Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นวมทอง ไพรวัลย์:ประวัติศาสตร์ของสามัญชน สัญลักษณ์ต้านอำนาจกองทัพ-รัฐประหาร

5ปีวีรชนนวมทองรำลึก-คนเสื้อแดงจัดทำบุญรำลึกลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ครบรอบ 5 ปีการเสียชีวิตที่สะพานลอยหน้าสำนักงานนสพ.ไทยรัฐ ถนนวิภาวดี รายรอบด้วยน้ำท่วม แกนนำหลายคนรวมทั้งอ.ธิดา ถาวรเศรษฐ น.พ.เหวง โตจิราการ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และจรัล ดิษฐาภัย มาร่วมงาน(ที่มา:facebook ป๋าจอมตั๊บ กลุ่มสหายสีแดง เรารักราษฎร)



โดย แนวร่วมคนเสื้อแดง
31 ตุลาคม 2554

วันที่ 31 ตุลาคม เมื่อ 5 ปีที่แล้ว สำหรับหัวใจของ “คนเสื้อแดง” “คนรักประชาธิปไตย” คงไม่มีใครลืมประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ของคนธรรมสามัญชน ผู้รักประชาธิปไตย ที่ชื่อ

“นวมทอง ไพรวัลย์”

แม้ว่าหลักสูตรการอบรมบ่มเพาะครอบงำทางประวัติศาสตร์ของชนชั้นปกครองอำมาตย์ศักดินา มักจักให้ผู้คนในสังคมไทยจำในเรื่องในสิ่งที่พวกเขาอยากให้จำ และลืมในเรื่องในสิ่งที่พวกเขาต้องการให้ลืม

แต่นับจากนี้ไป เราพบเห็นว่า “คนเสื้อแดง” “คนรักประชาธิปไตย” “ผู้ตาสว่าง” ได้สร้างประวัติศาสตร์ของตนเองด้วยความภาคภูมิใจขึ้นมาแล้ว

เราจึงได้ยินการเอ่ยถึง จิตร ภูมิศักดิ์ เตียง ศิริขันธ์ ปรีดี พนมยงค์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ พระยาพหล พยุหเสนา ถวัติ ฤทธิเดช พ่อหลวงอินถา และอีกหลายคน ผู้มีความใฝ่ฝันถึง “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ความยุติธรรม ความเท่าเทียม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

คืนวันที่ 31 ตุลาคม “นวมทอง ไพรวัลย์” คนขับแท็กซี่ อดีตพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บางกรวย ผูกคอตายกับราวสะพานลอย บริเวณถนนวิภาวดีรังสิตฝั่งขาออก เยื้องกับที่ตั้งสำนักงานหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ (บริษัท วัชรพล จำกัด) โดยในจดหมายลาตายระบุว่า ต้องการลบคำสบประมาทของ พันเอก อัคร ทิพโรจน์ รองโฆษก คปค. ที่ว่า
ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2549 “นวมทอง ไพรวัลย์” ได้ขับรถยนต์แท็กซี่ โตโยต้า โคโรลล่า สีม่วง ทะเบียน ทน 345 กรุงเทพมหานคร ของบริษัท สหกรณ์แหลมทองแท็กซี่ จำกัด พุ่งเข้าชนรถถังเบา M41A2 Walker Bulldog ป้ายทะเบียนตรากงจักร 71116 ของคณะปฏิรูปฯ (คณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 )และได้รับบาดเจ็บสาหัส

ในคืนที่นายนวมทองแขวนคอตาย เขาตั้งใจสวมเสื้อยืดสีดำ สกรีนข้อความเป็นบทกวี ที่เคยใช้ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยด้านหน้าเป็นบทกวีของรวี โดมพระจันทร์ ที่ว่า

ตื่นเถิดเสรีชน อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน
ดาบหอกกระบอกปืน หรือทนคลื่นกระแสเรา
แผ่นดินมีหินชาติ ที่ดาดาษความโฉดเขลา
ปลิ้นปล้อนตะลอนเอา ประโยชน์เข้าเฉพาะตน

กล่าวได้ว่า การขับรถแท็กซี่ชนรถถังครั้งนั้นของ “นวมทอง ไพรวัลย์” เป็นการต่อสู้กับอำนาจนอกระบบของอำมาตย์ ที่ทำลายประชาธิปไตย และเป็นอุปสรรคขัดขางหนทางประชาธิปไตยในสังคมไทยมาหลายยุคหลายสมัย



การกระทำดังกล่าวของ “นวมทอง ไพรวัลย์” จึงเป็นสัญลักษณ์ต้านอำนาจกองทัพและรัฐประหารของระบบอำมาตย์ นั่นเอง

กระนั้นก็ตาม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ในช่วงเมษา –พฤษภา 53 อำมหิต กองทัพได้เป็นกลไกหลักในการล้อมปราบประชาชนครั้งนั้น จึงต้องนำคนฆ่า คนสั่งฆ่าดำเนินการตามกฎหมายเพื่อสร้างความยุติธรรมให้กับประชาชนผู้ถูกกระทำด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสังคมไทย ต้องการปลดเปลื้องพันธนาการที่ลดทอนการเติบโตของพลังประชาธิปไตย ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยหนึ่ง “ต้องปฏิรูปกองทัพไทย” เหมือนเช่นประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกที่กระทำกัน

กล่าวสำหรับกองทัพไทย ภายใต้บริบทการเมืองไทย ภาวะ“รัฐซ้อนรัฐ” ดำรงอยู่ปัจจุบัน ผู้เขียนมีข้อเสนอ 3 ประการ ในการปฏิรูปกองทัพ คือ

1 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องดำเนิกระบวนการ แก้ไขพรบ.สภากลาโหม เพื่อให้อำนาจในการบังคับบัญชากองทัพ กลับมาอยู่กับผู้นำพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย

2 รัฐประชาธิปไตยต้องทำให้กองทัพมีขนาดเล็กลง ไม่มีระบบการเกณฑ์ทหาร งบประมาณก็ต้องลดลง เพื่อนำงบประมาณใช้จ่ายด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมที่มีประโยชน์กว่า ท่ามกลางยุคที่หมดสมัยการทำสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน

3 รัฐประชาธิปไตย ต้องสร้างระบบการศึกษาและวัฒนธรรมกองทัพให้ทันสมัย เป็นประชาธิปไตยทั้งความคิดและการจัดองค์กร ที่ไม่เน้นระบบสายบังคัญชาแบบแบบสั่งการ โดยผู้ใต้บังคับบัญชาไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด

การปฏิรูปกองทัพ คงเป็นความใฝ่ฝันหนึ่งของ “นวมทอง ไพรวัลย์”
ขอคารวะดวงวิญญาณ “นวมทอง ไพรวัลย์”
อุดมการณ์ประชาธิปไตย ของ “นวมทอง ไพรวัลย์” จงเจริญ

******** 

ทอม ดันดี แฉกลางงานใครสั่ง..น้ำทะลักท่วมประเทศ ที่บางปู สมุทรปราการ

ทอม ดันดี บางปู สมุทรปราการ 29-10-11




งานโต๊ะจีนระดมทุนหารายได้
จัดซื้ออุปกรณ์ขยายกำลังส่ง
ของสถานีวิทยุ กลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย
90.25 MHz. ณ หอประชุมสวางคนิวาส
บางปู สมุทรปราการ
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2554
ถ่ายทอดสดโดย น้าบังสุกุล ThaiVoice

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมกาฬเมือง ที่ บางปู สมุทรปราการ โดย สส.สุนัย จุลพงศธร

งานโต๊ะจีนระดมทุนหารายได้
จัดซื้ออุปกรณ์ขยายกำลังส่ง
ของสถานีวิทยุ กลุ่มผู้กล้าประชาธิปไตย
90.25 MHz. ณ หอประชุมสวางคนิวาส
บางปู สมุทรปราการ
วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม 2554
ถ่ายทอดสดโดย น้าบังสุกุล ThaiVoice


วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มหาวิบัติน้ำทะลักนองแผ่นดินใครกัน..ทำได้(ลงคอ) ??


