นิธิ เอียวศรีวงศ์
นิยามประชาธิปไตยที่แพร่หลายที่สุดในประเทศไทย
คงจะเป็นของประธานาธิบดีลิงคอล์นที่ว่า ประชาธิปไตยคือการปกครองของประชาชน
โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
แต่ที่จริงแล้ว
นี่เป็นนิยามที่หละหลวมจนหาความหมายอะไรไม่ได้เอาเลย
กระทั่งแค่เอากระดิ่งไปแขวนปากประตูไว้ใบเดียว หรือสั่งลูกน้องว่า
หากกูชักดาบมึงต้องห้ามกูนะเฟ้ย
ก็กลายเป็นประชาธิปไตยไปแล้ว
ความคลุมเครือไม่ชัดเจนว่าประชาธิปไตยคืออะไรนี้
ทำให้เผด็จการทั่วโลก โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
พากันอ้างระบอบอำนาจนิยมของตนว่าเป็นประชาธิปไตยกันหมด อย่างน้อยก็โดย
"จิตวิญญาณ"
ในเมืองไทย
แม้แต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ยังอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยยิ่งเสียกว่าประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ในสมัยหลัง
หรือรัฐประหารโดยกองทัพก็อ้างว่าเพื่อฟื้นฟูประชาธิปไตย
หรือปกป้องประชาธิปไตย
แล้วจะเหลือระบอบปกครองอะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่อีกเล่าครับ
แนวทางนิยามประชาธิปไตยในฐานะระบอบปกครองนั้นอาจแบ่งออกได้เป็นสามแนวทาง
หนึ่งคือที่มาของอำนาจอาญาสิทธิ์ในรัฐนั้นๆ สองคือจุดมุ่งหมายของการปกครอง
และสามคือกระบวนการในการจัดตั้งอำนาจรัฐ(บาล)
ทั้งสามแนวทางนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง
แต่ถ้าเราต้องการแยกระบอบปกครองประชาธิปไตยออกจากระบอบปกครองอื่นอย่างชัดเจน
ก็ต้องมองหาเงื่อนไขอะไรที่ระบอบปกครองอื่นไม่สามารถมีได้ นั้นคือแนวทางที่สาม
ได้แก่กระบวนการในการจัดตั้งอำนาจรัฐ(บาล)
กระบวนการดังกล่าวนั้นประกอบด้วยการกระทำหลายอย่าง
(ซึ่งจะกล่าวถึงข้างหน้า) แต่ในบรรดาการกระทำหลายอย่างนั้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเลือกตั้ง (ที่เสรีและเป็นผลโดยตรงต่อการจัดตั้งอำนาจรัฐ)
แม้ว่าการเลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอ
แต่ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในระบอบปกครองประชาธิปไตย
แต่แนวทางนี้กลับเป็นแนวทางการนิยามที่ปัญญาชนไทยส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ
กลับไปเน้นแนวทางที่หนึ่งและสองมากกว่า แนวทางที่หนึ่งและสองนั้นก็ดีอยู่หรอกครับ
แต่ถูกเบี้ยวโดยจับเอาระบอบปกครองอื่นๆ
เข้ามาอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยได้ง่าย
และปัญญาชนไทยจำนวนไม่น้อยก็มักทำอย่างนั้นอยู่เป็นประจำด้วย
เช่น
ระบอบปกครองไทยโบราณก็เป็นประชาธิปไตย เพราะที่มาของพระราชอำนาจนั้นคือประชาชน
โดยอ้างอัคคัญสูตรในพระไตรปิฎก และ/หรืออ้างหลักการ
"อเนกนิกรสโมสรสมมติ"
แต่ทั้งพระสูตรและหลักการดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง
เป็นเพียงการจำลองภาพอุดมคติ เพื่อสะดวกในการอธิบายเท่านั้น อย่างเดียวกับ
