Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แปรการเลือกตั้ง สู่การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ

แปรการเลือกตั้ง สู่การเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ

            วิกฤติการเมืองประเทศไทยที่เห็นด้วยตาเปล่ายาวนานมา 5 ปีเศษนั้น เนื้อแท้เป็นวิกฤติอันเกิดจากระบอบอำมาตย์ที่ครอบงำระบอบประชาธิปไตยมายาวนาน หากแต่กำลังเกิดอาการเน่าเฟะอย่างหนักเพราะเป็นภาวะแห่งธรรมชาติของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แล้วเกิดขึ้นใหม่ แห่งพุทธสัจธรรม     
ภาวะปัจจุบัน เป็นยุคปลายของระบอบอำมาตย์ อารมณ์ของบุคคล จึงแสดงบทบาทเป็นกฎหมายและอารมณ์ของบุคคลจึงอยู่เหนือกระบวนการยุติธรรม
            อารมณ์ของบุคคลกลุ่มเล็กๆจึงกลายเป็นจุดกำเนิดแห่งพลังทางการเมืองที่ชี้นำให้คดีความทางความคิดกลายเป็นความผิดอย่างมหันต์ ร้ายแรงยิ่งกว่าคดีฆ่าคนตายและค้ายาเสพติด
            ความผันแปรทางอารมณ์ของบุคคลกลุ่มเล็กๆกลายเป็นพลังทางการเมืองที่กำหนดนโยบายของรัฐแทนมติของรัฐสภา


            ความอาวุโสของคณะบุคคลมีความสำคัญกว่าความอาวุโสของระบอบประชาชน  การป่าวประกาศโค่นล้มคณะบุคคลผู้กุมอำนาจเผด็จการเป็นความไม่ชอบธรรม แต่การป่าวประกาศโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยข้อเสนอปิดประเทศแห่งคณะเสื้อเหลือง ณ สะพานมัฆวาน กลับกลายเป็นความชอบธรรม
            ภาวะแห่งยุคปลายของระบอบอำมาตย์ จึงนำมาซึ่งภาวะไร้ระเบียบแห่งรัฐ และนำมาซึ่งภาวะไร้ระเบียบทางเศรษฐกิจ และนำมาซึ่งความทุกข์ยากของประชาชน

            ภาวะแห่งยุคปลายของระบอบอำมาตย์ จึงเป็นภาวะกระอักกระอ่วนแห่งรัฐ ที่ข้าราชการ พ้อค้า คหบดี และประชาชน ต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก


            ภาวะแห่งยุคปลายของระบอบอำมาตย์ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ได้เปิดโปงตัวเองจนผู้คนทั้งแผ่นดินเห็นชัดแห่งปัญหา แต่พูดจากันไม่ได้ จึงกลายเป็นความปั่นป่วน และกลายเป็นช่องว่างที่ให้ความเชื่องมงายแสดงบทบาทสั่งการทำลายมติมหาชนที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ อันไม่อาจจะก่อให้เกิดความมั่นคงแห่งระบอบรัฐสภาได้ ทั้งๆที่ระบอบรัฐสภาไทยมีเวลาพัฒนาการมายาวนานเกือบศตวรรษแล้ว
            การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ จึงเป็นการเลือกตั้งที่มีลักษณะพิเศษ เพราะเป็นการเลือกตั้งในภาวการณ์ที่สังคมกำลังสับสนกับการหาทางออกจากพลังแห่งอารมณ์ของคณะบุคคลผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ
การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ จึงเป็นทางเลือกแห่งปฏิทินประชาธิปไตยที่ประชาชนยอมรับและอำมาตย์ก็ต้องยอมรับอย่างจำใจ
ในภาวะที่ประชาชนกำลังหาทางออกจากวิกฤติ แต่อำมาตย์ไม่อยากจะออกจากวิกฤติ เพราะวิกฤติเป็นต้นพลังแห่งอำนาจและต้นพลังแห่งความสุขสบายของเหล่าอำมาตย์
            การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ จึงเป็นทางเลือกเดียว ณ เวลานี้ที่ประชาชนจะต้องผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เลือกพรรคการเมืองที่ไม่ยอมก้มหัวให้ระบอบอำมาตย์และยืนหยัดระบอบอำนาจของประชาชนอย่างไม่วอกแวก
            การตัดสินใจลงคะแนนในวันที่ 3 กรกฎาคม นี้ ต้องก้าวให้พ้นความรักชอบพอบุคคลเป็นส่วนตัว ในแต่ละเขตเลือกตั้งและใช้แนวทางของพรรคแห่งประชามหาชนที่ได้ยืนหยัดพิสูจน์มาแล้วว่าไม่สยบยอมต่อระบอบอำมาตย์ หรือนัยหนึ่งก็คือพรรคการเมืองที่ไม่ยอมกินเศษเนื้อของคณะทหาร ที่เป็นเนื้อแท้ของระบอบอำมาตย์ที่ก่อภาวะวิกฤติการเมือง
            จงใช้มติมหาชนแห่งการเลือกตั้ง ก่อให้เกิดการปฏิวัติประชาชน เพื่อการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ นำประเทศชาติออกจากภาวะวิกฤติให้ได้
            ท่ามกลางความยากลำบากที่ระบอบอำมาตย์ควบคุมการเลือกตั้งทั้งขบวน นับตั้งแต่ศาล ทหาร ตำรวจ และองค์กรอิสระ จึงเป็นความยากลำบากที่ท้าทายขบวนการจิตสำนึกของประชาธิปไตยประชาชน แต่ต้องพยายาม
            หากมติมหาชนไม่อาจก้าวข้ามกระบวนการหลอกลวงและแทรกแซงของระบอบอำมาตย์ในวันที่ 3 กรกฎาคม ได้ ระบอบอำมาตย์นั้นเองคือผู้ประกาศนับถอยหลังแห่งความรุนแรงที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้


จงปฏิวัติเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ
ด้วยมติมหาชนคนล้นหลาม
ผนึกแน่นคะแนนเสียงเพียงข้ามยาม
จะก้าวข้ามวิกฤติสู่สิทธิ์ประชามหาชน

ภาวะวังเวง (สูญญากาศ) แห่งระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม

ภาวะวังเวง (สูญญากาศ)แห่งระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม

             ปรากฏการณ์แห่งการไร้กฎเกณฑ์ของระบอบรัฐไทยที่แฝงตัวอยู่ในระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมมายาวนานได้ปรากฏเด่นชัดแล้วว่าได้เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงแล้ว


            ระบอบการปกครองของไทยวันนี้เนื้อแท้คือระบอบเผด็จการโดยคณะบุคคล


 ระบอบนี้จะถูกเรียกว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตย (ตามที่แกนนำ นปช.เสนออย่างเบี่ยงเบนด้วยข้อจำกัด) หรือจะเรียกชื่อว่าอะไรก็แล้วแต่,แต่มวลชนต่างรับรู้ว่าทุกชื่อที่เรียกขานนั้นล้วนแล้วแต่มุ่งไปสู่ศูนย์รวมอำนาจของระบอบเผด็จการโดยคณะบุคคลกลุ่มเดียวกัน,ที่พวกเขาเห็นประชาชนเป็นข้าทาสที่ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน


            พลเมืองคนใดที่ทำตัวได้เสมือนหนึ่งสัตว์เลี้ยงจะได้รับความเอ็นดูเป็นพิเศษจากผู้เผด็จการคือ ทำอะไรก็ไม่ผิด (แม้ทำผิดกฎหมาย แต่ก็น่าเอ็นดู) แต่ผู้ใดที่แสดงตัวเป็นเสรีชน  รักในเสรีภาพ และความเสมอภาคเฉกเช่นมนุษย์ทำอะไรก็ผิดทั้งนั้นเพราะผิดใจผู้เผด็จการเพราะ ไม่สบอารมณ์ผู้เผด็จการ


            นักโทษทางการเมืองเสื้อแดงที่ทำให้ไม่สบอารมณ์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย,และที่ปลดปล่อยมาแล้ว แต่กำลังจะถูกนำกลับไปจองจำอีก คือรูปธรรมที่แท้จริงของระบอบเผด็จการนี้


