Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาพทักษิณในต่างประเทศ คือ ภาพฟ้องแผ่นดินไทยที่ไม่เป็นธรรม

ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่นำภาพท่านนายกฯทักษิณ จาก facebook sunai เมื่อ 25 ก.ย. 54  ที่บอกเรื่องราวของชาวต่างประเทศที่ชื่นชมกับท่านนายกฯทักษิณส่งไปเผยแพร่ในเว็บ Thaienews เมื่อ 26 ก.ย. 54
กรี๊ดๆ!เจ๊รับไม่ด๊ายเรทติ้งทักษิณอินเตอร์กระชู้ด "
 แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆแต่เป็นอารมณ์ความรู้สึกของชาวต่างประเทศในระดับชาวบ้านที่เป็นของจริงที่ชาวเว็บคนไทยเราควรจะประสานงานกันเพื่อช่วยกันเผยแพร่ (หากใครไปพบท่านทักษิณเช่นเดียวกับผม) ในมุมมองต่างๆเพราะจะเป็นการช่วยเติมเต็มความเข้าใจของคนไทยด้วยกันต่อตัวท่านทักษิณโดยเฉพาะคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกพิษร้ายจากการใส่ร้ายของฝ่ายเผด็จการอำมาตย์ที่ทำกับท่านนายกฯทักษิณ มาตลอด 5 ปี และเป็นสารพิษตกค้างทางสังคมไทย ก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันอันเป็นผลจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549  และจากการที่เพื่อนๆได้แสดงความคิดเห็นต่อๆกันมาทำให้ผมเกิดความคิดว่า หากเรามองย้อนหลังเปรียบเทียบอดีตนายกฯและอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหารได้กระทำผิดก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนชาวไทยถึงขนาดฆ่าหมู่ประชาชน แต่กลับได้รับการอภัยและไม่ถูกตามล้างตามเช็ดจากระบอบเผด็จการอำมาตย์เหมือนอย่างที่ท่านนายกฯทักษิณกำลังประสบอยู่ในขณะนี้
ลองเปรียบเทียบดูไหมครับ

พ.ต.ท.ทักษิณ : เข้ามาตามครรลองประชาธิปไตยในภาวะที่ประเทศกำลังประสบวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและท่านสามารถแก้วิกฤติได้ แต่ถูกใส่ร้ายว่ามีความผิดร้ายแรงข้อหารับรองสำเนาถูกต้องบัตรประชาชนให้ภรรยาไปซื้อที่ดินโดยเปิดเผยกลายเป็นเรื่องต้องติดคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญาและประชาธิปัตย์ตามไล่ยึดหนังสือเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายและต่อต้านไม่ให้มีการนิรโทษกรรม

พลเอกสนธิ  :         ทำการยึดอำนาจ ล้มรัฐบาล ฉีกรัฐธรรมนูญ ทำให้บ้านเมืองที่เดินทางมาดีๆเกิดวิกฤติยาวนานมา 5 ปี ถึงวันนี้ ปรากฏว่ามีกฎหมายนิรโทษกรรมให้เรียบร้อย พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยตำหนิเลย และแถมนายอภิสิทธิ์ ยังพูดกับทูตสหรัฐ (หลักฐานในวิกิลีค) ให้การสนับสนุนพลเอกสนธิเสียอีก

พลเอกสุจินดา : ทำการยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ฉีกรัฐธรรมนูญในนามคณะ ร.ส.ช. (คล้ายๆกับกรณีพลเอกสนธิ ทั้งๆที่บ้านเมืองก็กำลังพัฒนาไปดีๆ) จนกระทั่งนำประเทศไปสู่วิกฤติจนเกิดการฆ่าประชาชนกลางถนนราชดำเนินในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ก็ปรากฏว่าได้รับการนิรโทษกรรม กลับมาอยู่ในสังคมไทยได้สบายๆ และในเหตุการณ์ขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ขึ้นเป็นรัฐบาล ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ตามล้างตามเช็ดพลเอกสุจินดาเหมือนที่ทำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งๆที่มีการฆ่าประชาชนกลางกรุงเทพเช่นกัน

พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ : ทำการรัฐประหารจากการก่อวิกฤติฆ่านักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เช่นกัน ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อภัยได้

จอมพลถนอมประภาส : ปกครองบ้านเมืองด้วยอำนาจเผด็จการ คอรัปชั่นกันอย่างโจ่งแจ้ง และฆ่าประชาชน 
ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ทั้งสองจอมพลต้องหนีออกนอกประเทศ หลังจากนั้น ประชาธิปัตย์ก็มาเป็นรัฐบาลโดย ม.ร.ว.เสนีย์  ปราโมช เป็นนายกฯก็ไม่ตามล้างตาม เช็ด หรือตามยึดหนังสือเดินทางของจอมพลถนอม-ประภาส เหมือนอย่างที่ทำกับ ท่านทักษิณ และทั้งสองจอมพลก็สามารถกลับประเทศไทยได้โดยไม่ผิดอะไร
ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับกรณีตัวนายอภิสิทธิ์เองที่มีส่วนร่วมสำคัญในการร่วมก่อจลาจลกับกลุ่มพันธมิตรฯโดยการยึดสนามบิน ยึดทำเนียบรัฐบาล และมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการจุดชนวนสงครามไทย เขมร เมื่อต้นปีนี้ และมีส่วนร่วมสำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้กับการฆ่าประชาชนที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์แล้วความผิดของนายอภิสิทธิ์รุนแรงอย่างยิ่ง แต่วันนี้ระบอบเผด็จการอำมาตย์ตัวจริงเสียงจริงยังปกป้องนายอภิสิทธิ์ไม่มีใครกล้าแตะต้อง (คล้ายๆกับเหตุการณ์การปกป้องจอมเผด็จการทหารทั้งหลายในอดีต)
เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ทางการเมืองในรอบ 30 กว่าปีมานี้ ก็จะเห็นชัดว่ากรณีของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองกันชัดๆ แต่สุดท้ายประชาชนคือผู้ชี้ความจริงโดยดูจากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา และการแสดงออกของชาวบ้านในต่างประเทศตามหลักฐานรูปที่ผมนำมาแสดง ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆเหตุการณ์ที่ท่านทั้งหลายก็คงจะได้พบเห็นด้วยตัวเองหากบังเอิญไปพบท่านนายกฯทักษิณ ในต่างประเทศเช่นเดียวกับที่ผมพบเห็น

