คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร? เรื่อง บทเรียนเลือกตั้ง ๒๕๕๐ โดย กาหลิบ
หลายคนในฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่ได้ร่วมกระบวนการเลือกตั้งกำลังรู้สึกเหมือนกับในช่วงก่อนวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ นั่นคือรู้สึกว่างงาน ไม่มีอะไรทำ ได้แต่ติดตามดูข่าวเขาหาเสียง รอเขาเรียกไปชุมนุมนานๆ ครั้ง และก็เตรียมไปหย่อนบัตรในวันที่เขากำหนดให้ใช้สิทธิ์
ยิ่งเมื่อเกิดรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชขึ้นแล้ว มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำหนักขึ้น จนถึงขั้นเหงา บางคนต้องละความสนใจจากการเมืองไปสู่กิจกรรมส่วนตัวชั่วคราว บางคนกลับไปประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อเลี้ยงตัวและกู้ฐานะที่ย่ำแย่ลงในระหว่างการต่อสู้
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถและความสร้างสรรค์ ไม่สามารถชี้ให้มวลชนส่วนใหญ่รู้สึกอยากเข้าร่วมกิจกรรมที่เชิงลึกต่างๆ รวมทั้งเข้ามาช่วยสร้างกิจกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยรักษากระแสความสนใจในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในภาพกว้าง
ถ้านักเลือกตั้งเอาแต่หัวคะแนน คนแจกใบปลิว เซลล์แมน คนทำป้าย พวกทำงานยามราตรี (จนหมาหอน) และมือปืน มวลชนส่วนใหญ่ก็จะขาดบทบาทอันพึงมีพึงเป็นในระบอบประชาธิปไตย
แล้วเห็นว่ารัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายก็พัง พังเพราะมวลชนถูกกันมิให้มีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๕๐ จนกระทั่งถึงวันที่เขายุบพรรคพลังประชาชนที่ทำให้รัฐบาลสมชายสิ้นสภาพทันที
น่าแปลกในที่ฝ่ายประชาธิปไตยอาศัยประชาชนเป็นด่านหน้าในการได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพในทางการเมือง จนพูดได้เต็มปากว่าวันนี้ได้เลือกตั้งกันถ้วนหน้าเพราะเรามีมวลชนเรียกร้องกดดันอย่างเข้มข้นอยู่ แต่เมื่อเข้าสู่ลู่แข่งขันแล้วบทบาทของอาสาสมัครทางการเมืองกลับหายไปอย่างฉับพลัน ในขณะที่ “มืออาชีพ” ทางการเมืองออกมาเล่นบทบาทนั้นแทน แต่ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์หรือเป็นงานอาสาอีกต่อไป
พรรคฝ่ายเผด็จการศักดินาอำมาตย์นั้นช่างเถิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่เอาประชาชนขึ้นก่อน แต่กดประชาชนไว้รองรับระบอบใหญ่ที่เป็นเจ้าเป็นนายเขาอยู่แล้ว
แต่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องออกแรงคิดในเรื่องนี้ให้มาก ไม่ใช่เพื่ออุดมคติอันสูงส่งก็เพื่อผลในการปกป้องรัฐบาลของตัวเอง
จำได้ไหม ตอนที่รัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายถูกกระหน่ำจนใกล้พังมวลชนเขาก็ถามกันระงมอยู่ทั่วประเทศว่าจะให้เขาทำอะไรบ้าง
แล้วเขาก็ไม่ได้รับคำตอบ
ขณะที่รัฐบาลของประชาชนถูกทำลายลงเขาก็โกรธจนตัวสั่นหรือไม่ก็ร่ำไห้อย่างแค้นใจอยู่ที่บ้าน
บางคนที่ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็รู้สึกขาดพลังในการรวมตัวอย่างยิ่งใหญ่พอจะไปสู้รบกับศัตรูที่ใหญ่ยิ่ง
ในเมื่อเขาหักหลังประชาชนเอารัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นมาไล่ล่าฝ่ายประชาธิปไตยและรักษาบ้านเมืองไว้ในเศรษฐกิจชนชั้น คือคนระดับประชาชนไม่สามารถลืมตาอ้าปากมาสู้กับก๊วนนายทุนเก่าและเศรษฐีเก่าได้ พวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยจึงทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้และสร้างเวทีต่อต้านกันอีกครั้ง
ความผิดพลาดที่สำคัญในครั้งนั้น และเราต้องกำหนดเป็นบทเรียนในครั้งนี้คือ การได้เป็นรัฐบาลหรือได้ร่วมรัฐบาลไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
โห่ร้องยินดีได้ แต่โปรดอย่าหลงใหลใฝ่ฝัน
ชัยชนะที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการคือการฟื้นฟูความเป็นประชาธิปไตยของประเทศในทุกๆ มิติ ลดอำนาจและอิทธิพลของอำนาจเก่าในทุกๆ มิติ และมุ่งสร้างระบอบประชาชนให้เป็นรูปธรรมอย่างไม่รีรอ
ในกระบวนการเลือกตั้ง ต้องเดินหน้าจัดตั้งประชาชนให้ตระหนักชัดว่าใครคือศัตรูตัวจริง โดยให้พี่น้องของเรามีข้อมูลและมีหลักฐานอันชัดเจนให้ช่วยจัดตั้งไล่เรียงไปเรื่อย ในขณะที่ฝ่ายเลือกตั้งก็ช่วงชิงอำนาจในรัฐสภาอย่างฉลาดและมีสติ
กลุ่มปกป้องระบอบประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นและใช้เครื่องมือที่จำเป็นทุกชนิดในภารกิจนั้น
เรื่องสุดท้ายนี้ถ้าเขาไม่ทำ เราประชาชนก็ต้องลงมือทำ.
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ จะรีบไปแจ้งเพื่อนๆว่าสามารถแสดงความคิดเห็นและให้กำลังใจในบล็อกท่านได้แล้วครับ ขอเป็นกำลังใจให้ท่านตลอดไปครับ
ตอบลบกลุ่มรณรงค์ ประชาธิปไตย ท้าทุกความคิด
งุงิ งุ่มงาม