ลงทะเล
โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข
(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2554)


น้ำท่วมครั้งนี้ เป็น "ประสบการณ์ใหม่" ของคนจำนวนไม่น้อย

หลังจากสึนามิเมื่อปี 2544 ก็คงจะมีน้ำท่วมหนนี้ ที่ชักนำคนไทยให้มาจดจ่อหวั่นไหวในเรื่องเดียวกัน ค่อยๆ จับต้นชนปลายข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจกับสถานการณ์

สึนามิญี่ปุ่นเมื่อต้นปี ที่ซ้ำเติมด้วยสารกัมมันตรังสีรั่ว ในมุมหนึ่ง ทำให้ได้เห็นความนิ่งในการรับมือและอยู่ร่วมกับวิกฤตของชาวบูชิโด

นักเขียน คอลัมนิสต์ในบ้านเมืองเรานำมาเขียนชื่นชมกันอยู่พักหนึ่ง
ตอนนี้ถึงเวลาของประเทศไทย จะรับมือและอยู่ร่วมกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร
แต่จะคาดหวังให้เหมือนกันคงยาก เพราะคนละที่ละทางกัน รายละเอียดก็แตกต่างกันมาก
อย่างพื้นฐานที่สุด ก็คือ ประเทศไทยไม่มีประสบการณ์ในการรับมือกับภัยพิบัติใหญ่ๆ

ขนาดกฎหมายที่จะใช้ ยังมีคนพยายามชง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่เอาไว้ปราบม็อบ

จนกระทั่งโภคิน พลกุล ที่เคยเป็นมือกฎหมายรัฐบาลทักษิณ มาชี้ช่องให้ใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

น้ำท่วมครั้งนี้มีลักษณะพิเศษ ตรงที่มีการสะสมน้ำมานานนับเดือน แต่การระบายลงทะเลไม่ได้สัดส่วนกัน

ตั้งแต่เดือนมิถุนายน อันเป็นช่วงต้นฤดูฝน มีพายุเข้าไทย และฟาดหางผ่านๆ ติดต่อกันเป็นซีรีส์ ตั้งแต่ ไห่หมาน, นกเตน, ไหถาง, เนสาด, นาลแก เขื่อนหลักๆ เต็มความจุไปตามๆ กัน
ที่แน่ๆ น้ำประมาณ 1.5 หมื่นล้าน ลบ.เมตร มาจ่ออยู่เหนือกรุงเทพฯ รอระบายลงทะเล ด้วยเส้นทาง 3 ทาง คือ ตะวันตกด้านแม่น้ำท่าจีน ผ่ากลาง กทม.ด้วยแม่น้ำเจ้าพระยาและคูคลอง ระบบสูบและประตูน้ำ อุโมงค์ยักษ์ และตะวันออก ด้านแม่น้ำบางปะกง
น้ำมหาศาล ระบายน้อย กักเก็บไว้นานนับเดือน ด้วยเหตุผลอะไร เป็นข้อเท็จจริงที่ต้องมาสะสางกันต่อไป

ถ้าน้ำไหลไปตามเส้นทางอย่างมีระเบียบวินัย ไม่แตกแถว เรื่องคงจบ

แต่ไม่จบ เพราะประตูไม่เปิดบ้าง เกิดรายการแหก พังคันกั้นบ้าง ไหลไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์บ้าง เข้าตรงไหนก็ยุ่งตรงนั้น
หลายๆ หมู่บ้านที่มีประสบการณ์ในการรับมือน้ำท่วมเมื่อปี 2538 และอยู่รอดปลอดภัยมาแล้ว นำเอาวิธีการเดิมมาใช้ ปรากฏว่า น้ำมาตูมเดียวจบ โจทย์ใหม่คือ ปริมาณน้ำทั้งมาก แรง เและเร็ว เพราะสะสมที่ต้นทางจำนวนมาก สภาพภูมิประเทศก็แตกต่าง ไหนยังถนนหนทาง บ้านเรือน ชุมชนเกิดใหม่ วัชพืช ผักตกชวา ทับเส้นทางน้ำ
วิธีการเดียวกัน ที่เคยได้ผลในปี 2538 จึงให้ผลที่แตกต่างในปี 2554

สภาพที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องค้นให้พบ และนำมาวิเคราะห์เพื่อให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างรวดเร็ว

และถ้าจะระบายนักการเมืองที่เกะกะๆ ขวางทางน้ำ ลงทะเลไปบ้างก็ดีเหมือนกัน

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำกาฬเมือง ยิ่งลักษณ์กลายเป็นยิ่งเละ

ข่าวเจาะลึก
จาก RED POWER ฉบับที่ 21 ปักหลัง ตุลาคม 2554

เห็นภาพหน้าปกมติชนรายสัปดาห์ฉบับลงวันที่ 21 27 ตุลาคม 2554 บอกตรงๆโดนใจ เพราะเป็นภาพที่ให้ข้อสรุปชัดเจนถึงข้อสงสัยมาหลายเดือนแล้วว่า น้ำท่วมปีนี้เป็นเรื่องน้ำ การเมือง ใช่ไหม?

ข่าวเจาะลึก Red Power ยืนยันว่าเป็นน้ำ กาฬเมือง คือการเมืองน้ำเน่าตัวจริงไม่ใช่การเมืองเพื่อราษฎร

ปัญหาของประเทศนี้คือชีวิตของลูกน้องเทวดา (คน กทม.) กับชีวิตไพร่ (คนชนบท) ไม่เสมอภาคกัน

คนกรุงเทพฯเอาเปรียบคนชนบทและหลอกลวงคนชนบทมายาวนาน อธิบายอย่างไรก็ยากจะเข้าใจ แต่น้ำท่วมปีนี้และด้วยรูปภาพนี้ตาสว่างเลย



มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์กูไม่เอาด้วย
ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือเขายังจิกกบาลคนชนบทว่าโง่ไม่รู้จักประชาธิปไตย จากปากของอำมาตย์ในกรุงเทพฯ

คงจำกันได้ที่ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนหนังสือเรื่อง สองนคราประชาธิปไตยเนื้อความสรุปได้ว่า คนชนบทเลือกรัฐบาล คนกรุงเทพล้มรัฐบาล มายาวนานกว่า 50 ปีแล้วและวันนี้น้ำท่วมกาฬเมืองกำลังเดินหน้าล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากมูลเหตุ กูไม่ชอบมึง ยึดอำนาจแล้วมึงก็ไม่ยอมแพ้ ฆ่ามึงแล้วก็ไม่ยอมสยบ เลือกตั้งรอบสองยังจะชนะกูอีก

ปัจจัยการเมืองนับตั้งแต่การเลือกตั้งจนตั้งรัฐบาลได้ เราก็เห็นภาพยิ่งลักษณ์กระอักเลือด ตั้งแต่ถูกโกงสารพัด,คณะรัฐมนตรีห้ามมีแดง,แถลงนโยบายตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่เผด็จการร่างแล้วก็ยังเป็นนายกฯไม่ได้ จนถึงมีคำสั่งลับให้อยู่ได้ไม่เกิน 6 เดือน แล้วบทพิสูจน์สัจธรรมการเมืองไทยว่า เนื้อแท้คือระบอบอำมาตยาธิปไตยไม่ใช่ประชาธิปไตยก็มาถึงในภาวะวิกฤติน้ำท่วม กูก็จะเอามึงให้ตาย ตามสูตร 6 เดือน ที่หาคำตอบเป็นอื่นไม่ได้ ดังนี้

1. เทคโนโลยีรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดมรสุมใหญ่ แต่ก็ไม่เปิดเขื่อนระบายน้ำ แถมยังทำฝนเทียมกักเก็บน้ำไว้จำนวนมากพอเจอมรสุมเขื่อนก็กลายเป็นขื่อสวมคอรัฐบาลยิ่งลักษณ์? (กรมชลประทานช่วยตอบคำถามหน่อย)

2. เมื่อเกิดวิกฤติ หน่วยงานที่มีลักษณะเป็นรัฐอิสระอยู่นอกกลไกของรัฐบาลเช่น กองทัพและกาชาด ก็ไม่ได้แสดงบทบาทเท่าที่ควรจะเป็น มีข่าวแชทในเว็บไซต์ว่อนไปหมดว่า 10 เมษา 19 พฤษภา 2553 รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศภาวะฉุกเฉินปราบประชาชน มีทหารออกมา 50,000 กว่าคน พอปราบปรามน้ำท่วมทหารออกมาไม่ถึง 5,000 คน ส่วนกาชาดทั้งวิกฤติปราบประชาชนและวิกฤติปราบน้ำท่วม ไม่เห็นกากบาทสีแดงให้เตะตาเลย? (ใครก็ได้ช่วยตอบหน่อย)

3. สื่อโทรทัศน์ก่อน 30 กันยายน วันเกษียณอายุของราชการกรมประชาสัมพันธ์และโทรทัศน์เกือบทุกช่องออกข่าวภาพการไปพบและช่วยเหลือประชาชนของนายกฯเงาอภิสิทธิ์มากกว่านายกฯตัวจริงยิ่งลักษณ์ ทำไมจึงเกิดภาพเช่นนี้ ? (อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์และประธานบอร์ด อ.ส.ม.ท. ดร.สุรพล นิติไกรพจน์ ช่วยตอบหน่อย)

4. น้ำหลากมาล้อมกรุงเทพฯแล้วผู้ว่า กทม.มีคำนำหน้าว่า ม.ร.ว.ประกาศให้ฟังข้าพเจ้าคนเดียว และนายอภิสิทธิ์หัวหน้าพรรคเดียวกันกับผู้ว่า กทม.ย้ำแล้วย้ำอีกให้ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อให้อำนาจแก่กองทัพเป็นผู้จัดการเรื่องภัยน้ำท่วม แสดงว่าถ้าไม่ประกาศภาวะฉุกเฉินทหารก็จะไม่ออกมาใช่ไหม? (ผบ.บท.ช่วยตอบหน่อย)