"รัฐธรรมชาติ" ของฝรั่ง ซึ่งไม่มีจริงและไม่เคยมีจริงในโลก
สร้างขึ้นเพื่ออธิบายเรื่องสิทธิและการสละสิทธิบางส่วนเพื่อผดุงสิทธิเสรีภาพหลักเอาไว้เท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
ไม่เคยมีการสร้างกระบวนการขึ้นมารองรับหลักอัคคัญสูตรหรือ "อเนกนิกรสโมสรสมมติ"
เลย
ผมคงต้องอธิบายหลักทั้งสองอย่างคร่าวๆ
ไว้ด้วย
อัคคัญสูตรอ้างว่ากิเลสของมนุษย์คือโลภ โกรธ หลง
ทำให้มนุษย์สั่งสมทรัพยากรธรรมชาติไว้เป็นของตนเองแต่ผู้เดียว
จึงเกิดความไร้ระเบียบขึ้นในสังคมขนานใหญ่ จนในที่สุดจึงต้อง "เลือก" คนดี
(พระโพธิสัตว์) ขึ้นมาเป็นพระราชา (ผู้ยังให้เกิดความยินดีแก่หมู่ชน)
เพื่อรักษาฟื้นฟูระเบียบของโลกกลับคืนมาใหม่
แน่นอน
เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง (จากหลักฐานโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่พอหาได้)
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า
ผู้ปกครองไทยไม่เคยพยายามสร้างกระบวนการที่จะทำให้ประชาชนได้เลือกผู้นำของตนเลย
ผู้นำคือเชื้อสายของผู้นำ หรือถ้าเป็นคนอื่น ก็คือคนที่มีอำนาจดิบสูงสุด
ยิ่งมาในสมัยหลังเมื่อสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นแล้ว
ผู้ปกครองก็ยิ่งเน้นสิทธิโดยกำเนิดของ "สุขุมาลชาติ" หรือผู้มีกำเนิดสูง
แม้แต่พวกขาใหญ่ทั้งหลายที่เคยมีส่วนเลือกรัชทายาทก็ไม่มีส่วนไปหมด
อย่าว่าแต่เลือกพระราชาเลยครับ
เลือกนายอำเภอ, ศึกษาอำเภอ, สาธารณสุขอำเภอ, ฯลฯ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาโดยตรง ประชาชนยังเลือกไม่ได้เลย
บัดนี้ทำท่าว่าจะเลือกกำนันก็ไม่ได้เสียแล้ว
ส่วนหลัก
"อเนกนิกรสโมสรสมมติ" ฟังดูเหมือนให้ประชาชนหลากหลายกลุ่ม (อเนกนิกร) "สมมติ"
ใครก็ได้ขึ้นเป็นพระราชา ก็เป็นเพียงชื่อหรูๆ
ที่ไม่เคยมีการปฏิบัติสักครั้ง
การประชุมเพื่อหารัชทายาทเกิดขึ้นจริง
ในรัชกาลที่ไม่อาจหนุนให้โอรสองค์ใดองค์หนึ่งสั่งสมกำลังไว้ให้สูงสุดได้
เมื่อสิ้นรัชกาลจึงต้องประชุมตกลงกันในหมู่ "ขาใหญ่" ทั้งหลาย
นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง, ขุนนางชั้นสูง และพระภิกษุชั้นสูง
แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเป็นตัวแทนของประชาชนสักคนเดียว "นิกร" ที่ได้มาประชุมกัน
จึงไม่ได้ "อเนก" ตรงไหน เป็นเพียง "ขาใหญ่"
จำนวนน้อยเท่านั้น
ซ้ำในการประชุมก็รู้ๆ กันอยู่ว่าใครพวกมากกำลังมาก
คนอื่นก็ได้แต่เออออห่อหมกกับคนนั้น
นี่คือเหตุผลที่ขุนนางสกุลบุนนากสามารถตั้งพระเจ้าแผ่นดินได้สามรัชกาลต่อกัน คือ
ร.3, ร.4 และ ร.5
คนที่อยู่ในข่ายให้เลือกก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้
จำกัดอยู่เฉพาะในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น แม้มีจำนวนมาก
แต่พันธะหลักของเขาเหล่านั้นคือพระราชวงศ์ (ซึ่งทำให้เขาอยู่ในข่ายถูกเลือก)
ไม่ใช่ประชาชน