         
ท่านนายกฯทักษิณ เป็นวีระบุรุษในสายตาคนต่างประเทศด้วยนั้นเพราะ ข่าววิกฤติจากเผด็จการอำมาตย์ในประเทศไทย และข่าวการที่ท่านทักษิณไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจเผด็จการ นี้เป็นประกายไฟสำคัญที่ชาวโลกชื่นชม เพราะโลกสมัยใหม่เขารับระบอบเผด็จการอำมาตย์ที่ใช้รถถังเป็นเครื่องมือกดขี่ประชาชนไม่ไหวแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบผู้นำประเทศไทยที่กระทำผิดอย่างรุนแรงถึงขั้นฆ่าประชาชนแต่กลับกลายเป็นเรื่องเล็ก , แต่เรื่องเล็กๆของทักษิณกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ จึงบ่งชี้ชัดเจนว่า แผ่นดินไทยไม่มีธรรม เสียแล้ว

          ขอให้เพื่อนๆช่วยกันเผยแพร่นะครับ ขอบคุณมากครับ
         
 ส.ส.สุนัย  จุลพงศธร

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

กรณี วีระ ราตรี จุดยืน ทรรศนะ วิธีการ อภิสิทธิ์ ยิ่งลักษณ์

จาก มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 26 กันยายน 2554 หน้า3

มีความแตกต่างอย่างแน่นอนระหว่างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือ นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์

เป็นความแตกต่างบนพื้นฐานของ "ความพยายาม" เช่นเดียวกัน

รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อันมี นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็พยายาม

รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันมี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็พยายาม

แต่ที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับวิธีวิทยาแห่งการบริหารจัดการ

วิธีแห่งการบริหารจัดการอันแตกต่างกันสะท้อนมุมมองทางความคิดต่อความสัมพันธ์กับกัมพูชาที่แตกต่างกัน

มุมมองแตกต่างกัน ความคิดเห็นย่อมแตกต่างกัน วิธีการจัดการปัญหาก็แตกต่างกัน

ความแตกต่างกันเห็นได้จากการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ความแตกต่างกันเห็นได้จากการแต่งตั้ง นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ผลก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาปรากฏออกมาแตกต่างอย่างเด่นชัด

การแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชามีปัญหา

มีปัญหาเพราะว่า นายกษิต ภิรมย์ เคยวิพากษ์ประมุขแห่งกัมพูชาเสมอว่าเป็น "กุ๊ย"

มีปัญหาเพราะว่า นายกษิต ภิรมย์ อยู่ในสถานะเป็นวิทยากรบนเวทีปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมองเห็นรัฐบาลกัมพูชาเป็นศัตรู

การตั้ง นายกษิต ภิรมย์ จึงมิได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างสัมพันธ์ แต่ต้องการปะทะมากกว่า

จาก นายกษิต ภิรมย์ ก็โยงไปยังการตั้ง นายอัษฎา ชัยนาม เป็นประธานคณะกรรมาธิการร่วมเขตแดน (เจบีซี) อันโยงไปยัง นายสุรพงษ์ ชัยนาม ซึ่งมีบทบาทเป็นอย่างสูงในพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ทั้งหมดนี้มิได้ประกอบส่วนขึ้นเพื่อความเป็นมิตร หากแต่สะท้อนเจตนาที่จะปะทะและขัดแย้งกัน

จึงเมื่อเกิดกรณี นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ จึงยากและยากส์

ยากและยากส์เพราะการบริหารจัดการในการขอตัวดำเนินไปแกนๆ ตามพิธีกรรมทางการเมืองระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็สนองตอบกลับมาในเชิงพิธีกรรมอันมากด้วยกฎระเบียบเช่นเดียวกัน

"วีระ-ราตรี" จึงนอนคุกตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2554 เป็นเวลา 9 เดือน

ตรงกันข้าม กับกระบวนการบริหารจัดการของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมิได้ยึดแนวทางอันเป็นพิธีกรรมทางการทูตอย่างปกติ

มีการเดินทางไปร้องขอโดย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา

มีการเดินทางไปร้องขอโดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

นี่เป็นกระบวนการนอกเหนือไปจากความสัมพันธ์อันดีที่ สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยอยู่แล้ว

นี่เป็นกระบวนการนอกเหนือไปจากความสัมพันธ์อันดีที่ นายฮอ นัมฮง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา มีต่อ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย อยู่แล้ว

จึงไม่แปลกที่จะมีแถลงจาก โฆษกประจำตัว สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า

"สมเด็จฯ ฮุน เซนกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยและกัมพูชาจะต้องมาหารือกันเรื่องการแลกเปลี่ยนนักโทษ"

นี่เท่ากับเป็นคำตอบถึงกรณี นายวีระ สมความคิด น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ โดยตรง

ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่ต่อครอบครัวสมความคิด ครอบครัวพิพัฒนาไพบูรณ์ เท่านั้น หากยังหมายถึงครอบครัวนักโทษชาวไทยคนอื่นๆ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในกัมพูชาด้วย

นี่ย่อมเป็นผลงานอันเป็นความสำเร็จของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเป็นรูปธรรม

ครูบาทางการเมืองสอนว่าจะดูใครต้องดูให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง จุดยืน ทรรศนะ วิธีการ

จุดยืนอย่างไร ทรรศนะย่อมเป็นอย่างนั้น ขณะเดียวกัน วิธีการในการบริหารจัดการต่อแต่ละปัญหาย่อมมาจากจุดยืนและความคิดอันแตกต่างกัน

ผลที่ออกมาก็แตกต่างกันระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

คุกคามสื่อ ฤาสื่อคุกคาม ???

โดย  Yeera
จาก RED POWER ฉบับที่ 19 ปักแรก กันยายน 2554

ประหลาดใจกับการออกมาโวยวายของบรรดาสื่อบางสำนักเหลือเกิน  คิดว่าตัวเองเป็นนกน้อยในไร่ส้ม

บินโฉบไปโฉบมาแล้วคนต้องชื่นชมกระนั้นหรือ สำคัญตนผิดไปแล้วกระมัง ภาพที่พยายามสร้างกันเอง

ยกอ้างตนเป็นฐานันดรที่สี่  แต่แท้จริงแล้วในสายตาประชาชนก็แค่อีกาคาบข่าวแค่นั้น.....แถมเป็นอีกา

ที่ส่งเสียงร้อง กา กา กา โหวกเหวกโวยวาย  ทำลายบรรยากาศความสงบของธรรมชาติ รบกวนมวลมนุษย์

ที่อาศัยในโลกนี้ร่วมกันอย่างไม่เกรงใจ ประหนึ่งมิรู้ตัวอีกว่าสันดานชาติกามันเป็นเช่นไรให้เห็นซ้ำซาก

โบราณมักขานกล่าวกันว่าอีกาไปส่งเสียงร้องที่ใด   ให้พึงระวังจะมีความพินาศฉิบหายเดือดร้อนให้เห็น

จึงไม่แปลกใจเลยหากจะเปรียบสื่อวันนี้ว่าไม่ต่างจากอีกาเอาเลยก็คงได้  สื่อดีวันนี้สาบสูญเหมือนการ

งมควานหาเข็มในมหาสมุทร ที่ปรากฎพบแต่สื่อสามานย์  ทำงานแบบประสงค์เห็นความร้าวฉานของ

บ้านเมืองและสังคมไทยว่านั่นคืองานหลัก !!!!!     และพร้อมเพรียงกันเพิกเฉยกับนโยบายปรองดอง!!!