5. วิกฤติน้ำท่วมประชาชนเดือนร้อนกันทั้งแผ่นดิน กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองที่ประกาศตัวว่ารักชาติและจะกู้ชาติ หายไปไหน รวมทั้งสลิ่มหมอตุลย์ก็ไม่โผล่ศีรษะให้เห็นในการช่วยเหลือประชาชน พวกนี้รักชาติภาษาอะไร  แต่ถ้าใครขยันย่องเข้าไปดูตามเว็บไซต์ผู้จงรักภักดีก็จะเห็นพวกเหลืองและพวกสลิ่มไปรวมตัวกันใส่ร้ายด่าทอนายกฯยิ่งลักษณ์ เริ่มด่าตั้งแต่ตีนใส่เกือกราคาแพงออกลุยน้ำจนถึงหนีไปดูดนตรีคอนเสิร์ต จริงอย่างที่ว่ามานี้ไหม? (พันธมิตรเสื้อเหลืองและสลิ่มช่วยตอบหน่อย)

6. สุดท้ายน้ำห้ามผ่านกรุงเทพฯคนชนบทต้องพลีชีพเพื่อคน กทม.ตามภาพมติชน และสุดท้ายของสุดท้ายน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ตาย (เพราะคนชนบทตาย) น้ำท่วมกรุงเทพฯรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยิ่งตาย ยิ่งลักษณ์ ก็กลายเป็น ยิ่งเละ สมใจคนยิ่งใหญ่ การเมืองระบอบอำมาตย์ก็มีเท่านี้ใช่ไหม?  (ประชาชนไทยช่วยตอบหน่อย)

ก็บอกแล้วว่าไพร่ต้องอยู่ส่วนไพร่ บอกเท่าไหร่ก็ไม่เชื่อ

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ค.ร.ม. เงาอภิสิทธิ์ขาด รมว.กลาโหมเงาตัวจริง

ข่าวเจาะลึกนึกไม่ถึง
จาก RED POWER ฉบับที่ 20 ปักแรก ตุลาคม 2554

          ความกระตือรือร้นของคุณชายเล็ก อดีตนายกฯลงแจกของน้ำท่วมเป็นเรื่องแปลกหูแปลกตาของคอการเมืองมากว่าทำไมวันที่เป็นนายกฯตัวจริงเธอจึงปล่อยให้ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ออกไปดูแลแจกของน้ำท่วมแซงหน้าเธอได้ จนสื่อมวลชนแซวว่า สรยุทธ มีความเหมาะสมเป็นนายกฯมากกว่าอภิสิทธิ์และยิ่งเห็นเธอวันนี้สถาปนาตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีเงาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเงาด้วยแล้ว หลายคนยิ่งแปลกใจว่าอะไรทำให้เธอเชื่อมั่นและขยันแสดงบทนายกฯให้เข้าตาแม่ยกกันยกใหญ่เช่นนี้

          คำถามในหัวใจของผู้คนเช่นนี้เป็นภารกิจของ Red Power ที่จะต้องทำการเจาะข่าวลึกล้วงข่าวคันหูมาแจ้งให้แฟนๆทราบ

          คำตอบที่ไม่ผิดก็เพราะคุณชายเล็กเป็นที่โปรดปรานของท่านป้า จ.จ. และที่เป็นนายก-กะ-บัตร-กะ-บวย ได้ถึง 2 ปี ทั้งๆที่มีคนตายกว่า 91 ศพ บาดเจ็บกว่า 2 พันคน และสวาปาล์มจนงามหน้า ทั้งหมูไข่ปลาขึ้นราคากันเอิกเกริกก็อยู่ได้ก็เพราะท่านป้า จ.จ.นี้แหละ

          ก่อนเลือกตั้งคุณชายเล็กก็ได้กำลังใจว่าอย่างไงๆก็จะได้กลับมาเป็นนายกฯแน่ๆเพราะท่านป้าที่เป็น Super Girl แห่งชาติไทยตัวจริงยืนยันว่าจะเกิดรัฐบาลทหารอุ้มรอบ 2 เพราะพรรคเพื่อไทยอย่างไงๆก็ได้เสียงไม่ถึงครึ่ง อีกทั้งชายเหล่ก็แสดงออกสั่งทหารทุกหน่วยทุกเหล่าช่วยคุณชายเล็ก บรรยากาศอย่างนี้จึงทำให้ พลพรรคของชายเล็กคึกคักเชื่อมั่นอย่างจริงจังถึงขนาดแก้ผ้าออกแถลงข่าวว่า อย่างไงๆก็จะจัดตั้งรัฐบาลแข่ง แม้จะไม่ได้เสียงมาเป็นอันดับหนึ่ง

          ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการต่อเชื่อมระหว่างชายเหล่อิ่มโอชา กับ บังธิ ด้วยหวังว่าสาย คมช.(คนมันชั่ว) จะเข้ามาหนุนช่วยในนามผู้นำทางการเมืองของฝ่ายอิสลาม ฝันหวานของบังธิที่จะมานั่ง รมว.กลาโหมดูแลทหารที่อยู่ในกลุ่มรัฐประหารนิยมจึงเกิดขึ้นและนี้คือที่มาว่าทำไมบังธิจึงแก้ผ้าชุดเผด็จการมาสู่สภาผู้แทน

          มาวันนี้แม้มติมหาชนจะผิดคาดจากที่คาดหวัง แต่ท่านป้า จ.จ.ก็ยังให้กำลังใจ ดังนั้นคนในพรรคจึงเร่งเครื่องตามสัญญาณองค์การ (ชิงช้า)สวรรค์ ว่าให้เวลานายกฯยิ่งลักษณ์ แค่ 6 เดือน ข่าวล่ำข่าวลือพูดกันในพรรคประชาธิปัตย์จนล้นปรี่ออกมานอกพรรคเมื่อข่าวหน้า 1 หนังสือพิมพ์หลายฉบับ วันจันทร์ที่ 12 กันยายน ลงข่าว ส.ส.อรรถพล (หน้าดำคล้ายสุเทพ) จากเพชรบุรี ประกาศยืนยันตามสัญญาณองค์การ (ชิงช้า) สวรรค์ เรื่องจะอยู่ได้ 6 เดือน ของ นางสาวยิ่งลักษณ์

          ทั้งหมดคือที่มาของ ค.ร.ม.เงาที่ชายเล็กขยันขันแข็งเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะให้ ค.ร.ม. เงาสมบูรณ์ตามแผนเดิมจริงๆควรแบ่งตำแหน่ง รมว.กลาโหมเงาให้แก่พลเอกสนธิบัง ก็จะได้เป็นกำลังใจแก่ทุกฝ่ายไปจนถึงชายเหล่ด้วย

          คุณอภิสิทธิ์ 6 เดือนแล้วอย่าลืมปรับ ค.ร.ม.เงาตามโผเดิมด้วยนะจ๊ะ........จุ๊บจุ๊บ....จาก จ.จ.

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สลิ่ม..ฮือฮา “นายกฯ ปู” สวมบูทไฮโซราคาหลัก “พัน” ฝ่าน้ำท่วม “เมีย..กรณ์” ไม่ยอมน้อยหน้า ใส่ชาแนล หลัก“หมื่น” ลุยโคลนด้วย


เป็นที่ฮือฮากันไปทั่วเมื่อคอการเมือง “ตาดี” แถมเชี่ยวชาญด้าน “สินค้าแบรนด์เนม” พลันเห็นนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงพื้นที่ลุยน้ำท่วม ด้วยรองเท้าบูทลายสก็อตสุดไฮโซยี่ห้อ “เบอร์เบอร์รี่” จากอังกฤษ
ทำเอาคนที่เกลียด “ทักษิณ” ไม่รัก “ยิ่งลักษณ์” ไม่ชอบ “เพื่อไทย” อยู่เป็นทุนเดิม ถึงกับนำเอาประเด็นเรื่องบูทเบอร์เบอร์รี่มาขยายใหญ่ ราวกับเป็น “ความบกพร่องผิดพลาด” ประการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของ นายกฯ หญิง