แนวทางการหาแหล่งที่มาของอำนาจอาญาสิทธิ์เช่นนี้ยังเปิดช่องให้เบี้ยวได้อีกหลายทาง
เช่น ในอัคคัญสูตรก็เหลือเชื้อให้เบี้ยวเอาไว้ คือพระมหาสมมติราชที่ถูกเลือกนั้น
เป็นคนดีมีศีลธรรม (ก็เป็นพระโพธิสัตว์)
จึงได้รับเลือกให้เป็นราชา
หลักการข้อนี้เป็นที่มาอย่างหนึ่งของทฤษฎีธรรมราชา
พูดอีกอย่างหนึ่งคือแหล่งที่มาของอำนาจอาญาสิทธิ์ในรัฐคือธรรมะ
ประชาธิปไตยกลับต้องมานิยามกันว่าอะไรคือธรรมะ
(อันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับโลกุตตรธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน) ที่น่าอัศจรรย์คือ
คนที่อ้างตัวว่าเป็นธรรมราชานั่นแหละเป็นคนนิยามเอง
หรือให้ลิ่วล้อช่วยนิยามตามแนวของตัว แล้วก็ปิดปากคนอื่นด้วยมะพร้าวห้าวบ้าง
กฎหมายปิดปากอย่างอื่นบ้าง
ธรรมราชาจึงกลายเป็นประชาธิปไตยในทัศนะของปัญญาชนไทยไปอย่างมหัศจรรย์พันลึก
เพราะเป็น
"การปกครองของประชาชน"
แนวทางนิยามประชาธิปไตยอย่างที่สองซึ่งปัญญาชนไทยนิยมก็คือ
เป้าหมายของรัฐ(บาล) ในการปกครอง ถ้าทำดีจนประชาชนชอบ
ก็ถือว่านั่นคือประชาธิปไตยแล้ว เช่น พัฒนาเศรษฐกิจ, ปราบศัตรูของชาติ,
ปราบยาเสพติด
จนกระทั่งตัวเลขจีดีพีกลายเป็นดัชนีวัดความเป็นประชาธิปไตยไปก็ได้
อันที่จริง
สมรรถภาพและประสิทธิภาพในการปกครองย่อมมีความสำคัญแก่รัฐบาลของทุกระบอบ
รัฐบาลที่ไร้สมรรถภาพและประสิทธิภาพย่อมอยู่ไม่ได้
รวมทั้งรัฐบาลของระบอบประชาธิปไตยด้วย
แต่ในระบอบประชาธิปไตยเท่านั้นที่รัฐบาลถูกล้มได้
โดยระบอบไม่ถูกล้มตามไปด้วย
ผมขอออกนอกเรื่องตรงนี้หน่อยนะครับ
รัฐบาลอำนาจนิยมทุกแห่งนั้น เมื่อถูกล้มเพราะไร้สมรรถภาพและประสิทธิภาพ
มีความเป็นไปได้สูงมากที่ตัวระบอบเผด็จการมักถูกล้มไปด้วย (จากระบอบ ถนอม-ประภาส
กลายเป็นประชาธิปไตยจากระบอบ ธานินทร์ กรัยวิเชียร กลายเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ จาก
รสช. กลายเป็นประชาธิปไตย 2540)
มีเผด็จการบางประเทศที่พยายามแก้ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพของระบอบปกครอง เช่น
บราซิลและเม็กซิโก สมัยที่ยังอยู่ภายใต้เผด็จการมาอย่างยาวนาน
นั่นคือมีกฎข้อบังคับว่าผู้เผด็จการจะสืบทอดตำแหน่งไม่ได้ พ้นวาระแล้ว
ต้องให้ทหารคนอื่นหรือเผด็จการพลเรือนคนอื่นขึ้นมาเป็นแทน ตัวระบอบเผด็จการยังอยู่
แต่ตัวผู้นำเปลี่ยนไปได้มาอย่างสืบเนื่องยาวนาน
การมีรัฐบาลที่มีสมรรถภาพและประสิทธิภาพนั้นดีแน่
แต่ไม่เกี่ยวกับประชาธิปไตย ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
รัฐบาลในทุกระบอบล้วนอ้างว่าตัวมีสมรรถภาพและประสิทธิภาพทั้งนั้น
แต่ในระบอบประชาธิปไตย คนอื่นค้านได้ว่าไม่จริง ส่วนในระบอบเผด็จการทุกรูปแบบ
ค้านไม่ได้ โทษอาจถึงตายทีเดียว
อย่างที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์โดนอยู่เวลานี้
มากเสียยิ่งกว่ารัฐบาลเผด็จการทุกชุดของไทยเคยโดนมาแล้ว
เพราะปัญญาชนไทยมองผลของการปกครองมากกว่ากระบวนการ