สาระและประเด็นข่าวที่นำเสนอบิดเบือน     และให้ข้อมูลจริงเพียงครึ่งเดียว     หรือไม่ก็ไม่นำเสนอข้อเท็จจริง

ให้ประชาชนได้รู้ หรือกล่าวอีกนัยยะหนึ่งคือการปิดข่าวนั่นเอง!!!! นักข่าว สื่อสารมวลชน จนถึงนักนักสื่อพิมพ์

จงใจสร้างกระแสบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ด้วยการปรุงแต่งความเห็นที่กลั่นจากสมองแต่ละคน ประหนึ่งเป็นผู้เกิด

มาเพื่อแก้ปัญหาของชาวโลกกระนั้น!!!ทั้งที่โดยหน้าที่แล้ว สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือการสำเหนียกในจรรยาบรรณ

และการสร้างคุณธรรมในตัวตนของสื่อเองก่อน  วันนี้สื่อต่าง ๆ ล้วนทำจรรยาบรรณตกหล่นหายไปกับอำนาจ

เงิน ยอมก้มหัวให้กับอำนาจที่มองไม่เห็น เพียงเพื่อให้ธุรกิจตัวเองอยู่รอด ไม่มีสื่อหรือนักข่าวจะยอมพลีชีพ

กับตำแหน่งหน้าที่ให้เห็นกันอีกแล้ว!!!  โลกปัจจุบันจึงพบแต่ " สื่อสามานตย์ " ให้เห็นเท่านั้น

การออกมาตะโกนว่าสื่อถูกคุกคาม ช่างกล้าและหน้าหนาหน้าด้านยิ่งกว่าสันเขื่อน ทั้งที่แต่ละคำพูดแต่ละตัวอักษร

ที่ปล่อยหรือสะบัดออกมา สู่ประชาชนทุกระดับชั้น ไม่ต่างจากการสำรอก ข่มขู่  เหยียดหยาม เพียงเพื่อความสา

แก่ใจมากกว่าการต้องการข้อมูลไปเผยแพร่อย่างบริสุทธิ์ใจ  เป็นเยี่ยงนี้มายาวนาน พฤติกรรมคุกคามประชาชน

อย่างสถุลถ่อยของตนเองกับผู้ร่วมวิชาชีพกลับมองไม่เห็น

เมื่อวันหนึ่งประชาชน ลุกขึ้นมา ส่งเสียงบ้างว่า ถูกสื่อคุกคาม ก็กลับบิดเบือนว่า สื่อถูกคุกคาม!!!  ทำให้นึกถึง

สันดานชาติอีกาที่ได้กล่าวถึงในช่วงแรก ๆ ของบทความนี้เหลือเกิน  ประชาชนก็มีสิทธิอันชอบธรรม ระวังเถอะ

การเมืองภาคประชาชน คงได้รวมพลังรวมตัวกันไปส่งเสียงประหนึ่งการจุดประทัดไล่สื่อไล่ฝูงกากันให้เห็นใน
ไม่ช้ากันบ้าง     อย่าคิดว่าจะดำรงตนเป็นนกน้อยในไร่ส้มอยู่ต่อไปได้อีกหากเพราะในสายตาประชาชนมันเป็น

ได้แค่อีกาสามานย์หรือฝูงนกขี้เรื้อน และต้องถูกจับถอนขนลงหม้อน้ำต้มเดือด แล้วกลบฝังเพื่อมิให้อยู่สร้าง

มลพิษกับสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป ไม่มีนกน้อยในไร่ส้ม ยังมีสัตว์อื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างสมดุลและรักษานิเวศน์วิทยา

ได้ อย่าหลงลำพงอเกินไปนัก เหล่าสื่อสามานย์ !!!!

ดั่งอีกาโผล่ร้อง....................................อุบาทว์เสียง
อัปลักษณ์โฉดพร้อมเพรียง.....................หมึกป้าย
รัฐไทยสื่อเอนเอียง...............................วิปริต
ตัดต่อเรื่องชั่วร้าย.................................แต่งแต้มยีนส์แหล

ประวัติศาสตร์แฉสื่อหน้า.........................เมืองไทย
ถ่อยอนาถใส่ไฟ....................................บ่มเชื้อ
" คุกคามสื่อ " สงสัย..............................เพี้ยนผิด แล้วเวย
" สื่อคุกคาม" ยืดเยื้อ..............................ธาตุแท้สุดริยำ!!!!!

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

เมื่อประชาธิปัตย์ล้มละลาย

โดย ...  ทิฆัมพร
จาก RED POWER ฉบับที่ 19 ปักแรก กันยายน 2554


พรรคประชาธิปัตย์หลังพ่ายแพ้การเลือกตั้ง  อยู่ในภาวะไม่มีอะไรจะเสียเพราะได้เสียหมดแล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องรักษาฟอร์มอะไร  ไม่ต้องเคารพกฏกติกา  ไม่ต้องแสดงสปิริต
 
ไม่ต้องแคร์สายตาของคนทั้งโลก ...

การแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ต่อรัฐสภา  พรรคประชาธิปัตย์จึงต้องนำเรื่อง
นายกฯทักษิณ  ชินวัตร   และเรื่องของคนเสื้อแดง มาพูด
 ..

การใส่ร้ายนายกฯทักษิณ   เป็นผลงานเด่นที่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ทำสมัยเป็นรัฐบาล
 

จะอภิปรายผลงานก็ไม่ถนัดปาก  เพราะทำมากับมือสองปีกว่าล้มเหลวทุกเรื่อง
จะเสนอแนวคิด  แนวทางให้รัฐบาลใหม่  ก็เขินอายเพราะสมัยตัวเองเป็นรัฐบาล
 
แอบลอกการบ้านนโยบายประชานิยมของทักษิณมา  ยังทำไม่สำเร็จ !!
 
 

การไล่ล่าทักษิณ  ชินวัตร  จึงเป็นเป็นไฮไลท์ของพรรคประชาธิปัตย์เพียงเรื่องเดียว

อาการ 
 "กีฬาแพ้  แต่คนไม่แพ้"  สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แต่ละคนแสดงออกในการ
อภิปรายอย่างชัดเจน  การเคารพกฎกติกา   แสดงน้ำใจนักกีฬาของนักการเมืองในสภา
อันทรงเกียรติ  ไม่มีความจำเป็นเสียแล้ว..

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ณ เวลานี้.. 
 
ที่..ไม่มีอะไรจะเสีย..