อย่างไรก็ตาม มีคน “ตาดี” อีกฝ่าย ที่มองเห็นวรกร จาติกวณิช ศรีภรรยาของอดีตขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช แห่งพรรคประชาธิปัตย์ สวมบูทชาแนลรุ่น “เรน บูทส์ คาเมลเลีย” ไปตะลุยโคลนช่วยน้ำท่วมเช่นกัน
บูทหรูเปื้อนโคลนที่ปรากฏในรูป น่าจะเป็นของรักของ "เจ วรกร" บูทคู่นี้ สนนราคาประมาณ 395 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 12,000 บาท เรียกได้ว่า เบาๆสำหรับคนมีสะตุ้งสตางค์อย่างกรณ์ เพื่อเมียรักจะน้อยหน้ากว่านี้ได้ไง
เรามาช่วยกันมองให้สูงกว่ารองเท้าลุยน้ำของ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่พวกสลิ่มเสื้อเหลืองโจมตีดีไหม? คนไทยต้องพบกับน้ำท่วมและน้ำแร้งมายาวนานไม่เคยได้ยินผู้นำในอดีตพูดถึงการลงทุนจัดระบบน้ำทั้งประเทศเลย
พึ่งได้ยินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะใช้งบแสนล้านจัดระบบน้ำทั้งประเทศโดยจะไม่กู้เงินเลยแล้วก็ถูกยึดอำนาจล่าสุดได้ยินอีกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาสัมภาษณ์ผ่าน BANGKOK POSTจากดูไบ โดยจะดำเนินการประสานกับการหาตลาดพืชผลล่วงหน้ากับประเทศผู้ที่จะมาลงทุนจัดระบบน้ำในไทย ซึ่งจากการดำเนินโครงการนี้ (ถ้าไม่ถูกทหารยึดอำนาจอีก) จะเกิดระบบการสร้างเสถียรภาพให้กับราคาพืชผลทางการเกษตร ซึ่งตลอดชีวิตของชาวนาที่ทำนามา 100 กว่าปีไม่เคยรู้ล่วงหน้าเลยว่าข้าวที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของเขานั้นจะได้ราคาเท่าไร ชีวิตชาวนาชาวไร่ที่ไม่เคยรู้อนาคตของตัวเองเลยนั้นจะได้ยุติเสียที
ผมก็แปลกใจจริงๆว่า ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ถลุงงบเงินกู้ไทยเข้มแข็ง 926,000 ล้านแล้วทำไมผู้นำอย่างคุณอภิสิทธิ์ไม่พูดถึงการลงทุนจัดระบบน้ำเลย เสียเวลา เสียโอกาสและสิ้นเงินไปเปล่าๆ รวมทั้งพรรค ปชป.มีชีวิต มานานกว่า 60 ปีเป็นนายกฯถึง 5 ครั้ง น้ำท่วม น้ำแร้งก็มีมาตลอดก็ไม่เห็นบันทึกในประวัติศาสตร์ถึงโครงการจัดระบบน้ำเลย ทำไมๆๆๆๆๆ และที่ร้ายที่สุดวันนี้มีแต่เกมส์การเมืองโจมตีๆๆๆๆใส่ร้ายๆๆๆๆ ช่วยหาคำตอบ ตอบแทนแฟนคลับ ปชป.ด้วยครับ
ข้อมูลมาจาก
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
SunaiFanclub วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2554

5 ปี 19 กันยา ตาสว่าง ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ตัวทักษิณแต่เป็น...?

บทวิเคราะห์ หน้าที่ 5
จาก RED POWER ฉบับที่ 20 ปักแรก ตุลาคม 2554
โดย นายวิจัย  ใจภักดี

                 19 กันยายน 2554 ครบ 5 ปี การรัฐประหารที่ไม่สะเด็ดน้ำ ด้วยเกิดกระบวนการต่อต้านของประชาชน ดื้อเงียบโมเดล จนถึง เสื้อแดงโมเดล ทำให้ 5 ปี เป็นช่วงเวลาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยคือเข้าสู่ยุค  ร้อยบุบผาบานพร้อมพักตร์ร้อยสำนักประชันเสียงเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางที่สุดจนเกิดภาวะตาสว่างทั่วราชอาณาจักรว่า

   ปัญหาที่แท้จริงของการยึดอำนาจที่คณะรัฐประหารใช้อ้างเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 นั้นปัญหามิได้เกิดจากตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่อยู่ที่ใคร ? และเพราะอะไร?

      ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยโปรดติดตามประเด็นสำคัญต่อไปนี้เพื่อให้เกิดความรู้ที่เป็นจริงต่อสถานการณ์การรัฐประหารและเตรียมการเผชิญกับปัญหาวิกฤติการเมืองในอนาคตที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน

ข้อมูลที่นำมาเรียงร้อยต่อไปนี้ โปรดใช้หลักกาลามสูตร พิจารณาด้วยวิจารณญาณของท่านเอง

ภาวะระส่ำระส่ายการเมืองไทยยาวนานกว่า 5 ทศวรรษ

          ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าประเทศไทยไม่เคยเกิดภาวะความสงบทางการเมืองเลยตลอดระยะเวลาเกือบ 80 ปี นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 จนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะที่เกิดภาวะการขัดแย้งอย่างเข้มข้น นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ปี 2489 เป็นต้นมา หลักฐานที่ยืนยันและฟ้องตัวเองคือเกิดการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจในโครงสร้างส่วนบน หรือนัยหนึ่งคือความขัดแย้งในฝ่ายอำมาตย์ด้วยกันและระหว่างฝ่ายประชาชนกับอำมาตย์ โดยมีเหตุการณ์รัฐประหารรวม 21 ครั้ง และมีการฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่ (ขยันฉีกขยันร่าง) รวม 18 ฉบับ โดยฉบับแรก 2475 ใช้จนถึง 2490 นอกนั้นฉีก 17 ฉบับ อยู่ในยุคหลังจากเปลี่ยนรัชกาลเข้าสู่รัชกาลปัจจุบัน นอกจากนี้เกิดการลุกขึ้นของประชาชนเพื่อต่อต้านอำนาจเผด็จการของรัฐบาลครั้งใหญ่ด้วยจิตสำนึก เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย จนถึงขั้นเสียสละชีวิตอีก 5 ครั้งคือเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 , 6 ตุลาคม 2519 , พฤษภาทมิฬ 2535 , 12 13 เมษาเลือด 2552 และการสังหารเสื้อแดงที่เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา 10 เมษายน 19 พฤษภาคม 2553
          เกิดข้อสรุปได้ชัดเจนจากภูมิหลังของวิกฤติการเมืองไทยก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คือ ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่ตั้งมั่น ดังนั้นจึงเกิดการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในหมู่อำมาตย์กันเองด้วยกำลังอาวุธ โดยไม่เอาการลงคะแนนเสียงจากประชาชนเป็นตัวตั้ง แต่นับจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เมื่อนิสิตนักศึกษาประชาชนตื่นตัวลุกขึ้นทวงอำนาจของประชาชนในการปกครองตนเอง เหล่าอำมาตย์ก็สามัคคีหันหน้าเข้าหากันชั่วคราวแล้วรุมทำร้ายประชาชน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขากันเอง โดยโจมตีป้ายสีว่าคอมมิวนิสต์เข้าแทรกแซงการเมืองในระบอบรัฐสภาบ้างและที่อำมาตย์ไม่เคยเห็นด้วยเลยก็คือ   ระบอบการเลือกตั้งของประชาชนเป็นความเลวร้าย โดยมีทั้งนักวิชาการและสื่อสารมวลชนลูกสมุนอำมาตย์เป็นผู้คอยประโคมข่าวแล้วก็จะปิดท้ายรายการด้วยการใช้กำลังทหาร (ที่ถนัดและเคยทำกันมา) เข้าทำการยึดอำนาจ ล้มพรรคการเมือง และสร้างกลไกทางกฎหมาย เพื่อไม่ให้ระบอบการเลือกตั้งของประชาชนเกิดความมั่นคง เช่นการยุบพรรค ตัดสิทธิ์หัวหน้าพรรคพร้อมกรรมการ และถอดถอนส.ส.ให้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
          กล่าวโดยสรุป โดยส่วนลึกของหัวใจแล้ว มวลอำมาตย์ไม่ชอบระบอบอำนาจที่มาจากประชาชนโดยตรง
          ก่อนหน้าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะก้าวขึ้นตามกลไกของระบอบประชาธิปไตยของประชาชนพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย ที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ประเทศชาติและกำลังจะสร้างระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งขึ้น ระบอบอำมาตย์ก็ป้ายสีแล้วทำลายด้วยการรัฐประหารเช่นกัน
          แต่เมื่อเข้าสู่ยุครัฐธรรมนูญประชาชนฉบับปี 2540 ซึ่งเป็นผลจากการลุกขึ้นสู้ของประชาชนกับรัฐประหารของ พลเอกสุจินดา คราประยูร ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี 2535 ก็เกิดความมั่นคงของระบอบพรรคการเมือง และระบอบประชาธิปไตยของประชาชนขึ้นและโดยผลแห่งรัฐธรรมนูญทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณก้าวขึ้นเป็นนายกฯคนแรกที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคการเมืองเดียวได้เป็นครั้งแรกสำเร็จนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 โดยมีเสียง ส.ส. ในสภาถึง 377 เสียง และด้วยจำนวนเสียงอย่างมั่นคงนี้ทำให้แกนนำอำมาตย์เกิดภาวะวีนแตก และพรรคประชาธิปัตย์ที่ปกปิดตัวเองมานานก็เปิดโปงตัวเองว่า 60 กว่าปีที่ผ่านมาเนื้อแท้คือพรรคลูกสมุนอำมาตย์ก็เกิดภาวะวีนแตกตามมา ด้วยการถูกใช้ให้เข้าร่วมก่อจลาจลกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อช่วงชิงอำนาจให้อยู่ในอุ้งมือของอำมาตย์ต่อไป แต่ประชาชนเกิดภาวะตาสว่างจึงไม่ยินยอม จึงเกิดภาวะต่อต้านในขอบเขตทั่วโลก
          ดังนั้นปฐมเหตุแห่งการรัฐประการเมื่อ 19 กันยายน 2549 จึงไม่ใช่มาจากทักษิณ หากแต่มาจากโครงสร้างของระบอบอำนาจอำมาตยาธิปไตย ที่มีอำนาจตัวจริงคือ กองทัพที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทุกครั้งเมื่ออำนาจของฝ่ายประชาชนจะเริ่มตั้งมั่นและฝ่ายอำมาตย์กำลังเพลี่ยงพล้ำ
          ส่วนปัจจัยความขัดแย้งเฉพาะบุคคลและเฉพาะสถานการณ์ในขณะนั้นก็มีส่วนสำคัญที่ต้องนำมาประกอบการวิเคราะห์ด้วย ดังจะกล่าวต่อไป