            คนดีๆที่ถูกจับเข้าห้องขังห้ามประกันตัวในฐานะนักโทษทางความคิดหรือนักโทษการเมืองทั้งที่ถูกจับและกำลังตามจับมีมากมายหลายอาชีพ มีตั้งแต่นายกรัฐมนตรีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร,นักเคลื่อนไหวอย่างสุรชัย แซ่ด่าน , ดาตอร์ปิโด , ณัฐวุฒิ   ใสยเกื้อ, นักการเมืองอย่าง ส.ส.จตุพร  พรหมพันธุ์ ,  ส.ส.วิเชียร  ขาวขำ,ดาวตลกอย่างเจ็งดอกจิก รวมถึงชาวบ้านที่สวมเสื้อแดงคาตารางอีกมากมายในภาคเหนือและภาคอีสาน และล่าสุดนักหนังสือพิมพ์อย่างนายสมยศ  พฤกษาเกษมสุข ก็ถูกรวบตัวแต่ทั้งหมดนี้ไร้เงาของแกนนำพันธมิตรเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีที่กระทำผิดในข้อหาใกล้เคียงกัน แต่ทำตัวน่าเอ็นดูเหมือนสัตว์เลี้ยงในครัวเรือน ที่เลียแข้งเลียขาน่ารัก เห่าและกัดคนที่ผู้เผด็จการเกลียด และที่สำคัญที่สุดคือ ทำตัวยืนสองขาได้คล้ายมนุษย์


            การระดมจับ,ปิด,และยึดเครื่องส่งวิทยุชุมชนชาวเสื้อแดงทั่วประเทศในคราวเดียวกันล้วนเป็นสัญญาณความหงุดหงิดที่ถึงขีดสุดของผู้เผด็จการในขณะเดียวกันกับวิทยุชุมชนของพันธมิตรเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีเช่น สถานี ASTV และสถานีสุวรรณภูมิและอีกมากมาย ที่มีพฤติกรรมทางกฎหมายและการเมืองเหมือนกันกับวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง (เพียงแต่จัดเวลาเลียตีนเลียมือผู้เผด็จการอย่างมีระบบ) ก็กลับได้รับความเอ็นดูอยู่ได้ต่อไป


            ประชามหาชนทั้งหลายอย่าได้หลงใหลอยู่กับสัญญาณจอมปลอมที่ผู้เผด็จการเคาะกะลาส่งสัญญาณเลือกตั้งเลย


            แม้วันนี้นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ที่ถูกอุปโลกให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภากำหนดวันเลือกตั้งเป็น 3 กรกฎาคม ก็เกิดภาวะวังเวงให้เห็นคือข่าวจัดงานวันวิสาขบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนา ยังต้องหลบเข้าไปจัดงานในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ จะจัดงานกลางสนามหลวงเช่นเคยไม่ได้ (ข่าวพาดหัว ไทยรัฐ  10 พ.ค. 54)


            นี้คือความวังเวงแห่งระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม


            ภาวะวังเวงคือภาวะสูญญากาศของระบอบเผด็จการ


            จงจับสองด้านของความขัดแย้งแห่งจุดเปลี่ยนในภาวะสูญญากาศของระบอบเผด็จการนี้ให้มั่น


            ต้องให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง แต่อย่าหลงใหลกับการเลือกตั้ง


            จงใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือประจานระบอบเผด็จการของไทย เพื่อให้ชาวโลกตาสว่างและสิ้นสงสัยและเลิกสนับสนุนระบอบเผด็จการไทย


            ต้องให้ชาวโลกสิ้นสงสัยว่า ระบอบเผด็จการของไทยหมดสภาพและสิ้นหวังแล้วที่ชาวโลกจะรักษาไว้ต่อไป เพราะระบอบเผด็จการของไทยกำลังเป็นพิษร้ายที่ขัดขวางความสงบสุขของมนุษยชาติแล้ว


            พลังประชาธิปไตยทั้งหลายต้องผลักดันให้พรรคเพื่อไทยที่ยืนเผชิญหน้ากับระบอบเผด็จการไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นให้ได้


            จงเตรียมใจและดีใจกับชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่จะถูกปล้นชัยชนะจากระบอบเผด็จการอีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกับเหตุการณ์การจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารเมื่อปลายปี 2551


            จงเตรียมใจและดีใจกับชัยชนะของพรรคเพื่อไทยในการที่จะถูกปล้นตัดหน้าก่อนการเลือกตั้ง อีกครั้งหนึ่งเช่นเดียวกับเหตุการณ์การยึดอำนาจก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 19 กันยายน 2549 หากจะมี


