืองของกลุ่มทหารปิดกั้นทุนต่างประเทศไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่แสดงให้เห็นชัดก็คือ สำนักงานส่งเสริมการลงทุน และรัฐบาลทั้งรัฐบาลที่แล้ว และปัจจุบันก็เห็นว่า ควรจะเปิดกว้าง แต่ก็ถูกกลุ่มทุนผูกขาดผลักดันให้ลูกสมุนออกมาคัดค้าน ปรากฏตามหลักฐานหนังสือคัดค้านของแกนนำอย่าง นายระพี สาคริก ที่มีคำนำหน้าชื่อว่าศาสตราจารย์ ซึ่งเป็นผู้ทำงานใกล้ชิดกับกลุ่มอำมาตย์ใหญ่ และที่ผ่านมาก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทหารให้ทำการยึดอำนาจล้มระบอบประชาธิปไตย
ด้วยความหวาดกลัวว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะนำประเทศชาติเข้าสู่การพัฒนาในแนวทางของโลกาภิวัฒน์ โดยนายระพี สาคริก ได้รวบรวมกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยที่เขาครอบงำความคิดไว้ให้ดำรงคุณภาพชีวิตแบบพอเพียงจำนวนหนึ่ง ทำหนังสือคัดค้านถึงนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาในฐานะหุ่นเชิด และถึงหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในฐานะรัฐบาลหุ่นเชิด ยับยั้งการเปิดเสรีทางการลงทุนทางด้านการเกษตรในประเทศไทย ตามหลักฐานหนังสือของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2552
เป็นหนังสือที่ มกย.ท043/2552 สุดท้ายคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กยศ.) ในสมัยนายอภิสิทธิ์ก็ต้องจำยอม เพื่ออำพรางภาพลักษณ์ของระบอบการเมืองไทย ไม่ให้เห็นชัดว่าประเทศไทยขัดขวางการลงทุนในกลุ่มอาเซียนจึงมีมติให้เปิดเสรีการลงทุนทางการเกษตรในส่วนของเมล็ดพันธุ์ ให้ทำได้เฉพาะเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่เท่านั้น
ส่วนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็ให้ทำได้เฉพาะปลาทูนา และกุ้งมังกรเท่านั้น ซึ่งไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรที่เลี้ยงปลาน้ำจืดของบริษัทเจี่ยไต๋ และซีพี ผู้ผูกขาดเมล็ดพันธุ์ และการเลี้ยงปลาทับทิมเลย (ปลาทับทิมทุกตัวจะเป็นหมันเกษตรกรขยายพันธุ์เองไม่ได้ต้องซื้อพันธุ์จากซีพีเท่านั้น)
ปรากฏหลักฐานรายงานการประชุม ของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ครั้งที่ 2/2553 วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ที่มี นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯเป็นประธาน
เป็นที่รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่า กลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรเหล่านี้ขูดรีดผลประโยชน์ไปจากเกษตรกรคนยากจน แล้วจ่ายค่าต๋งเป็นเงินในรูปการบริจาคให้แก่กลุ่มทุนขุนนางอำมาตย์มายาวนาน
ล่าสุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องเดินตามมติของ กยศ.นี้โดยนำข้อสรุปนี้ผ่านรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 และนำเข้าสู่การประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย 17 พฤศจิกายน 2554
ขอให้พี่น้องคนไทยออกจากพันธนาการของการหลอกลวงที่ว่า การเปิดเสรีการลงทุนเป็นเรื่องทำลายประเทศชาติเสียที เราได้ผ่านความเป็นจริงมาแล้วคือ การผูกขาดทางการเงินธนาคารเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของระบบธนาคารในปี 2540 ที่ว่าหากเปิดให้ต่างชาติเปิดธนาคารในประเทศไทยแล้วไทยจะเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เป็นความจริง
เพราะวันนี้ต่างชาติก็เข้ามาลงทุนทางการเงินมากมายในประเทศไทย ทำให้ดอกเบี้ยธนาคารลดลงจากเมื่อครั้งกลุ่มทุนขุนนางที่ผูกขาดกิจการธนาคารยังดำรงอยู่ก่อนปี 2540 เป็นอย่างมาก
ทุกวันนี้มีหลายประเทศที่เปิดเสรีทางการลงทุนก็มีแต่ความเจริญ เช่นประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป ในอาเซียนเช่น สิงคโปร์,ฮ่องกง เป็นต้น
การเปิดเสรีทางการลงทุน เป็นการเปิดโอกาสให้แก่แรงงานและผู้บริโภค เพราะจะเกิดการแข่งขันของทุน และขอให้เลิกเชื่อเสียทีเถิดว่า ประเทศชาติจะล่มจมจากการลงทุนของต่างประเทศ
เพราะปัจจัยที่ทำให้ประเทศชาติล่มจมที่เป็นตัวจริงเสียงจริงคือกลุ่มทุนขุนนางท้องถิ่นผู้ผูกขาดที่ขูดรีดประชาชน และพร้อมจะฆ่าประชาชนทันทีหากประชาชนรู้ทัน และคัดค้านอำนาจของพวกเขา
ประเทศไทยไม่มีวันล่มสลาย มีแต่พงศ์เผ่านายทุนขุนนางท้องถิ่นผูกขาดเท่านั้นที่จะล่มสลาย เพราะความอ่อนแอของตัวมันเองที่หากินจากการหลอกลวงมายาวนาน
********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:
-นิคมอุตสาหกรรมและผู้ไม่เปียกควรเป็นผู้จ่ายภาษีน้ำท่วม
-มาม่าขาดตลาดนับเดือนพอรัฐบาลดัดหลังจะนำเข้ากลับโวย ขอท้าใครหาซื้อได้วันนี้ส่งหลักฐานมาเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น