ข้อกล่าวหาทักษิณ 5 ปี พังทลายสิ้น

          ความเก่งกาจของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กลายเป็นสายล่อฟ้าที่เร่งให้อำนาจนอกระบบตัดสินใจทำลายตัวทักษิณโดยปล่อยไว้ต่อไปไม่ได้ เนื่องจากเวลาฝ่ายอำมาตย์วิตกกังวลใกล้จะมาถึงและจำเป็นจะต้องเร่งควบคุมอำนาจ
          จากความสามารถในการบริหารจัดการ และการจัดทำนโยบายที่ก้าวหน้าและทันสมัยเพื่อประชาชน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกองทุนหมู่บ้าน , นโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค และนโยบายทำสงครามกับยาเสพติดอย่างได้ผล รวมถึงการสวมบทที่สามารถปฏิบัติตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชนได้ทั้งหมด ทำให้คะแนนนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พุ่งกระฉูด และจากผลการเลือกตั้งรอบ 2 เป็นตัวชี้วัดคือชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยได้จำนวน ส.ส. 377 เสียงจาก 500 เสียงในสภาสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้นี้เป็นผลให้อำนาจนอกระบบตัดสินใจทำลายทักษิณและพรรคไทยรักไทยด้วยเพราะ ทักษิณมิได้กุมเสียงเกินครึ่งของสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น หากแต่กุมเสียงเกินครึ่งหนึ่งของทั้งสองสภารวมกัน (สองสภามีเสียงสมาชิกรวม 700 เสียง) เท่ากับทักษิณสามารถกุมการตัดสินใจตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้นความหวาดกลัวของใครบางคนที่มีอยู่เดิมแล้วได้พัฒนากลายเป็นความวิตกกังวล และนับจากนั้นสารพัดม๊อบและสารพัดข้อหาความผิดจึงถาโถมใส่พ.ต.ท.ทักษิณ ประดุจเป็นสายล่อฟ้า ไม่ว่าจะเป็นความผิดเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เริ่มต้นจากการทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว , ความผิดเรื่องหวยบนดิน , ทุจริตกล้ายาง , ทุจริตสนามบิน และฆ่าประชาชน ตามนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด และเมื่ออำนาจนอกระบบเข้ายึดอำนาจแล้วก็มีการจัดตั้ง      ค.ต.ส. (คณะกรรมการกินโต๊ะสหบาทา) ก็เกิดขึ้น โดยนำบุคคลที่ล้วนแล้วแต่เคยมีข้อพิพาทและเป็นคู่กรณีกับพ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาเป็นกรรมการ เพื่อให้เล่นงานพ.ต.ท.ทักษิณสถานเดียว การสอบสวนสรุปคดีส่งฟ้องศาลดำเนินไปอย่างเร่งด่วนและมุ่งที่จะเอาผิดทักษิณให้ได้ เพื่อใช้เป็นชนักปักหลังให้ทักษิณตายทางการเมืองให้ได้ แต่แล้วก็เอาผิดตามข้อกล่าวหาที่รุนแรงไม่ได้แม้แต่คดีเดียว คงเอาผิดได้เพียงเรื่อง ขี้หมา คือลงนามรับรองสำเนาถูกต้องบัตรประชาชน เพื่อให้ภรรยาไปประมูลซื้อที่ดินรัชดาเท่านั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง (ศาลพิเศษศาลเดียวจบ) ได้ตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
          แทนที่คำพิพากษานี้จะศักดิ์สิทธิ์ แต่นับวันจะกลายเป็น ศักดิ์เสื่อม ยิ่งศาลรัฐธรรมนูญแสดงตัวตัดสินให้สมัครออกจากนายกฯ เพราะทำกับข้าวแล้วตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน เอาสมชายออกจากนายกฯซึ่งแสดงออกชัดว่ามีเป้าหมายชัดเจน คือจะไม่ให้คนใกล้ชิดทักษิณเป็นนายกฯเลยยิ่ง ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของคำพิพากษาที่เกี่ยวกับคดีการเมืองไม่ว่าจะเป็นเรื่องยุบพรรค ตัดสิทธิ์ หรือยึดทรัพย์ทักษิณ กลายเป็นคำพิพากษาศักดิ์เสื่อมและยิ่งทำให้ฐานะของทักษิณได้รับความเห็นอกเห็นใจจากประชาชนมากขึ้น หลักฐานที่สนับสนุนข้อสมมุติฐานนี้ คือ ปรากฏการณ์ยิ่งลักษณ์ จากคนที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวงการการเมืองเลย กลับสวมบทก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศได้ภายในเวลา 45 วัน เพียงเพราะมีนามสกุลเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าคะแนนเสียงที่คุณยิ่งลักษณ์ได้รับนั้นส่วนที่เป็นหลักมาจากความเห็นอกเห็นใจอันเป็นพลังแห่งทักษิณ
          ชัยชนะของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประชาชนไม่เชื่อในข้อกล่าวหาที่คณะรัฐประหารกระทำต่อ พ.ต.ท.ทักษิณตลอดระยะเวลา 5 ปี

การปรากฏตัวของพลเอกเปรมที่มีนัยสำคัญต่อการรัฐประหาร
          การปรากฏตัวของพลเอกเปรมถือเป็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคนี้ที่ไม่อาจจะมองข้ามได้
          พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานองคมนตรี โดยวัฒนธรรมการเมืองถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมและจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแต่ในความเป็นจริงบทบาทของพลเอกเปรมกลับมีบทบาททางการเมืองที่มีลักษณะฝักฝ่ายที่แตกต่างจากประธานองคมนตรีท่านก่อนเช่น อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เคยปฏิบัติมาอย่างน่านับถือ
          รูปธรรมที่ต้องให้ความสำคัญเกิดขึ้นตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2549 ก่อนการรัฐประหารด้วยการที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวพาดพิงถึงท่านประธานองคมนตรีพลเอกเปรม ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าว่า เราชนะแล้ว เพราะสามารถยื่นหนังสือขับไล่ทักษิณได้ 3 ฉบับสำเร็จ คือฉบับที่ 1 ยื่นให้แก่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ณ ที่บ้าน 4 เสา , ฉบับที่ 2 ยื่นให้แก่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้น และฉบับที่ 3 ยื่นให้แก่สำนักพระราชวัง  
          ในคืนกลางดึกของวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่พลเอกสนธิทำการยึดอำนาจ พลเอกเปรมก็เป็นผู้นำคณะรัฐประหารอันได้แก่ ผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายเข้าเฝ้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ แต่หากใครจะมองว่าการกระทำดังกล่าวของพลเอกเปรมเป็นความจำเป็นในฐานะผู้ใหญ่ของประเทศก็อาจจะมีเหตุผล แต่หากจะพิจารณาบทบาทของพลเอกเปรมอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นก็เห็นได้ว่าไม่อาจจะสรุปเป็นอย่างอื่นได้เลยนอกจากว่าพลเอกเปรมนั่นแหละคือหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงเพราะนับแต่ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ทูลเกล้าเสนอผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีและทีมงานผู้บริหารในรัฐบาลของคณะรัฐประหารที่นำโดยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งหมดล้วนเป็นคนใกล้ชิดพลเอกเปรมทั้งสิ้น ไม่มีคนของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เลย และข้อเท็จจริงก็ปรากฏด้วยว่าเมื่อพลเอกสนธิ เกษียณอายุราชการแล้วเพียงแค่จะขอเข้ามาถืออำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ และหากจะมองการร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นหัวใจของอำนาจก็ยิ่งเห็นชัดเพราะประธานยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ใช้อยู่ปัจจุบันคือ นายประสงค์ สุ่นศิริ ที่ไม่เพียงแต่มีฐานะเป็นลูกป๋าแต่หากเป็นลูกกระเดือกของพลเอกเปรมอีกด้วย
          เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลของคณะรัฐประหารขึ้นแล้วพลเอกเปรมก็แสดงออกถึงการสนับสนุนอย่างเปิดเผยด้วยการกล่าวชื่นชม พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์  ว่า เป็นนายกฯเชอร์ชิล แห่งอังกฤษ
          แม้หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วก็เกิดการรัฐประหารเงียบขึ้นอีกด้วยการล้มรัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชาย แล้วนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลรัฐประหารเงียบ    นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ พลเอกเปรมก็แสดงบทบาทเกินความเหมาะสมต่อตำแหน่งองคมนตรีอันเป็นตำแหน่งที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพยำเกรงของประชาชน ด้วยการเปิดบ้านต้อนรับค.ร.ม.ของนายอภิสิทธิ์พร้อมออกปากชมนายอภิสิทธิ์อย่างออกหน้าออกตาว่า ประเทศไทยโชคดีที่ได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯพร้อมทั้งให้คณะรัฐมนตรีของนายอภิสิทธิ์ทุกคนถ่ายรูปร่วมกับพลเอกเปรม ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวนี้เป็นการแสดงออกอย่างมีนัยสำคัญว่า พลเอกเปรมมีบทบาทต่อการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 และการใช้วิธีรัฐประหารเงียบตลอดระยะเวลา 5 ปี ต่อจากนั้นโดยล้มรัฐบาลที่ท่านไม่พึงพอใจคือรัฐบาลสมัคร สมชาย จนกระทั้งจัดตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ท่านพึงพอใจขึ้นมา ยิ่งเป็นการยืนยันถึงบทบาทสำคัญของท่านในฐานะตัวจริงเสียงจริง