            นี้คือ สองด้านของภาวะสูญญากาศของระบอบรัฐเผด็จการไทย


            นี้คือ การเตรียมจิตใจรับมืออย่างเป็นจริงกับภาวะสูญญากาศของระบอบรัฐเผด็จการไทยอย่างเป็นฝ่ายกระทำ


            ภาวะสูญญากาศและวังเวง เป็นภาวะที่ต้องเกิด หลีกเลี่ยงไม่ได้


            รัฐประชาธิปไตยประชาชนใกล้มาถึงแล้ว

ออกมาแล้ว นี่คือ ตัวอย่างบัตรสินเชื่อ(บัตรเครดิต) เพื่อเกษตรกร

ออกมาแล้ว นี่คือ ตัวอย่างบัตรสินเชื่อ(บัตรเครดิต) เพื่อเกษตรกร ใช้เพื่อการเกษตร นะครับ แจกให้เกษตรคนละใบนะครับ

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วิเคราะห์คำทำนาย นารีขี่ม้าขาว ตามความจริงที่ค่อยปรากฏขึ้น จาก อดีต ถึงปัจจุบัน

 


หลาย คนคงได้ยินมานานแล้ว ผมก็ได้ยินตั้งแต่สมัย ท่านนายกทักษิณมาแล้วครับ หลายคนบอกว่า ไม่ใช่ของจริง หลายคน บอกในเวบบอร์ดแห่งนี้ว่าให้เลิกพูดเรื่องนี้แล้ว แต่วันนี้ ผมขอ นำคำทำนายมาช่วยวิเคราะห์ร่วมกัน แม้หลายคน จะว่า เป็นคำนายปลอม แต่ผมว่า คำทำนาย จริง หรือ ปลอม ไม่สำคัญ แต่ มันสำคัญคือ เหตุการณ์ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น มันกลับเป็นจริง และสอดคล้องกับคำทำนาย ผมเองก็ได้ลองทบทวนเหตุการณ์ในอดีต กับ คำทำนาย หลายๆเรื่อง นำมา ประติด ประต่อ และเข้ากันได้ อย่างเหลือเชื่อ แต่ผมก็ไม่อยากให้พี้น้อง งม งาย โดยไม่ได้คิด หรือ ใช้วิจารณญาณ แม้แต่คนที่ไม่ใช่เสื้อแดง คนทั่วไป ก็ยังมีความเชื่อมีความหวัง กับการรอคอย นารีขี่ม้าขาวเพื่อมากอบกู้ประเทศไทย และคำว่า นารีขี่ม้าขาวจะกลายเป็น ทอร์คออฟเดอะทาวน์ และประชาชน ที่ได้ยิน ก็จะพยายาม ไขว่คว้า ค้นหา ผู้ที่ที่จะมาเป็นนารีขี่ม้าขาว และพรรคเพื่อไทย และทักษิณ ก็แอบเชื่อในคำทำนายนี้ด้วย และแอบหาเสียงด้วยการชู การมาของยิ่งลักษณ์ คือนารีขี่ม้าขาว แบบลับๆ
และผมได้ อธิบาย(ตามความรู้ของผม) ผิดพลาด หรือ ตอบการเสริมตรงไหน ก็บอกด้วยครับ
เพื่อ เราจะสามารถอธิบาย ให้แก่ คนทั่วไปให้ทราบต่อได้ โดยการสื่อสารกันต่อไปทาง ฟอร์เวิร์ดเมล์ หรือทำเอกสารแจกต่อกันไป เดี๋ยวถ้าว่างๆ ผมจะรวบรวม ภาพมาประกอบด้วย


คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
(คำทำนายมีมานานแล้ว ทำนายโดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆเริ่มเป็นจริงเมื่ออยู่ในช่วงปลายรัชกาล)


๐ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร
(ประเทศ ไทยเจริญสูงสุด ในช่วงสมัย พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัชมนตรี สามารถปลดหนี้ประเทศไทย จากเป็นลูกหนี้ กลายเป็นเจ้าหนี้ มีชาวต่างชาติบินเข้ามาลงทุนในประเทศมากที่สุด จน จีดีพี และ มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์สูงที่สุด)


ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
(ช่วง ที่ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานจัดงาน ฉลองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี จัดงานได้ยิ่งใหญ่ มีพระมหากษัตริย์ และ ผู้แทนกษัตริย์ มาร่วมตัวกันมากที่สุด และเป็นประวัติศาสตร์โลก และเป็นข่าวดังไปทั่วโลก )


