Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตุลาการรัฐประหาร


ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 363 วันที่ 9 – 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 หน้า 6 คอลัมน์ ปวงประชา โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์



นักปรัชญาเมธีท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยตนเอง 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นโศกนาฏกรรม ครั้งที่ 2 เป็นละครตลกปนสมเพช

แต่สำหรับประเทศไทยต้องมี 3 ครั้ง 2 ครั้งแรกเป็นโศกนาฏกรรม คือรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยปี 2549 และการโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนปี 2551 ส่วนครั้งที่ 3 คือการพยายามโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยในขณะนี้ กำลังจะเป็นละครตลกปนสมเพช

นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 พวกเผด็จการก็ดำเนินมาตรการหลอกลวงและแยกสลายต่อฝ่ายประชาธิปไตยมาโดยตลอด ใช้ประโยชน์จากความเพ้อฝันของแกนนำพรรคเพื่อไทยที่หวังปรองดองและอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับพวกเผด็จการ พวกเขาส่งสัญญาณประนีประนอมหลอกๆโดยหวังผล 2 ด้าน ด้านหนึ่งเพื่อดึงแกนนำพรรคเพื่อไทยให้ออกห่างจากฐานมวลชนของตนเอง ทำให้พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยวและอ่อนแอ ถูกทำลายได้ง่าย อีกด้านหนึ่งก็เพื่อสร้างความระส่ำระสาย หมดกำลังใจและถอยห่างในหมู่มวลชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย

เมื่อพรรคเพื่อไทยพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ และพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติที่มุ่งยกเลิกคดีการเมืองทั้งปวงที่เป็นผลจากรัฐประหาร 2549 ฝ่ายเผด็จการก็มิอาจนิ่งเฉยต่อไปได้ จึงต้องดำเนินการรุกกลับทันที

สำหรับพวกเผด็จการแล้ว รัฐธรรมนูญ 2550 กับคดีการเมืองทั้งปวงที่โยนใส่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนักการเมืองพรรคไทยรักไทย คือหลักประกันเฉพาะหน้าในอำนาจปัจจุบันของพวกเขา เป็นดอกผลทางการเมืองที่สำคัญที่สุดที่ได้รับจากรัฐประหาร 2549 หากปล่อยให้ฝ่ายประชาธิปไตยแก้ไข 2 ประเด็นนี้สำเร็จ พวกเขาก็จะ ไม่ได้อะไรเลยจากการรัฐประหาร ทั้งยังสูญเสีย ทุนทางการเมืองของตนไปอย่างมากมายมหาศาลแล้วอีกด้วย

ใน 2 ครั้งแรกเมื่อปี 2549 และ 2551 ประชาชนจำนวนมากยังไม่รู้เท่าทันการเคลื่อนไหวของพวกเผด็จการผ่านมือเท้า เช่น กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ตุลาการ และทหาร จึงน่าตกใจและไม่อาจเข้าใจได้ทันท่วงที แต่เผด็จการไทยก็เหมือนอาชญากรการเมืองอื่นๆทั่วโลก คือชะล่าใจ กระทำการซ้ำอีกโดยเชื่อว่าประชาชนยังโง่อยู่ หรือถึงประชาชนรู้ก็ไม่มีทางตอบโต้ ในครั้งที่ 3 พวกเขากำลังทำผิดพลาด เพราะมาถึงวันนี้ประชาชนรู้และจะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป

ท้ายสุดเครื่องมือและวิธีการเก่าๆจะมีประสิทธิผลน้อยลงทุกที เปรียบเสมือนผู้ลงทุนสร้างและผู้กำกับละครที่ใช้เค้าโครงเรื่อง ฉากหลัง และตัวละครซ้ำเป็นครั้งที่ 3 จนประชาชนคนดูเอือมระอาเต็มทน คนพวกนี้คือสิ่งมีชีวิตทางการเมืองที่พ้นยุคสมัยไปแล้วอย่างแท้จริง