 
 
สังคมไทยหลังรัฐประหารยึดอำนาจของ คมช.    แบ่งคนเป็นสองฝ่าย..  ชัดเจน..

ฝ่ายรักนายกฯทักษิณ  ชินวัตร  ประกอบด้วยประชาชนผู้รักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม
 
และไม่ยอมรับอำนาจรัฐประหาร
 ...

ฝ่ายอิจฉานายกฯทักษิณ  ชินวัตร  ประกอบด้วยพรรคประชาธิปัตย์  กลุ่มพันธมิตร 
 
นักวิชาการเสียประโยชน์  และอำนาจพิเศษ!!

ฝ่ายไหนมีมากกว่ากัน  ให้ดูจากผลการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ฝ่ายไหนมีพลังอำนาจมากกว่ากัน  ให้ดูจากการทำงานขององค์กรอิสระ 
 
การบังคับใช้กฏกติกาของบ้านเมือง
 ...
 
 
หลังการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554    เกิดปรากฏการณ์พิเศษคือ ...
 

 บรรดาทูตานุทูตแห่กันให้กำลังใจ
 "ว่าที่" นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์  ชินวัตร
ทั้งที่ทำเนียมปฏิบัติ  ต้องเข้าแสดงความยินดีหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการแล้ว
นี่เขา 
 "เชียร์"  อย่างออกนอกหน้าเลยทีเดียว !!
               
 
เช่นเดียวกัน  ผู้นำโลกประชาธิปไตย
 บารัค  โอบามา  ก็ต่อสายตรงแสดงความยินดีกับ
นายกฯยิ่งลักษณ์  นานกว่า 10 นาที
 
 
ต่างกับสมัยอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ   รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี  
 
ปรากฏการณ์ข้างต้นไม่เคยเกิดขึ้น
 !!
ไม่มีเสียงกริ๊งกร้าง  โทรมาให้กำลังใจจากโอบามา
ไม่มีปรากฏการณ์ทูตานุทูต  แห่แหนเข้าให้กำลังใจ "ว่าที่" นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์
 เขาตะขิดตะขวงใจกันทั้งโลกว่า  "อภิสิทธิ์"  ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
 อย่างไม่สง่างาม 
 แพ้การเลือกตั้ง  แต่มาด้วยอำนาจพิเศษ !!
                
 
ต่างจากยิ่งลักษณ์  ชินวัตร  สง่างาม
จากอำนาจบริสุทธิ์ของประชาชน
 ...

 
 

ถ้าเราเชื่อกฏแห่งกรรม  เราต้องเชื่อว่า 
 "ฝ่ายธรรมะ  ต้องชนะฝ่ายอธรรม"   
ในท้ายที่สุดเสมอ...

ณ เวลานี้... 
 พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ  ชินวัตร  ที่เรามั่นใจว่าเป็นคนดี  เป็นฝ่ายธรรมะ    
กำลังรับผลบุญที่หลั่งไหล  
 มีคนรักกว่าครึ่งประเทศ  ทั่วทั้งโลกต่างต้อนรับเชิดชูให้เกียรติ
             
 
ส.ส.พรรคเพื่อไทย
 ได้เข้าสภาอันทรงเกียรติ  "คนเสื้อแดง"  ปิติ มีรอยยิ้มบนใบหน้าทั่วแผ่นดิน

ขณะที่ฝ่ายธรรมะ  กำลังอิ่มบุญ    
                          
                                 
 
ฝ่ายอธรรม  ก็กำลังตกระกำลำบาก
 !!
  
ทำสินค้าออกมาขาย   ก็ขายไม่ออก..   ทำหนังออกมาฉายก็กำลังจะเจ๊ง... 
 
เป็นนักแสดง นักร้อง  ก็เรทติ้งตกไม่มีใครจ้าง...
 
บ้างก็เจ็บไข้ได้ปวย  เป็นโรคเรื้อรัง...

ส่วนบรรดา 
 "หมอ"  ทั้งหลาย  ก็กำลังกลายเป็น  "หมา"  
เสียผู้เสียคนเพราะเลียอำมาตย์ ...   
 
             
 
สถานี ASTV  แหล่งรวมคนบาป  ก็กำลังจะเจ๊ง  ไม่มีเงินจ่ายพนักงาน   
 
นักวิชาการขายตัว  ที่เคยดาหน้าออกมาใส่ร้าย  "ทักษิณ" 
 และ  "คนเสื้อแดง 
ก็หายหน้าไปจากจอทีวี   บางรายก็ตกงานเพราะไม่มีใครเชิญ ...

วันนี้มีความสุข ...
 

   "ธรรมะ ชนะ อธรรม"   แล้ว   สาธุ ...  

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

ความจำสั้น!? แต่เจ็บนี้ยาว

โดย สรกล อดุลยานนท์
ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 17 กันยายน 2554


เห็น พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาสรุปเรื่องนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายแล้วรู้เลยว่า "มือใหม่" จริงๆ

พล.อ.อ.สุกำพล สรุปว่าถ้าคุยกับ "บีทีเอส" และ "บีเอ็มซีแอล" แล้วไม่สามารถทำได้ก็ต้องจบ
"จบอย่างมีเหตุผล ประชาชนคงเข้าใจ"
เป็นการให้สัมภาษณ์แบบตรงไปตรงมาแบบ "ทหาร"
แต่ "นักการเมืองรุ่นเก๋า" ฟังแล้วหัวเราะ
เพราะถ้าเป็น "นักการเมืองรุ่นเก๋า" เขาจะใช้กลยุทธ์ "รำวง"
วนไปวนมา ตั้งคณะกรรมการศึกษา เตะถ่วงไปเรื่อยๆ

ด้วยสมมติฐานว่า "คนไทยลืมง่าย"
จำโครงการเช่ารถเมล์ของ ขสมก.ได้ไหมครับ
กระทรวงคมนาคมของ "ภูมิใจไทย" พยายามผลักดันอย่างเต็มที่ ทั้งกดดันทั้งกระทบเท้าขู่
แต่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ใช้กลยุทธ์ "รำวง"
เห็นด้วยในหลักการ แต่มีข้อสังเกต
ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษา ชุดล่าสุดมี "ไตรรงค์ สุวรรณคีรี" รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
จำได้ว่า "ไตรรงค์" ปลอบรัฐมนตรีของ "ภูมิใจไทย" ว่า "ผมทำงานไม่ช้า"
แต่เชื่อไหมว่าโครงการนี้ใช้เวลา "รำวง" ไปเรื่อยๆ จนหมดอายุรัฐบาล "อภิสิทธิ์"