๐ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
(ประชาชน ชาวไทยมีความสุขกันทั่วหน้า สวมเสื้อเหลืองกันทั่วประเทศพร้อมเพรียง และร่วมงานจนสุดลูกหูลูกตา แต่มีคนกลุ่มหนึ่งที่เรารู้จักคือกลุ่มอำมาตร แอบเคลื่อนไหว และแอบอ้างว่าเป็นกลุ่มคนที่ใกล้ชิดสถาบัน และใส่ร้ายว่า นายกทักษิณ ต้องการเปลี่ยนระบอบเป็นระบอบประธานาธิบดี และสร้างหลักฐานเท็จเป็น ปฏิญญาฟินแลนด์)
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
(เกิดการปะทะกัน ระหว่างกลุ่ม นปช. และพันธมิตร และ และ นปช. กับ เสื้อหลากสี จนมีคนตาย และเกิดการกล่าวหาเรื่องคอรัปชั่นมากมาย


๐ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
(คน ที่ไม่ผิดกลับถูกกล่าวหา เกิด 2 มาตรฐาน แต่คนที่ มีคุณธรรม กลับ ใช้อำนาจธุตจริต คนที่มีคุณธรรมสูงส่ง แต่กลับบบุกรุกที่ป่าสงวน และถูกตีแผ่ประจานถึงความผิดที่ได้ทำ)


ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
(ประชาชน สับสนเรื่องดีชั่ว เพราะคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนดี มีคุณธรรม แต่กล่าวหาคนอื่นว่าเป็นคนไม่ดี แต่อีกด้านหนึ่ง กลับ ทำในสิ่งไม่ดี แต่อีกกลุ่มพยายามทำเพื่อประเทศชาติ แต่กลับโดนใส่ร้าย ว่า ขายชาติ ทรยศชาติ)


พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย


( พุทธศาสนา ก็ถูกรุกล้ำเกิด กลุ่มต่างๆที่บิดเบือนหลักธรรม เช่น โพธิรักษ์ ของมหา จำลอง สำนักสันติ อโศก ความความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่ละฝ่าย สมัยก่อน เป็นมิตร และพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ว่า จะเป็น ทักษิณ สนธิ จำลอง แม้แต่สุเทพเอง สมัย ไทยรักไทย สนิทกับทักษิณมาก ไม่กล้าโจมตีทักษิณเลย หรือแม้แต่ เนรวินเอง ก็ทรยศกลายเป็นศัตรูกัน และ ช่วงนี้เกิดน้ำท่วมขึ้น บ่อยมากและทุกภาค แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ กลับเอาปลากกระป๋องเน่า ข้าวสารเน่าไปแจกชาวบ้าน )


แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
(แผ่น ดินเกิดการแตกแยกเป็น กลุ่มผู้รักประชาธิปไตย และกลุ่มอำมาตร เกิดเป็น เสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เสื้อหลากสี ขึ้นมา บ้านเมืองและประชาชนแตกแยกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เกิดการปะทะกัน ระหว่างสีมากขึ้น ไม่ว่า แดงกับเหลือง แดงกับ น้ำเงิน แดงกับ หลากสี จนสุดท้ายแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ สั่ง ขอพื้นที่คืน และกระชับพื้นที่ หรือการปราบ และสลายการชุมนุมนั่นเอง จนประชาชนล้มตาย กว่า 91 ศพ และสูญหายอีกจำนวนมาก 19 พ.ค.2553 เสียงร่ำให้กับความสูญเสียดังไปทั่ววัดประทุมวนาราม และทั่วประเทศในครอบครัวผู้สูญเสีย)


๐ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
(คน ที่ มีบารมี ที่อ้างว่ามีคุณธรรม ประชาชนกลับหมดความนับถือ ถูกด่าถูกประณาม เหมือนเป็น ข้า หรือคนต่ำต้อย อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และ พระผู้ใหญ่ ก็ มรณภาพ คือ หลวงตาบัว)


ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง
(หลัง จากนั้น แกนนำ นปช ยอมมอบตัว เพื่อลดความสูญเสีย แก่มวลชนคนเสื้อแดง ทั้งน้ำตา ณัฐวุฒิ และจตุพร ประกาศยุติการชุมนุม แล้วก้มหน้ายอมรับ และแกนนำ 8 คนถูกจองจำ นานเกือบปี ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ ผู้ที่สั่งสลายการชุมนุม รุ่งเช้าวันใหม่ เดินเข้าที่ทำการพรรค กลับได้รับ การตบมือ โห่ร้องไชโย ในชัยชนะ)