มหาราชของไทยทุกพระองค์จึงกลายเป็นนักประชาธิปไตยไปหมด โดยเฉพาะ ร.5
ผู้ทรงสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้น
ตลกดีนะครับ
อดีตปัญญาชนท่านหนึ่งถึงกับประกาศว่า ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
เราเป็นประชาธิปไตยเสียยิ่งกว่าหลังการปฏิวัติสยาม ถือว่าเป็นการปกครอง
"เพื่อประชาชน" ไงครับ
แนวทางที่สาม
ซึ่งนิยามประชาธิปไตยได้ชัดเจนที่สุดคือกระบวนการที่จะได้มาซึ่งอำนาจรัฐ
นักวิชาการให้ความสำคัญแก่การเลือกตั้ง (เช่น Samuel Huntington ใน The Third Wave
เพราะต้องการเงื่อนไขตายตัวบางอย่างในการวิเคราะห์การแพร่หลายของประชาธิปไตยในปลายคริสต์ศตวรรษที่
20) แต่ผมอยากแปลงให้กว้างขึ้นว่า
กระบวนการที่กระจายอำนาจต่อรองออกไปยังคนทุกกลุ่มในสังคม
แน่นอนครับว่า
การเลือกตั้ง (ที่เสรี, ให้สิทธิแก่ทุกคนเท่ากัน, เป็นผลให้ได้อำนาจรัฐระดับหนึ่ง)
ย่อมเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้ในกระบวนการต่อรองของคนทุกกลุ่ม
และแน่นอนครับว่า
เลือกตั้งอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้เกิดการต่อรองได้อย่างเท่าเทียมกันจริง
ต้องมีอย่างอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น สื่อที่เสรีและมีกึ๋นมากกว่าที่เรามีอยู่เวลานี้
เสรีภาพในการรวมกลุ่มและการเคลื่อนไหวทางการเมือง, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม,
ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่มาจากการวิจัยซึ่งมีโอกาสเผยแพร่อย่างเท่าเทียมกัน
พื้นที่สาธารณะซึ่งทุกคนเข้าถึงได้อย่างเสรีและสะดวก ฯลฯ
สรุปคือเครื่องมือทางสังคม
ผมไม่ปฏิเสธว่า
เครื่องมือทางสังคมที่เรามีอยู่เวลานี้ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพนัก
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะยกเลิกการเลือกตั้ง เพราะในระบอบที่ไม่มีการเลือกตั้ง
ก็ไม่เคยเห็นมีใครผลักดันเครื่องมือต่อรองเหล่านั้นสักรายเดียว
ซ้ำร้ายยังอาจขัดขวางเสียอีก
หรือแม้ในระบอบที่มีการเลือกตั้ง
ก็ใช่ว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งส่งเสริมให้เครื่องมือเหล่านี้เข้มแข็งขึ้น
เครื่องมือเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมต้องสร้างเอาเองครับ
และในบรรยากาศแบบไหนกันแน่ที่สังคมจะมีศักยภาพสร้างเครื่องมือเหล่านี้เองได้ดีกว่า
ประชาธิปไตยที่ไม่สมบูรณ์ หรือเผด็จการทหาร
ผมคิดว่า
ความขัดแย้งในสังคมไทยเวลานี้ มาจากการนิยามที่ไม่ชัดเจนของประชาธิปไตยนี่แหละครับ
ใครใกล้ชิดปัญญาชนมากกว่า ก็นิยามแบบปัญญาชนคือแนวทางที่มาของอำนาจและอาญาสิทธิ์
และแนวทางเป้าหมายของการปกครอง ใครอยู่ห่างๆ ปัญญาชนไทยได้
ก็จะนิยามประชาธิปไตยที่กระบวนการที่จะได้มาซึ่งอำนาจหรือกระบวนการที่ทำให้เกิดการต่อรองที่เท่าเทียมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น