การปรากฏตัวของตุลาการที่มีนัยสำคัญต่อการรัฐประหาร

          การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการรัฐประหารครั้งแรกของประเทศไทยก็ว่าได้ ที่มีลักษณะพิเศษที่สุดไม่เหมือนครั้งใดที่ผ่านมานั่นคือ ผู้พิพากษาระดับสูงที่มีอิทธิพลต่อระบบตุลาการได้แสดงตัวเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐประหารด้วย นับตั้งแต่ก่อน 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันที่นักวิชาการสอพลอให้การยกย่องว่าเป็นตุลาการภิวัฒน์
          บทบาทของผู้พิพากษาดังกล่าวข้างต้นเริ่มตั้งแต่ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกาในขณะนั้นและเลขานุการคู่ใจ นายจรัญ ภักดีธนากุล รวมทั้งนายอักขราธร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด เข้าร่วมวางแผนการรัฐประหารกับพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่บ้านนายปีย์ มาลากุล  (จากการเปิดเผยของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ซึ่งร่วมนั่งประชุมด้วย)
          หลังจากการรัฐประหาร นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้พิพากษาผู้ใกล้ชิด นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ก็ได้รับตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ในขณะที่นายชาญชัย จากประธานศาลฎีกาก็มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมด้วยกัน และนายจรัญก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญอีกคนหนึ่งที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ที่รักษาอำนาจของคณะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตัวจริงไว้ด้วยการสร้างระบบการแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาขึ้นมาควบคุมรัฐบาลที่มาจากประชาชน และวางอำนาจให้องค์กรอิสระครอบงำอำนาจประชาชนโดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง และให้มีอำนาจอยู่ยาวนานถึง 9 ปี ได้แก่ องค์กร ปปช. รวมทั้งอำนาจของผู้บริหารศาลก็ให้มีอำนาจอยู่เกินเกษียณอายุจาก 60 ปี ขยายเป็น 70 ปี โดยไม่ต้องออกจากอำนาจในการบริหารกระบวนการยุติธรรมและที่สำคัญที่สุดก็คือ ร่างกฎหมายให้ศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่มีอำนาจล้มรัฐบาลของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งได้ และมีอำนาจยาวนานถึง 9 ปี แล้วก็แสดงบทบาท คำพิพากษาที่กลายเป็น คำพิพากเสื่อมด้วยการตัดสินล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ด้วยข้อหาทำกับข้าวออกโทรทัศน์ และตัดสินล้มรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ด้วยการยุบพรรคอย่างรวดเร็วและฉุกละหุก ตามแผนการรัฐประหารเงียบ เพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาเป็นต้น อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญยังแสดงบทบาทชัดเจนในการประสานงานกับอำนาจนอกระบบในการคุ้มครองรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ทหารร่วมจัดตั้งขึ้น ด้วยการตัดสินยุบพรรคทุกพรรคที่ผ่านมาในฝ่ายของพรรคการเมืองที่มารวมกลุ่มจัดตั้งรัฐบาลกับนายสมัคร สุนทรเวช แต่ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆที่ข้อหาชัดเจนเช่นกัน
          การปรากฏตัวของผู้พิพากษาที่มีฐานะเป็นผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูงมิได้มีลักษณะเฉพาะตัว แต่หากมีลักษณะเป็นกระบวนการดังจะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปี นับแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กลไกของระบบตุลาการยังแสดงบทบาท 2 มาตรฐานแห่งดุลพินิจที่มีลักษณะเลือกฝ่ายระหว่างเสื้อแดงกับเสื้อเหลืองอย่างชัดเจนจะเห็นได้ว่าถ้าหากเป็นคดีของเสื้อแดงเริ่มต้นจะไม่ได้รับการประกันตัวและพิจารณาลงโทษอย่างรวดเร็ว แต่คดีของฝ่ายเสื้อเหลืองไม่ว่าจะร้ายแรงขนาดไหน เช่น การยึดสนามบิน ยึดทำเนียมรัฐบาล และยึดสถานีโทรทัศน์ NBT เริ่มต้นจะได้รับความปราณีด้วยการประกันตัวก่อน จนกระทั้งถึงขณะนี้แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยตามรูปแบบแล้ว แต่เนื้อแท้แนวคิดเผด็จการ 2 มาตรฐานยังดำรงอยู่ ยังเห็นได้ชัดเจนว่าประชาชนฝ่ายเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีจากอดีตยังไม่ได้รับการประกันตัวอีกจำนวนมากเช่นนายสุรชัย แซ่ด่าน และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข และเสื้อแดงระดับมวลชนอีกจำนวนหนึ่งยังไม่ได้รับสิทธิการประกันตัว
          บทบาทของกระบวนการตุลาการที่ถูกขนานนามว่า ตุลาการภิวัฒน์ นี้หากกล่าวถึงที่สุดแล้วก็คือการปกป้องจิตวิญญาณของการรัฐประการ 19 กันยายน 2549 และต่อต้านการกลับมาของอำนาจฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณจนถึงที่สุด และการตัดสินที่สำคัญและมีบทบาทกลายเป็นจระเข้ขวางคลองไม่ให้ทักษิณกลับเมืองไทย คือคำพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี ข้อหาลงนามรับรองสำเนาบัตรประชาชนถูกต้องให้ภรรยาซื้อที่ดินรัชดาและยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ
          ใครคือตัวกระตุ้นให้เกิดขบวนการตุลาการภิวัฒน์? จนส่งผลให้ผู้พิพากษาอาวุโสหลายคนกล้าท้าทายหลักนิติธรรมถึงเพียงนี้ ? เป็นคำถามที่หากผู้อ่านค้นพบเมื่อไรก็จะรู้ทิศทางของการเมืองไทยอย่างชัดแจ้ง

การล้มรัฐบาลสมัคร สมชาย : ผลแห่งตุลาการภิวัฒน์

          การล้มรัฐบาลสมัคร สมชาย ในทางประวัติศาสตร์ถือได้ว่าเป็นการรัฐประหารรูปแบบหนึ่ง เพราะเป็นการเปลี่ยนรัฐบาลที่มิใช่เป็นไปตามกลไกของระบอบรัฐสภา กล่าวคือ มิได้ใช้กลไกของสภาทำการเปลี่ยนรัฐบาล หากแต่ใช้กลไกของศาลที่มิได้มาจากประชาชนล้มรัฐบาลของประชาชน และใช้กระบวนการนอกกฎหมายด้วยการใช้มวลชนจัดตั้งประสานกับอำนาจทางการทหารและอำนาจศาลเปิดไฟเขียวให้มวลชนจัดตั้งทำการก่อจลาจลล้อมสภา , ยึดทำเนียบรัฐบาล , ยึดสนามบิน โดยไม่ผิดกฎหมาย จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จนถึงขณะนี้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามกลไกการเลือกตั้ง โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ไม่อาจจะก้าวเข้าไปถ่วงดุลกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรมของตุลาการได้ ดังจะเห็นได้ว่ากระบวนการแห่งอำนาจนอกระบบยังกางแขนกางขาปกป้องการกระทำผิดของมวลชนจัดตั้งเสื้อเหลือง ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการรัฐประหารเงียบที่ผ่านมา โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่อาจจะดำเนินการทางกฎหมายได้ และบทวิเคราะห์นี้ขอฟันธงว่าเรื่องการจลาจลด้วยการปิดล้อมสภา , การยึดสนามบิน และการยึดทำเนียบรัฐบาล ของกลุ่มพันธมิตรจะต้องกลายเป็นคลื่นกระทบฝั่งอย่างแน่นอน
          เหตุการณ์การล้มรัฐบาลสมัคร สมชาย จึงเป็นเหตุการณ์ที่บอกความจริงถึงอำนาจของการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ว่าเกิดการผนวกอำนาจระหว่างทหารกับศาลเข้าด้วยกัน และแม้จะผ่านมา 5 ปี แล้วก็จริง แต่อำนาจของคณะรัฐประหารยังอยู่โดยสมบูรณ์ เพราะเนื้อแท้ของการรัฐประหาร 19 กันยา คือเนื้อแท้ของอำนาจรัฐตัวจริง เสียงจริง ที่อยู่นอกระบบรัฐสภา ที่ทางวิชาการรัฐศาสตร์ขนานนามมายาวนานว่า อำนาจนอกระบบ
          การสิ้นศรัทธาต่อระบอบตุลาการของไทยจึงกลายเป็นต้นทุนของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่แพงที่สุดที่เคยมีการรัฐประหารกันมาตลอดระยะเวลาเกือบ 80 ปี ดังนั้นการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติที่มีศาสตราจารย์ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานเพื่อหาแนวทางฟื้นศรัทธาของระบบนิติธรรมของไทยจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่จะเดินได้ตลอดรอดฝั่ง หรือจะถูกทำลายไปพร้อมกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นเรื่องท้าทายที่ต้องติดตามกันต่อไป