๐จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
(เกิด การปรากฏกายของผู้หญิงคนหนึ่ง นาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประกาศว่าจะนำประเทศไทยไปสู่ความปรองดอง คือ จะไม่แก้แค้น แต่จะแก้ไข ซึ่ง อภิสิทธิ์แม้จะประกาศ ว่าต้องการปรองดอง แต่กลับไล่ล่าฝ่ายตรงข้าม ซึ่งความปรองดอง จะเกิดขึ้นได้ กลับอยู่ที่ฝ่ายถูกกระทำ แต่ไม่คิดจะแก้แค้น แม้ว่าอีกฝ่าย พยายามไล่ล่า และ ใช้กฎหมายเล่นงานอีกฝั่ง ซึ่ง ยิ่งลักษณ์ มีคุณสมบัติ ที่จะนำประเทศสู่ความ สงบได้ และเป็น นายกรัฐมนตรี หญิงคนแรก ที่สามารถเข้าถึงทุกฝ่าย โดยใช้ความเป็นผู้หญิงที่มีความสุภาพอ่อนน้อม และนำความสงบของประเทศไทย)


ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ
(ซึ่ง หลังจากนั้น ความสงบสุขจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนได้ประชาธิปไตยกลับมา คนชั่วจะได้รับผลกรรม ประเทศจะผ่านพ้นวิกฤติ ตามบทกลอนที่บอกว่า ในเมื่อยามฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน) 



บทเรียนเลือกตั้ง ๒๕๕๐ โดย กาหลิบ

คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร? เรื่อง บทเรียนเลือกตั้ง ๒๕๕๐ โดย กาหลิบ



หลายคนในฝ่ายประชาธิปไตยที่ไม่ได้ร่วมกระบวนการเลือกตั้งกำลังรู้สึกเหมือนกับในช่วงก่อนวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๐ นั่นคือรู้สึกว่างงาน ไม่มีอะไรทำ ได้แต่ติดตามดูข่าวเขาหาเสียง รอเขาเรียกไปชุมนุมนานๆ ครั้ง และก็เตรียมไปหย่อนบัตรในวันที่เขากำหนดให้ใช้สิทธิ์

ยิ่งเมื่อเกิดรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชขึ้นแล้ว มวลชนฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไรทำหนักขึ้น จนถึงขั้นเหงา บางคนต้องละความสนใจจากการเมืองไปสู่กิจกรรมส่วนตัวชั่วคราว บางคนกลับไปประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อเลี้ยงตัวและกู้ฐานะที่ย่ำแย่ลงในระหว่างการต่อสู้

เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะนักเลือกตั้งส่วนใหญ่ยังขาดความสามารถและความสร้างสรรค์ ไม่สามารถชี้ให้มวลชนส่วนใหญ่รู้สึกอยากเข้าร่วมกิจกรรมที่เชิงลึกต่างๆ รวมทั้งเข้ามาช่วยสร้างกิจกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยรักษากระแสความสนใจในการต่อสู้ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในภาพกว้าง

ถ้านักเลือกตั้งเอาแต่หัวคะแนน คนแจกใบปลิว เซลล์แมน คนทำป้าย พวกทำงานยามราตรี (จนหมาหอน) และมือปืน มวลชนส่วนใหญ่ก็จะขาดบทบาทอันพึงมีพึงเป็นในระบอบประชาธิปไตย

แล้วเห็นว่ารัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายก็พัง พังเพราะมวลชนถูกกันมิให้มีส่วนร่วมตั้งแต่การเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๕๐ จนกระทั่งถึงวันที่เขายุบพรรคพลังประชาชนที่ทำให้รัฐบาลสมชายสิ้นสภาพทันที