เราจึงได้เห็นพวกเขาหันมาใช้ สี่ขาหยั่งของตนซ้ำอีก คือกลุ่มอันธพาลการเมืองบนท้องถนนก่อกวนสร้างสภาวะจลาจลนอกสภา พรรคประชาธิปัตย์ก่อความปั่นป่วนทำลายกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภาและสนับสนุนการก่อความวุ่นวายนอกสภา องค์กรตุลาการใช้ กฎหมายมาทำลายรัฐบาลและสภาที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วจบลงด้วยการแทรกแซงของกองทัพเหมือน 2 ครั้งแรก ทั้งหมดนี้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือน ยุยงให้ท้าย ใส่ไคล้เป็นเท็จโดยสื่อมวลชนและนักวิชาการที่หากินอยู่กับเผด็จการ

การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่ผ่านอัยการสูงสุด แล้วอ้างข้อกำหนดศาล ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 มี คำสั่งให้สภาผู้แทนราษฎร ชะลอการพิจารณาร่างแก้ไขฯวาระ 3 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย เหล่านี้ได้ถูกผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายมหาชน เช่น คณะนิติราษฎร์ ชี้แล้วว่าเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นการก้าวก่ายครอบงำการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติโดยตรง

ผลเฉพาะหน้าของ คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญคือ เป็นการยับยั้งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอาจนำไปสู่การ ทำแท้งด้วยคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าร่างแก้ไขฯฉบับนี้ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งๆที่ยังไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่าเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นอย่างไร

นี่คือการตัดตอนให้เป็นบรรทัดฐานว่านับแต่นี้ไปการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ไม่ว่าจะครั้งไหน เมื่อไร ล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะทุกครั้งอาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข!

และในกรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังอาจเลยไปถึงการสั่งยุบพรรคเพื่อไทย ส่วนบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขฯก็เข้าข่ายมีความผิด ถูกถอดถอน และอาจถูกดำเนินคดีอาญาอีกด้วย!

แต่ผลในระยะยาวคือ อำนาจตุลาการกำลังเข้าครอบงำและทำลายกระบวนการนิติบัญญัติทั้งหมด เพราะในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญสามารถอ้างข้อกำหนดและกฎหมายที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญมาสั่งฝ่ายนิติบัญญัติให้ชะลอการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญได้ ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้าแทรกแซงและ ชะลอการพิจารณาออกกฎหมายอื่นๆได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งก็คือศาลรัฐธรรมนูญจะ กดปุ่มสั่งให้รัฐสภา หยุดเมื่อไรก็ได้

ทั้งหมดนี้เป็นการเผยให้เห็นเนื้อแท้ของรัฐธรรมนูญ 2550 ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการที่กลุ่มอำนาจนิยมจำนวนไม่กี่คนกุมอำนาจการปกครองที่แท้จริง ผ่านองค์กรตุลาการที่ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้งของประชาชน เป็นอำนาจที่อยู่เหนือและครอบงำอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ

คำว่า ตุลาการรัฐประหารก็คือการที่ตุลาการสามารถอ้างอิงหลักตรรกะ เลือกใช้ภาษาไทยและ พจนานุกรมมาตีความตัวหนังสือในกฎหมายรัฐธรรมนูญตามที่ตนเห็นชอบ เข้าแทรกแซงกระบวนการนิติบัญญัติและ ถอดถอนลงโทษนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งได้โดยไม่มีใครท้วงติงตรวจสอบได้

หากพรรคเพื่อไทยยอมจำนนก็เท่ากับว่าได้สูญเสียอำนาจนิติบัญญัติไปโดยสิ้นเชิง ทั้งประธานสภา รองประธานสภา และ ส.ส. เป็นได้เพียง เจว็ดในห้องประชุม เสียงข้างมากในสภาสูญเปล่า และคะแนนเสียงเลือกตั้ง 15 ล้านเสียง ก็คือเสียงนกเสียงกาที่ไร้ความหมาย

พรรคเพื่อไทยจะต้องแสดงความกล้าหาญ ยืนยันสถานะของสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบธรรม เป็น 1 ใน 3 อำนาจอธิปไตย เป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติของปวงชนชาวไทยที่มิอาจยอมจำนนต่อคำสั่งที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญเช่นนั้นได้ พรรคเพื่อไทยมิได้โดดเดี่ยว หากแต่มีหลังพิงเป็นประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่พร้อมจะสนับสนุนและปกป้องสภาที่มาจากคะแนนเสียงเลือกตั้งของพวกเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น