การฆาตกรรมประชาชนกรณี ผ่านฟ้า ราชประสงค์ เป็นส่วนหนึ่งของการรัฐประหาร

          การต่อต้านการรัฐประหารของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่ประชาธิปไตยที่เลือกวิธีการต่อต้านด้วยการขับรถแท็กซี่พุ่งชนรถถัง และต่อมาก็ตัดสินใจผูกคอตายประท้วง เป็นครั้งแรกที่คนไทยกล้าตัดสินใจเสียสละชีวิตอย่างทันทีทันใดด้วยความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่แทนที่หัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงจะเกิดความสำนึกว่าประชาชนไทยได้เกิดการพัฒนาการด้านจิตสำนึกทางประชาธิปไตยถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องสิทธิประชาธิปไตยของเขา พวกเขากลับดูถูกดูแคลนลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ว่าเกิดจากอาการทางประสาทแล้วในที่สุดการทำรัฐประหารเงียบด้วยการก่อจลาจลยึดทำเนียบรัฐบาล และยึดสนามบิน แล้วใช้กระบวนการทางศาลล้มรัฐบาลสมัคร สมชาย ก็เกิดการต่อต้านในเส้นทางเดียวกับที่ลุงทองนวม ไพรวัลย์ เดินมา แต่คราวนี้มาในลักษณะการเคลื่อนไหวของมหาชนในเหตุการณ์เมษาเลือด 2552 แม้จะถูกปราบอย่างรุนแรงแต่ก็ไม่มีใครเกรงกลัว และในเดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 ประชาชนก็ลุกฮือขึ้นต่อต้านการบริหารอำนาจของรัฐบาลอภิสิทธิ์หุ่นเชิดของอำนาจเผด็จการอีก ด้วยการเรียกร้องให้ประกาศยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ลูกสมุนเผด็จการ กลับดูถูกดูแคลนการชุมนุมของผู้รักประชาธิปไตยว่าเป็นเพียงลูกจ้างของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งไม่ต่างจากที่หัวหน้าคณะรัฐประหารพลเอกสนธิเคยดูถูกลุงทองนวม ไพรวัลย์ ,พวกเผด็จการจึงตัดสินใจกำจัดพวกทักษิณด้วยใช้วิธีการปราบปรามด้วยความรุนแรงมีคนตาย 91 ศพ และบาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน ซึ่งเป็นการใช้ความรุนแรงที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ต่อประชาชน แต่แทนที่รัฐบาล,ทหาร,ศาล และสื่อมวลชน จะสำนึกต่อบาปที่กระทำต่อประชาชน เหตุการณ์กลับกลายเป็นการใส่ร้ายอย่างออกหน้าออกตาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและไม่ได้รับการปราณีหรือเมตตาใดๆจากกระบวนการยุติธรรมของรัฐไทยเลย รวมตลอดถึงสื่อมวลชนบางกลุ่มก็แสดงตนเป็นซาตานผู้กระหายเลือดลงข่าวใส่ร้ายผู้ตายและบาดเจ็บอย่างขาดสำนึกทางมนุษยธรรมอย่างผิดสังเกต รวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็สวมบทของซาตานร่วมด้วย
          การตายและบาดเจ็บจำนวนมากของประชาชนนี้ ได้กลายเป็นตราบาปของระบอบอำมาตย์ที่ยากจะลบเลือนได้อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยทำมาแล้วหลายครั้งอย่างโหดเหี้ยมในอดีตที่ผ่านมา
          ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดก็คือบทบาทของพลเอกเปรมในฐานะสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมที่พึ่งของประชาชนกลับนิ่งเฉยต่อการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายนี้ ซึ่งถ้าหากจะเปรียบกับเหตุการณ์วิกฤติพฤษภาทมิฬเมื่อปี  2535  จะเห็นได้ชัดว่าพลเอกเปรมได้แสดงบทบาทประธานองคมนตรีที่เปี่ยมคุณธรรมที่อ้างว่ากระทำเพื่อแก้ปัญหาชาติ  ด้วยการนำพลเอกสุจินดา  คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง คู่ขัดแย้งเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี 2535 แต่สำหรับในเหตุการณ์เมษา พฤษภาเลือดที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ ปี 2553 พลเอกเปรมกลับมิได้แสดงบทบาทห่วงใยต่อชีวิตของประชาชน
          ดังนั้น การฆาตกรรมประชาชนอย่างโหดร้ายด้วยหน่วยสไนเปอร์ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โดยรัฐบาลไม่แสดงความเมตตาใดๆต่อผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเลยนั้น เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนถึงภาวะแห่งอำนาจของรัฐบาลว่ามิใช่เป็นรัฐบาลที่อยู่บนพื้นฐานของจิตสำนึกแห่งประชาชน หากแต่เป็นรัฐบาลที่อยู่บนพื้นฐานของจิตสำนึกแห่งอำนาจที่อยู่เหนือประชาชนซึ่งก็สมกับที่มาของรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร ซึ่งประวัติศาสตร์กำลังรอการพิสูจน์ว่าโดยส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์เองกล้าที่จะสั่งการฆ่า ทำร้าย ประชาชนนี้ไหม และถ้าไม่กล้า ใครคือผู้สั่งการตัวจริง

บทสรุป

         
หากได้ติดตามบทบาทของตัวละครทั้งตัวเก่าและตัวละครใหม่ที่เกิดขึ้นเพื่อรับลูกอย่างต่อเนื่องจากการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 5 ปี ที่มีความรุนแรงถึงขั้นฆาตกรรมประชาชนกลางกรุงเทพ ประกอบกับภูมิหลังความเป็นมาของประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็จะเห็นชัดว่า บทบาทของพลเอกเปรมจากบุคคลศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นคนบุคคลศักดิ์เสื่อมและบทบาทของกระบวนการตุลาการที่มีลักษณะคำพิพากษากลายเป็น คำพิพากเสื่อมเช่นนี้เป็นเรื่องที่ประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะต้องบันทึกไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้วิเคราะห์วินิจฉัยหาเหตุผลกันต่อไป ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่เกิดการรัฐประหารไม่ได้เกิดจากตัวพ.ต.ท.ทักษิณอย่างแน่นอนแต่เกิดจากใคร ?และใครคือหัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ตัวจริงกันแน่ แต่ที่แน่ๆผู้นำกองทัพอย่างพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มีฐานะเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกใช้เท่านั้น
          ภาวะแห่งความผิดปกติของระบบการเมืองไทยในช่วง 5 ปีมานี้ เป็นภาวะเสื่อมอย่างยิ่งของระบอบการเมืองไทยที่กำลังบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ อันเป็นผลจากภาวะความเสื่อมของระบอบที่เป็นกฎแห่งธรรมชาติอันเป็นเนื้อแท้ของภาวะความไร้ระเบียบของสังคมไทยที่ฟักตัวมายาวนาน

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Voice of TAKSIN ฆ่าไม่ตาย สมยศหนึ่งถูกจับ..สมยศใหม่ลุกขึ้นแทน

บทชี้นำ หน้าที่ 3
จาก RED POWER ฉบับที่ 20 ปักแรก ตุลาคม 2554


          การเติบใหญ่ของพลังประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมานับแต่การรัฐประหารของคณะคนมันชั่ว (ค.ม.ช.) เป็นบทพิสูจน์สัจธรรม ตายสิบเกิดแสนเพื่อทดแทนผู้สูญดับ

          นิตยสาร Voice of TAKSIN หรือเสียงทักษิณฉบับแรก ที่ก่อกำเนิดขึ้นท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุของอำนาจเผด็จการทั้งเปิดเผยและซ่อนรูป ที่พร้อมจะประหัตประหาร ทุกอย่างที่ขวางหน้าหากวัตถุนั้นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่น้อยที่บ่งบอกว่าเกี่ยวข้องกับทักษิณแม้แต่เสียงเรียกขานก็อันตรายถึงชีวิตของผู้นั้น



           ประกายไฟทางความคิดของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ลุกขึ้นยืนท้าอำนาจอธรรมของ ค.ม.ช. ตั้งแต่วันแรกของการรัฐประหาร ก็ลุกโชนขึ้นเพื่อจะสร้างหนังสือพิมพ์ที่ท้าทายอำนาจอธรรม ,Voice of TAKSIN จึงก่อกำเนิดนับแต่นั้น ด้วยหน้าปกที่ท้าทายเป็นรูปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อำมาตย์แสนจะเกลียดชัง

             ประเดิมด้วยบทความที่ท้าทายและเป็นจริงแห่งกฎวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ชื่อ "แม้ท่านไม่ประสงค์แต่ประวัติศาสตร์จะมอบภารกิจผู้นำให้แก่ท่าน" และ " ทำไม ? พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ! "


          คำพยากรณ์แห่งบทวิเคราะห์อันศักดิ์สิทธิ์ใน Voice of TAKSIN เล่มประเดิมชัยใกล้เป็นจริงแล้วจากฝีมือของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข

          5 ปี แห่งการรัฐประหารต่อเนื่องเพื่อทำลาย ทักษิณ ชินวัตร พิสูจน์สัจธรรมแล้วว่าอธรรมทำลายธรรมไม่ได้

          ชัยชนะของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พลังมหาชนหนุนเนื่องขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คือหลักฐานยืนยันสัจธรรม

           
ทักษิณ ชินวัตร จะต้องกลับคืนสู่อ้อมอกแห่งมวลมหาประชาชนอย่างแน่นอนเร็วๆนี้

          สมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ประกาศสัจธรรมแห่ง Voice of TAKSIN ถูกจับกุมครั้งแรกในสถานกักกันที่ค่ายทหารสระบุรี คำถามแรกของทหารเผด็จการคือ ทักษิณให้เงินคุณมาเท่าไรเพื่อมาทำหนังสือนี้ คำตอบ คือ ไม่มีสักแดงเดียว

"แล้วทำไมจึงใช้ชื่อทักษิณ
ก็เพราะชื่อทักษิณเป็นที่รู้จักและยอมรับของประชาชน


              ต่อมาพวกมันก็ปิด Voice of TAKSIN สมยศก็สร้าง Red Power ขึ้นมาแทน พวกมันก็บุกจับเล่นงานโรงพิมพ์จนเจ๊ง สมยศก็นำไปพิมพ์ในต่างประเทศแล้วลักลอบเข้ามาจำหน่าย

สมยศถูกจับ สมยศใหม่ก็ลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทน
Red Power ยังตีพิมพ์ต่อเนื่องไม่ขาดสายเพื่อประกาศสัจธรรมของสมยศว่า ทักษิณจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่งจริง

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คนกรุงน้ำท่วมปาก..ช่วยตัวเองก่อนนํ้าท่วมกรุง “โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง”

โดย ลม เปลี่ยนทิศ
นำเสนอโดย ทีมข่าว Sunai Fan Club

สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงสอนให้ พุทธศาสนิกชน รู้จักช่วยตัวเองด้วยธรรมะง่ายๆ อัตตา หิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนศาสนาอื่นก็มีการสอนเช่นนี้เหมือนกัน จงช่วยตัวท่านเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยท่าน

แต่เมื่อได้เห็น วิธีแก้นํ้าท่วมกรุงเทพฯ ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. แล้ว ก็ต้องบอกว่า สิ้นหวัง นํ้าท่วมกรุงเทพฯแน่นอน

เพราะแทนที่จะเตรียมสรรพกำลัง เครื่องมือทุกอย่าง สร้างความพร้อมในการรับมือกับ
นํ้าเหนือก้อนมหึมาจาก เขื่อนภูมิพล และ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่จะไหลมาถึง กรุงเทพฯและปริมณฑล ในวันที่ 1218 ตุลาคมนี้ แต่ คุณชายสุขุมพันธุ์ กลับไปทำพิธี บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น แม่พระคงคา พระปางห้ามสมุทร ให้ช่วยลดความรุนแรงของนํ้าท่วม

แม้คุณชายสุขุมพันธุ์จะบอกว่า ใช้เงินส่วนตัวทำพิธีและเป็นพิธีที่สืบทอดมาแต่สมัยอยุธยา เป็นการบูชาแม่พระคงคา ให้ช่วยบันดาลให้นํ้าท่วมลดลง เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจกับเจ้าหน้าที่

แต่พิธีนี้ก็สะท้อนถึง ภูมิปัญญา และความสามารถในการทำงานรับภัยนํ้าท่วมของคุณชายสุขุมพันธุ์ได้เป็นอย่างดี สมัยหน้าจะเลือกเป็น ผู้ว่าฯ กทม. อีกหรือไม่ คนกรุงต้องไปคิดกันหลายตลบ ถ้า
ทั้งชีวิตเราดูแลที่ คุณชายสุขุมพันธุ์ ใช้หาเสียง คือ ฝากไว้กับเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมว่าคนกรุงเทพฯดูแลตัวเองจะดีกว่า โดยเฉพาะ ชาวหนองจอก คลองสามวา ลาดกระบัง และ มีนบุรี ขอบอกล่วงหน้า มีสิทธิเจอนํ้าท่วมใหญ่ปลายสัปดาห์นี้แน่

ปัญหาใหญ่ จากนํ้าท่วมใหญ่ประเทศไทยครั้งนี้ นอกจาก ความไม่พร้อมในการกู้ภัยและสู้ภัยนํ้าท่วม ที่ผมเขียนถึงเมื่อวานนี้แล้ว ฝ่ายที่ไม่พร้อมอย่างยิ่ง ก็คือ เจ้าหน้าที่รัฐ นั่นเอง ขนาดผู้ว่าฯ กทม.แทนที่จะระดมสรรพกำลังเพื่อป้องกันนํ้าท่วมให้เต็มที่ กลับเสียเวลาค่อนวันไปทำพิธีพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วบ้านเมืองจะเหลืออะไร

อย่างวันเสาร์ที่แล้ว นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปตรวจ สถานีสูบนํ้าคลองด่าน ที่สมุทรปราการ ซึ่งเป็นช่องทางระบายนํ้าลงทะเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ

เมื่อตรวจแล้ว สิ่งที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ทำได้ก็คือ สั่งให้ นายเชิดศักดิ์ ชูศรี ผู้ว่าฯ สมุทรปราการ ไปเร่งขุดคลอง 5 คลองที่ตื้นเขินในพื้นที่ให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถระบายน้ำลงทะเลได้เร็วขึ้น เช่น คลองจระเข้ใหญ่ ขอให้ขุดเสร็จภายใน 7 วัน คลองลาดกระบังและคลองพระองค์เจ้าไชยาให้ทำควบคู่กันไป ขอให้เสร็จใน 10 วัน

เพราะ 5 คลองที่ตื้นเขิน ทำให้ระบายน้ำลงทะเลได้แค่ 20 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน จากประสิทธิภาพที่สามารถระบายน้ำลงทะเลได้ถึง 30 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน

ไม่น่าเชื่อนะครับ เรื่องรายละเอียดอย่างนี้เป็นหน้าที่ปกติของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่จะต้องทำอยู่แล้ว รัฐบาลก็มีนโยบายตั้งแต่น้ำเริ่มท่วม แต่กลับต้องรอให้ นายกฯยิ่งลักษณ์ ไปตรวจเจอด้วยตัวเอง แล้วสั่งด้วยตัวเอง จึงจะเริ่มทำงานกัน

ที่มันแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ มีผักตบชวาจำนวนมากปิดกั้นประตูระบายน้ำอยู่ แต่กลับไม่มีการขุดลอกออก นายกฯยิ่งลักษณ์ เลยต้องสั่งให้เร่งขุดลอกออกโดยเร็ว เพราะปิดบล็อกทางไหลของน้ำที่จะลงทะเล ก็ไม่รู้ 2 เดือนกว่าที่น้ำท่วม พวกเขาทำอะไรกันอยู่


 

เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น นายกฯยิ่งลักษณ์ ได้พบเห็นด้วยตัวเอง มันฟ้องชัดเจนว่า ความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้เกิดจากการ ไม่มีเจ้าภาพรับมือกับภัยน้ำท่วมแบบบูรณาการ ไม่มีทั้งการวางแผนรับมือ และ การวางแผนกู้ภัย ทำงานไปตามยถากรรม ต่างนั่งรอนายสั่ง เพื่อทำงานเอาหน้า


ความเสียหายครั้งนี้ไม่ใช่ 23 หมื่นล้านอย่างที่ประเมิน ถ้ารวมทรัพย์สินและค่าเสียโอกาส อย่างน้อยๆก็เกิน 1 แสนล้านบาทขึ้นไป การแก้ไขในปีหน้า นายกฯยิ่งลักษณ์ จะต้องทำให้เป็นรูปธรรมตั้งแต่วันนี้จัดตั้ง ศูนย์รับมือภัยพิบัติแห่งชาติขึ้นมา เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญขึ้นมารองรับภัยพิบัติต่างๆในอนาคต ตั้งแต่ น้ำท่วม ดินถล่ม แผ่นดินไหว ฯลฯ อย่านั่งรอภัยรอบใหม่เลยครับ.