น่าแปลกในที่ฝ่ายประชาธิปไตยอาศัยประชาชนเป็นด่านหน้าในการได้มาซึ่งสิทธิและเสรีภาพในทางการเมือง จนพูดได้เต็มปากว่าวันนี้ได้เลือกตั้งกันถ้วนหน้าเพราะเรามีมวลชนเรียกร้องกดดันอย่างเข้มข้นอยู่ แต่เมื่อเข้าสู่ลู่แข่งขันแล้วบทบาทของอาสาสมัครทางการเมืองกลับหายไปอย่างฉับพลัน ในขณะที่ “มืออาชีพ” ทางการเมืองออกมาเล่นบทบาทนั้นแทน แต่ไม่ใช่ด้วยอุดมการณ์หรือเป็นงานอาสาอีกต่อไป

พรรคฝ่ายเผด็จการศักดินาอำมาตย์นั้นช่างเถิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่เอาประชาชนขึ้นก่อน แต่กดประชาชนไว้รองรับระบอบใหญ่ที่เป็นเจ้าเป็นนายเขาอยู่แล้ว

แต่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยต้องออกแรงคิดในเรื่องนี้ให้มาก ไม่ใช่เพื่ออุดมคติอันสูงส่งก็เพื่อผลในการปกป้องรัฐบาลของตัวเอง
จำได้ไหม ตอนที่รัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายถูกกระหน่ำจนใกล้พังมวลชนเขาก็ถามกันระงมอยู่ทั่วประเทศว่าจะให้เขาทำอะไรบ้าง
แล้วเขาก็ไม่ได้รับคำตอบ

ขณะที่รัฐบาลของประชาชนถูกทำลายลงเขาก็โกรธจนตัวสั่นหรือไม่ก็ร่ำไห้อย่างแค้นใจอยู่ที่บ้าน

บางคนที่ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยก็รู้สึกขาดพลังในการรวมตัวอย่างยิ่งใหญ่พอจะไปสู้รบกับศัตรูที่ใหญ่ยิ่ง
ในเมื่อเขาหักหลังประชาชนเอารัฐบาลอภิสิทธิ์ขึ้นมาไล่ล่าฝ่ายประชาธิปไตยและรักษาบ้านเมืองไว้ในเศรษฐกิจชนชั้น คือคนระดับประชาชนไม่สามารถลืมตาอ้าปากมาสู้กับก๊วนนายทุนเก่าและเศรษฐีเก่าได้ พวกเราในฝ่ายประชาธิปไตยจึงทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้และสร้างเวทีต่อต้านกันอีกครั้ง

ความผิดพลาดที่สำคัญในครั้งนั้น และเราต้องกำหนดเป็นบทเรียนในครั้งนี้คือ การได้เป็นรัฐบาลหรือได้ร่วมรัฐบาลไม่ใช่ชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

โห่ร้องยินดีได้ แต่โปรดอย่าหลงใหลใฝ่ฝัน

ชัยชนะที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการคือการฟื้นฟูความเป็นประชาธิปไตยของประเทศในทุกๆ มิติ ลดอำนาจและอิทธิพลของอำนาจเก่าในทุกๆ มิติ และมุ่งสร้างระบอบประชาชนให้เป็นรูปธรรมอย่างไม่รีรอ

ในกระบวนการเลือกตั้ง ต้องเดินหน้าจัดตั้งประชาชนให้ตระหนักชัดว่าใครคือศัตรูตัวจริง โดยให้พี่น้องของเรามีข้อมูลและมีหลักฐานอันชัดเจนให้ช่วยจัดตั้งไล่เรียงไปเรื่อย ในขณะที่ฝ่ายเลือกตั้งก็ช่วงชิงอำนาจในรัฐสภาอย่างฉลาดและมีสติ

กลุ่มปกป้องระบอบประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นและใช้เครื่องมือที่จำเป็นทุกชนิดในภารกิจนั้น

เรื่องสุดท้ายนี้ถ้าเขาไม่ทำ เราประชาชนก็ต้องลงมือทำ.

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สุนัย จุลพงศธร อภิปรายฯ 15 มี ค 54

อภิปรายไม่ใว้วางใจ มาย้อนดูกันนะครับเป็นประโยชน์มากๆ นะครับ

สนัย จุลพงศธร อภิปรายฯ 15 มี ค 54 Part 1 

 สุนัย จุลพงศธร อภิปรายฯ 15 มี ค 54 Part 2

สุนัย จุลพงศธร อภิปรายฯ 15 มี ค 54 Part 3

 

สุนัย จุลพงศธร อภิปรายฯ 15 มี ค 54 Part 4

สุนัย จุลพงศธร อภิปรายฯ 15 มี ค 54 Part 5