เป็นกลยุทธ์การเมืองภายใต้ความเชื่อว่า "คนไทยลืมง่าย"
ข่าวเก่าผ่านไป ข่าวใหม่เข้ามาไม่มีใครมาจดจำหรอกว่าเคยสัญญาว่าอย่างไรเคยพูดอะไร
หรือเคยทำอะไรไว้ในอดีต ที่ชัดเจนที่สุด คือ กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาถล่มรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม, การแจกเงินช่วยน้ำท่วมล่าช้า, การไล่จับ "ทักษิณ", ผลประโยชน์ทับซ้อนในการเจรจากับกัมพูชา ฯลฯ

คนจำนวนไม่น้อยตะลึงในความกล้าหาญของ "ประชาธิปัตย์"
เพราะทุกเรื่องรัฐบาล "อภิสิทธิ์" ทำมาแล้วทั้งสิ้น
แค่เดือนเศษ เขาคิดว่าคนไทยลืมแล้ว
เรื่องโยกย้ายข้าราชการ แค่กรณี "วงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์" อธิบดีกรมการปกครองเรื่องเดียวก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
ย้ายเพราะไม่ยอมร่วมทุจริต และไม่ยอมให้เอาปืนไปยิงประชาชน
เรื่องตำรวจยิ่งแล้วใหญ่ แค่ตำแหน่ง "ผบ.ตร." ยังยืดยาวเป็นมหากาพย์เลย
เรื่องแจกเงินช่วยน้ำท่วมล่าช้า คนนครศรีธรรมราชรู้ดี เพราะเคยประท้วงรัฐบาล "อภิสิทธิ์" จ่ายเงินช่วยเหลือล่าช้า
น้ำท่วมซ้ำครั้งที่ 2 เงินช่วยเหลือครั้งแรกยังไม่ได้เลย

หรือเรื่องไล่จับ "ทักษิณ" ที่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" บอกคนไทยทั้งประเทศว่าตำรวจสากลขึ้นบัญชีแล้ว จะจับตัวได้แล้ว พูดแบบนี้มา 2 ปีกว่า
สุดท้ายคนของกระทรวงการต่างประเทศเพิ่งออกมายอมรับว่า "ไม่จริง"
พลิกดูข่าวการให้สัมภาษณ์ของ "กษิต-ชวนันท์" ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แล้วมาอ่านข่าววันนี้

งงจริงๆ ว่าทำไมกล้าพูด
หรือล่าสุดเรื่อง "ผลประโยชน์ทับซ้อน" ในการเจรจากับกัมพูชา
"ฮุน เซน" เล่นการเมืองเพื่อช่วย "เพื่อไทย" แน่นอน
แต่มี "ความจริง" บางอย่างซ่อนอยู่ที่คนไทยไม่เคยรู้มาก่อน
เราไม่เคยรู้เลยว่ามีการเจรจาเรื่องบ่อน้ำมันในทะลแบบ "ไม่เป็นทางการ" กับกัมพูชามาถึง 3 ครั้ง
การเมืองวันนี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าการทำงานของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์"
มีหลายเรื่องที่สมควรถูกวิพากษ์วิจารณ์
แต่เราต้องดูคนที่วิจารณ์เหมือนกัน

อย่าให้เขาดูถูกคนไทยว่าเป็น "ปลาทอง"
ความจำสั้นแค่ 4 วินาที


วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

อนุฯปปช.แจ้งข้อหา'บริษัทไร่ส้ม' ปมยักยอกค่าโฆษณา138ล.

จาก เว็บไซต์ประสงค์ดอตคอม วันที่ 14 ก.ย. 54


อนุฯป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาคดี "บริษัทไร่ส้ม” กรณียักยอกเงินค่าโฆษณา 138 ล้าน หลังสอบนานกว่า 4 ปี


เมื่อวันที่ 14 ก.ย. เว็บไซต์ประสงค์ดอตคอม ของ นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน และประชาชาติธุรกิจ ได้เปิดเผยรายงานในหัวข้อ "สอบนาน 4 ปี อนุ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาคดีไร่ส้ม-สรยุทธ" เงินโฆษณา อสมท. 138 ล้าน" เนื้อหาระบุว่า หลังจากที่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ สน.ห้วยขวาง เมื่อปลายปี 2550 ให้ดำเนินคดีพนักงาน อสมท 2 คนในข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และกรรมการบริษัท ไร่ส้ม รวมทั้ง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังในฐานะผู้สนับสนุน ทำให้ อสมท ได้รับความเสียหายจากค่าโฆษณาเป็นเงิน 138,790,000 บาท และ สน.ห้วยขวางได้ส่งสำนวนทั้งหมดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อเดือนธันวาคม 2550

ปรากฏว่า แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 4 ปี แต่คดีมีความคืบหน้าช้ามาก ทั้งๆ ที่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ที พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเป็นประธานได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานไว้เป็นจำนวนมาก ล่าสุด นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกและกรรมการ ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ว่า นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการไต่สวนคดีดังกล่าวได้รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า อนุกรรมการไต่สวนฯ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้กับผู้ถูกกล่าวหลายคนแล้วทั้งในส่วนที่เป็นอดีตพนักงาน อสมท และไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนขั้นตอนต่อไปนั้น ผู้ที่ได้รับแจ้งข้อกล่าวหาต้องเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.หรืออาจทำเป็นหนังสือชี้แจง จากนั้นคณะอนุกรรมการไต่สวนจะรวบรวมพยานหลักฐานและสรุปความเห็นเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่วินิจฉัยต่อไป

สำหรับคดีดังกล่าว คณะกรรมการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีมติและคำสั่งลงวันที่ 21 ธันวาคม 2549 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ที พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภาเป็นประธานขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริต หรือการบริหารงานบกพร่องกรณีรายการ คุยคุ้ยข่าวรวมทั้งธุรกิจอื่น ตลอดจนการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัท อสมท จากการสอบสวนของคณะกรรมการมีมติให้กล่าวหาพนักงาน บริษัท อสมท และบุคคลภายนอกทั้งทางวินัย อาญาและทางแพ่งกับบุคคลทั้ง 12 รายแตกต่างกันไป ได้แก่ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ ฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายบริการลูกค้า, น.ส.อัญญา อู่ไทย หัวหน้าส่วนธุรการระดับ 6 ฝ่ายบริการลูกค้า, นายประทีป ศรีมณฑล พนักงานธุรกิจระดับ 7 งานคิวโฆษณา, นายธนะชัย วงศ์ทองศรี ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธุรกิจ และเลขานุการบริษัท, นางเบจมาศ นนท์วงศ์ พนักงานธุรกิจระดับ 5, นายวัลลพ ม่วงกล่ำ พนักงานตัดต่อระดับ 5, น.ส.บุณฑณิก บูลย์สิน ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด 1, บริษัทไร่ส้ม จำกัด รวมทั้งกรรมการบริษัท คือ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา, น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์, น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม และ น.ส.มณฑา ธีรเดช

อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายบริหารพิจารณาสำนวนของคณะกรรมการสอบสวนแล้ว เห็นว่า ให้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่พนักงานของบริษัท อสมท จำนวน 2 คน โดยกล่าวหาว่าทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 คือ นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาดซึ่งเป็นผู้แลเวลาโฆษณาของบริษัทไร่ส้ม ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ในการปลอมแปลงเอกสารและทำลายเอกสาร รวมทั้งรับสินบนจากบริษัทไร่ส้ม และนางเบจมาศ นนท์วงศ์ ซึ่งเป็นผู้ส่งโฆษณาให้แก่นางนางพิชชาภา และบริษัทไร่ส้ม และกรรมการบริษัทไร่ส้ม ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ส่วนพนักงาน อสมท ที่เหลือ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยต่อไป ยกเว้นพนักงานบางคนที่ลาออกไปแล้ว เช่น น.ส.บุณฑณิก บูลย์สิน และบางคนถูกไล่ออก เช่น นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด

สำหรับการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯเป็นโทษที่หนักมากมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี 5-20 ปีหรือตลอดชีวิต แล้วแต่เป็นความผิดในฐานไหนหรือประหารชีวิตในกรณีเรียกรับสินบน นอกจากนั้นยังเป็นความผิดอาญาแผ่นดินซึ่งไม่สามารถยอมความได้ แม้จะมีการคืนเงินค่าโฆษณาที่บริษัทไร่ส้มได้รับเกินไปกว่าสัญญาหรือรับไปโดยมิชอบแล้วก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทไร่ส้มขณะที่ถูกกล่าวนั้น มี นายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังและ น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ เป็นผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท กรรมการประกอบด้วย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา น.ส.อังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2547 ประกอบธุรกิจ ผลิตและสร้างสรรค์งานภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ในทุกๆ รูปแบบ ส่วนรายได้ของบริษัทไร่ส้มนั่น จากการตรวจสอบงบการเงินในปี 2548 และ ปี 2549 พบว่า มีรายได้ 251,801,969 บาทและ 323,062,245 บาทและ มีกำไร 132,702,177 บาท และ 86,023,228 บาท ตามลำดับ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบงบการเงินในปี 2550 ผ่านทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีรายได้รวม 207,885,412 บาท กำไรสุทธิ 99,353,033 บาท , ปี 2551 มีรายได้รวม 242,734,870 บาท กำไรสุทธิ 118,064,507 บาท และปี 2552 มีรายได้รวม 253,100,843 บาท กำไรสุทธิ 123,119,081 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ถึง 5,054,574 บาท และปี 2550 ถึง 23,766,048 บาท ปัจจุบันบริษัทไร่ส้มเป็นผู้ผลิตรายการทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้แก่ รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งร่วมผลิตกับบริษัท บีอีซี เทโร เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด (มหาชน) รายการเรื่องเด่นเย็นนี้ ซึ่งร่วมผลิตกับบริษัท เสิร์ช เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด และรายการเรื่องเล่าเสาร์-อาทิตย์ รวมทั้งยังเป็นผู้ขายเวลา วางสื่อโฆษณาและจ้างประชาสัมพันธ์ให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ อสมท เมื่อปี 2549 และมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องการบริหารงานในกิจการทั่วไปและการบริหารงานในเชิงธุรกิจของ อสมท. โดยพบว่ารายการคุยคุ้ยข่าว ซึ่งดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และ นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ในส่วนของโฆษณาระหว่างรายการ ที่ระบุว่าในสัญญา บริษัท ไร่ส้ม และ อสมท จะมีโฆษณาได้ 2 นาที 30 วินาที จากที่ออกอากาศทั้งหมด 30 นาที แต่ปรากฏว่า บริษัท ไร่ส้ม ซึ่งทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์โฆษณากับ อสมท ได้หาโฆษณาเกินจากขอบเขตที่กำหนดไว้ในสัญญาปี 2547 2548 และเดือนมกราคม ถึงมิถุนายน 2549 แต่มิได้นำผลประโยชน์แบ่งให้แก่ บมจ.อสมท ตามที่ควรจะเป็น

โดยเฉพาะในช่วงปี 2549 มีโฆษณาเกินมามากถึง 150 กว่าครั้ง คิดเป็นมูลค่ากว่า 98,790,000 บาท และเมื่อรวม ปีแรกเป็นมูลค่าถึง 138,790,000 บาท โดยบริษัทไร่ส้มได้จ่ายเงินให้แก่ อสมท เพียง 770,000 บาทเท่านั้น นำมาสู่การดำเนินคดีของ อสมท.ให้ดำเนินคดีกับพนักงาน อสมท ที่เกี่ยวข้องและบริษัท ไร่ส้ม จำกัด รวมทั้งกรรมการและผู้บริหาร ในข้อหาร่วมกันกระทำการโดยทุจริต เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเดือนตุลาคม 2550

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

ก้าวกระโดดของลาวกับรถไฟความเร็วสูง ลาว-จีน

ที่มา: louangprabang.net
นำเสนอโดย ทีมข่าว Sunai Fan Club

ภาพ ร.ฟ.จ.(รถไฟจีน) สู่ ร.ฟ.ล.(รถไฟลาว)

ภาพ ร.ฟ.ท. (รถไฟไทย) !? 

การก่อสร้างอาจจะเริ่มได้ในปี2554 เพื่อให้แล้วเสร็จในปี 2558 ฉลองครบรอบปีที่ 40 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ความก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้านของเรา กำลังพัฒนาระบบขนส่งทางบกไปไกลกว่าเราแล้วหรือยัง? ผมเองก็อดหันกลับมามองประเทศไทยเราไม่ได้ว่า 120กว่าปี ร.ฟ.ท. (รถไฟไทย) พัฒนาไปถึงไหน?  แล้วหันไปมอง ร.ฟ.ล. (รถไฟลาว) ว่าเขาไปไกลกว่าเราหรือยัง? 
กระทรวงการรถไฟจีนได้จัดทำภาพจำลองเส้นทางรถไฟหัวกระสุน จีน-ลาว ระยะทางกว่า 421 กิโลเมตร และมีการนำคลิปความยาวกว่า 7 นาทีขึ้นเผยแพร่บน YouTube

เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา แสดงรายละเอียดรวมทั้งการที่จะต้องแล่นในอุโมงค์ลอดภูเขาหลายช่วง เป็นระยะทางตั้งแต่ 7-11 กม.
 

รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน
ท่านหยางเจียจื่อ (
Yang Jiezhi) กล่าวกับรัฐมนตรีต่างประเทศลาว ท่านทองลุน สีสุลิด ในนครคุนหมิง วันที่ 25 ม.ค.2553 ที่ผ่านมา ว่าฝ่ายจีนประเมินโครงการก่อสร้างรถไฟหัวกระสุนจีน-ลาว เสร็จเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างเจรจากับแหล่งเงินทุนต่างๆ สำหรับการก่อสร้าง


ท่านสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรีผู้ประจำการรัฐบาลเปิดเผยในกรุงปักกิ่ง วันที่ 7 ธ.ค.2553  การก่อสร้างอาจจะเริ่มได้ในปีนี้เพื่อให้แล้วเสร็จในปี 2558 ฉลองครบรอบปีที่ 40 สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ท่านสมสะหวาด รายงานต่อที่ประชุมสภาแห่งชาติในเดือนเดียวกัน ระบุว่า ทางรถไฟความเร็วสูงกำลังจะตัดผ่านอุโมงค์ลอดภูเขากับสะพานรวมเป็นระยะทางเป็นเกือบ
2 ใน 3 ของตลอดเส้นทาง และ ด้วยเงินทุน 7,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยการร่วมทุนจีน 70% กับฝ่ายลาวอีก 30%
 

คลิปที่เผยแพร่นี้ยังกล่าวถึงรายละเอียดส่วนหนึ่งที่ว่า ทางรถไฟหัวกระสุนที่กำลังจะสร้างในเฟสที่ 1 นี้ จะเป็นรางเดี่ยว โดยเว้นที่สำหรับก่อสร้างรางคู่ในอนาคตอีกด้วย ทั้งยังย้ำอีกว่าทั้งหมดออกแบบมาเพื่อขนส่งทั้งคนและสินค้า
 
ทางการคอมมิวนิสต์จีนได้ประกาศเป็นนโยบายที่รวมตัวเข้าร่วมส่วนกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ตามแผนการเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน ที่จะทำให้เกิดประชาคมเศรษฐกิจที่มีประชากรกันประมาณ 1,900 ล้านคน
 
รถไฟฟ้าความเร็วสูงจีน-ลาว เป็นเพียงช่วงหนึ่งของแผนการที่จะสร้างเชื่อมต่อกับไทย มาเลเซีย ไปจนถึงสิงคโปร์ และ จีน ยังมีแผนการก่อสร้างอีกสายหนึ่งไปยัง นครย่างกุ้งของพม่า ระยะทางกว่า 2,000 กม.



รายชื่อสถานีรถไฟในประเทศลาว ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่นานเกินรอทั้ง 21 สถานี ได้แก่
สถานีบ่อเต็น (Boten) ชายแดนลาว จีน

สถานีบ้านนาธง (Ban Na Thong) ไม่ผ่านเมืองหลวงน้ำทา ทางรถไฟจะลอดผ่านอุโมงค์ที่บ้านคอนหลวง ความยาว 9,260 เมตร ระหว่าง บ้านนาธง บ้านหัวน้ำ

สถานีบ้านหัวน้ำ (Ban Hua Nam)

สถานีเมืองไซ (Muong Xai) เมืองเอกของแขวงอุดมไซ ซึ่งจากแขวงอุดมไซสามารถเดินทางต่อไปยังเมืองปากแบ่ง, แขวงพงสาลี, แขวงหลวงน้ำทาและ เมืองน้ำบาก ทางรถไฟจะลอดผ่านอุโมงค์ที่ภูงวด ความยาว 7,820 เมตร

สถานีบ้านนาโคกใต้ (Ban Na Khok Tay) ทางรถไฟจะลอดผ่านอุโมงค์ที่บ้านพูเกือ ความยาว 8,790 เมตร ระหว่าง บ้านนาโคกใต้ ห้วยภูลาย

สถานีห้วยภูลาย (Huoi Phou Lai)

สถานีหลวงพระบาง (Luang Prabang)

สถานีเชียงเงิน (Muong Xieng Ngeun) เมืองเชียงเงินตั้งอยู่ในแขวงหลวงพระบาง บนฝั่งแม่น้ำคาน จากเชียงเงินสามารถเดินทางไปเมืองภูคูนและแขวงไซยะบูลี ทางรถไฟจะลอดผ่าน อุโมงค์ที่ภูยา ความยาว 11,295 เมตร (ระหว่าง เมืองเชียงเงิน บ้านแสน)
สถานีบ้านแสน (Ban Sen)
สถานีกาสี (Kasi) เมืองกาสีบนฝั่งแม่น้ำลิก แขวงเวียงจันทน์
สถานีบ้านบัวเผือก (Ban Bua Pheouk)
สถานีบ้านผาตั้ง (Ban Pha Tang)
สถานีวังเวียง (Vang Vieng) เมืองท่องเที่ยวใหญ่ริมน้ำซอง ใน แขวงเวียงจันทน์
ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปประมาณ
160 - 170 กม.

สถานีบ้านวังมน (Ban Vang Mon)
สถานีบ้านมางขี (Ban Mang Khi)
สถานีหินเหิบ (Ban Hin Heup) เมืองหินเหิบ แขวงเวียงจันทน์
สถานีโพนโฮง (Phonh Hong) เมืองโพนโฮง แขวงเวียงจันทน์ ห่างจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปประมาณ 80 กิโลเมตร
สถานีบ้านสกา (Ban Sakha)
สถานีบ้านโพนสูง (Ban Phonh Sung)
สถานีเวียงจันทน์เหนือ (Vientiane Neua) ในนครหลวงเวียงจันทน์
สถานีเวียงจันทน์ใต้ (Vientiane Tay) ในนครหลวงเวียงจันทน์
** ตัวหนังสือสีเหลือง หมายถึง สถานีใหญ่ซึ่งเป็นสถานีหลักของทางรถไฟสายบ่อเต็น-นครหลวงเวียงจันทน์ **


รวมมีสะพานทั้งหมด 165 แห่ง ความยาวรวม 92.6 กม.มีอุโมงค์ทั้งหมด 69 แห่ง ความยาวรวม 186.9 กม.เส้นทางรถไฟความเร็วสูงจะแล่นผ่าน 5 แขวงจากทางชายแดนภาคเหนือของประเทศลาว ผ่านแขวงหลวงน้ำทา, แขวงอุดมไซ, แขวงหลวงพระบาง, แขวงเวียงจันทน์ และ นครหลวงเวียงจันทน์

คลิปวิดีโอนำเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูงสายประวัติศาสตร์ ลาว-จีน







วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยกเลิกกฎหมายความมั่นคงที่ใช้มา 51 ปี

ที่มาของข่าว เว็บประชาไท Thu, 2011-09-15 23:56


นาจิป ราซัก กล่าวสุนทรพจน์ในวันมาเลเซีย ประกาศยกเลิกกฎหมายความมั่นคง ISA เลิกคำสั่งภาวะฉุกเฉิน 3 ฉบับ เลิกควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ ปรับปรุงกฎหมายตำรวจเพื่อเอื้อแก่สิทธิรวมตัวสมาคมลั่น "จะไม่มีใครถูกจับกุมง่ายๆ เพียงเพราะแนวคิดทางการเมือง" พร้อมโอนอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปให้ศาล ยกเว้นกรณีก่อการร้าย


เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา (15 ก.ย.) นายกรัฐมนตรีมาเลเซียนาจิป ราซัก (Najib Razak) ได้กล่าวสุนทรพจน์ซึ่งออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์มาเลเซียทุกช่อง เนื่องในโอกาสวันมาเลเซีย (Malaysia Day) วันหยุดของทางการมาเลเซียในวันที่ 16 ก.ย. เพื่อรำลึกถึงการที่บอร์เนียวเหนือ ซาราวัก และสิงคโปร์ เข้ามาร่วมในสหพันธรัฐมาเลเซีย ในปี พ.ศ. 2506 (ก่อนที่สิงคโปร์จะแยกตัวออกไปในปี 2508)

โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้ประกาศยกเลิกกฎหมายความมั่นคงภายใน (Internal Security Act - iSA) ซึ่งบังคับใช้เป็นเวลากว่า 51 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 พร้อมประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน 3 ฉบับ ทั้งนี้การกล่าวสุนทรพจน์ของนาจิ๊ป มีขึ้นต่อหน้าวุฒิสมาชิก และสมาชิกสภาแห่งชาติมาเลเซีย
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะมีการออกกฎหมายใหม่ขึ้นมาแทน เพื่อปกป้องสันติภาพ ความสามัคคี และความปลอดภัยของประเทศ
เขายังประกาศด้วยว่า รัฐบาลจะล้มเลิกข้อกำหนดที่บังคับให้การขอใบอนุญาตตีพิมพ์และเผยแพร่สิ่งพิมพ์ต้องกระทำทุกปี ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ ใบอนุญาตสามารถถูกยกเลิกได้หากทางการพบว่าผู้รับใบอนุญาตละเมิดข้อกฎหมาย
นายนาจิปกล่าวยอมรับในถ้อยแถลงของเขาว่า มาตรการยกเลิกกฎหมายความมั่นคงดังกล่าวเพื่อเพิ่มเสรีภาพให้กับประชาชน "แม้ว่าจะเสี่ยง แต่เรากำลังทำสิ่งนี้เพื่อความอยู่รอดของพวกเรา"
"จะไม่มีใครถูกจับกุมง่ายๆ เพียงเพราะแนวคิดทางการเมือง" เขากล่าวระหว่างสุนทรพจน์
ทั้งนี้ มาตรการยกเลิกกฎหมายความมั่นคงดังกล่าว มีเสียงตอบรับมาจากนายลิ้ม กวน เอ็ง เลขาธิการทั่วไปพรรค DAP และอดีตนักโทษการเมืองตามกฎหมายความมั่นคง หรือ ISA ซึ่งเขากล่าวว่า "เป็นความเคลื่อนไหวสำคัญครั้งประวัติศาสตร์"
นายนาจิปซึ่งถือเป็นผู้นำพรรคแนวร่วมแห่งชาติ (Barisan Nasional - BN) กล่าวด้วยว่า จะมีการออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ 2 ฉบับแทนที่ฉบับที่จะยกเลิกไปนี้ โดยที่มาตรการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยโดยไม่มีการตั้งข้อหาจะถูกจำกัดให้เหลือเฉพาะกรณีก่อการร้ายเท่านั้น "เพื่อรับรองว่าสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานจะได้รับการปกป้อง"
นาจิปกล่าวว่า ภายใต้กฎหมายใหม่ มาตรการขยายเวลาควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจะกระทำโดยศาลเท่านั้น ดังนั้น "อำนาจในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยจะเปลี่ยนจากอำนาจของฝ่ายบริหารไปสู่อำนาจของฝ่ายตุลาการ ยกเว้นเฉพาะกรณีก่อการร้าย"
นอกจากนี้ เขายังกล่าวด้วยว่า กฎหมายการเนรเทศจะถูกยกเลิก และจะยกเลิกมาตรการที่ต้องขออนุญาตรายปีเพื่อตีพิมพ์สิ่งพิมพ์ ภายใต้กฎหมายตีพิมพ์สิ่งตีพิมพ์และการเผยแพร่สิ่งตีพิมพ์ (Printing Presses and Publications Act - PPPA)
นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวด้วยว่าจะปรับปรุงกฎหมายตำรวจ เพื่อให้มีเสรีภาพในการรวมตัวสมาคม โดยจะเป็นไปตามบรรทัดฐานของนานาประเทศ แม้ว่าการประท้วงบนท้องถนนจะยังคงเป็นข้อห้ามทางกฎหมายอยู่ก็ตาม
มาเลเซียอินไซเดอร์ ได้วิเคราะห์ว่า ถ้อยแถลงของนาจิปเหมือนเริ่มเป็นการกดดันเรื่องการเลือกตั้งซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียคงไม่กำหนดจัดการเลือกตั้งในปีนี้แน่นอน แม้ว่าก่อนหน้านี้เคยมีการพิจารณาว่าจะเลื่อนยุบสภาเร็วขึ้นและจัดการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน
ทั้งนี้นาจิปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนเมษายนปี 2552 พร้อมสัญญาว่าจะทบทวนกฎหมายความมั่นคง ISA ซึ่งขณะนี้จะมีการออกกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่แทน โดยหวังจะเอาใจชาวมาเลเซียสายกลาง
ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีมหาธีย์ โมฮัมหมัดกล่าวในอาทิตย์นี้เสนอให้นาจิปถอยกลับมากำหนดจัดการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาเดิม ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากคณะรัฐมนตรีและผู้นำอาวุโสของรัฐบาลซึ่งต้องการให้พรรคแนวร่วมแห่งชาติ (BN) ได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มมากกว่าเดิม
ทั้งนี้ผลสำรวจล่าสุดของศูนย์เมอร์เดก้า ระบุว่าคะแนนนิยมของนาจิปอยู่ที่ร้อยละ 59 ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ขณะที่คะแนนนิยมสูงสุดของเขาเคยอยู่ที่ร้อยละ 79 เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมา ทั้งนี้คะแนนนิยมที่ตกต่ำของนาจิปเกิดจากปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น และการสลายการชุมนุมของกลุ่มเบอร์เซะ 2.0 (Bersih 2.0) ที่รณรงค์ให้มีการปฏิรูประบบเลือกตั้ง เมื่อ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา
ที่มา: แปลและเรียบเรียงจาก
Najib announces repeal of ISA, three emergency declarations, By Shannon Teoh, Malaysianinsider, September 15, 2011 9.45 pm http://www.themalaysianinsider.com/malaysia/article/najib-announces-repeal-of-isa-three-emergency-declarations/