Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

สมบัติ บุญงามอนงค์ แดงตัวจริงไม่วิ่งเป็นรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์เล่นบทสมานฉันท์อย่างเดียวตายแน่”

จาก RED POWER ฉบับที่ 18 ปักหลัง สิงหาคม 2554

จากการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้สลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงอย่างโหดเหี้ยมอำหิตพร้อมทั้งรวบแกนนำเข้าคุกเมื่อ 19 พฤษภาคม ปีที่ผ่านมาทำให้พลังคนเสื้อแดงเกิดภาวะชะงักและดูหมดกำลังใจที่จะเคลื่อนไหวแต่มีบุคคลผู้หนึ่งอาจหาญออกมานำทำให้มวลชนคนเสื้อแดงกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่โดยการนำผ้าแดงไปผูกที่ป้ายราชประสงค์  เพื่อระลึกสิ่งที่รัฐบาลกระทำโดยสร้างวาทะกรรมที่ติดปากคนเสื้อแดงมาถึงปัจจุบันว่า ที่นี่มีคนตาย” คนๆนั้นคือ สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือในนาม บก.ลายจุดจากการที่เป็นผู้นำทางความคิดและในบรรยากาศกระแสวิจารณ์ไม่มีเสื้อแดงใน ค.ร.ม.ยิ่งลักษณ์ทาง RED POWER จึงได้ขอโอกาสสัมภาษณ์ความเห็นต่างๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน

 พลังคนเสื้อแดงมีส่วนสำคัญต่อชัยชนะของพรรคเพื่อไทยแต่ ค.ร.ม.ยิ่งลักษณ์ 1 กลับไร้เงา
แกนนำคนเสื้อแดงหรือ นปช. ตัวท่านเองก็มีส่วนสำคัญในการต่อสู้ไม่รู้สึกอยากเป็นรัฐมนตรีกับเขาบ้างหรือ?
          มันมีสนามที่จะไปต่อสู้กันหลายสนาม ส่วนหนึ่งน่าจะมีการต่อสู้ในสนาม ในสภา ส่วนการเป็นรัฐมนตรีไม่ได้เกิดกับการเป็นเสื้อแดงหรือไม่เป็นเสื้อแดง คุณจะเป็นรัฐมนตรีได้ก็ต่อเมื่อคุณมีเหตุมีผล การเป็นรัฐมนตรีหรือไม่เป็นรัฐมนตรีไม่เกี่ยวกับการเป็นเสื้อแดงขึ้นอยู่กับว่าบุคคลคนนั้นมีความเหมาะสมในหน้างานนั้นจริงหรือไม่ แรงกดดันอยู่ที่ว่ากระแสพอเป็นเสื้อแดงแล้วจะต้องเป็นรัฐมนตรี ในทัศนะผมอย่างไรก็แล้วแต่ในสภาหรือในอำนาจการบริหารผมว่ามันเป็นพื้นที่การต่อสู้จุดหนึ่งถ้ามีความเหมาะสมก็ควรไป ผมคิดว่าการต่อสู้ไม่ได้อยู่ตรงนั้น การเมืองรอบนี้ต่างกับรอบที่ผ่านๆมา มันเป็นเรื่องชนชั้นที่ต้องไปฟัดกัน คุณต้องผันตัวเองจากคนข้างล่างเข้าไปอยู่ในสภาเข้าไปอยู่ในทำเนียบไปเป็นชนชั้นนำ

แต่ว่า บก.ลายจุดใครก็รู้ว่าเริ่มต้นเสื้อแดงจริงๆท่านมีส่วนร่วมที่สำคัญที่สุด?
          ผมแค่เสนอสัญลักษณ์ ผมไม่ใช่ผู้นำมวลชน ผมเป็นนักคิด

แต่ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่รณรงค์ในเรื่องที่ไม่เอารัฐธรรมนูญ ปี 50 จนกระทั่งถูกจับ คดีของท่านมีกี่คดีตั้งแต่ถูกจับที่ผ่านมา?
          ผมถูกจับมาแล้ว 3 ครั้ง ที่เป็นคดีตอนนี้มี 2 คดี เบ็ดเสร็จแล้วประมาณ 5-6 เรื่อง ชนะไปแล้ว 1 คดี คือคดีสะพรั่ง (คดีที่พลเอกสะพรั่ง กัลยาณมิตร แกนนำผู้ยึดอำนาจเป็นโจทก์ฟ้อง)

คดีแรกที่ท่านถูกจับคือคดีอะไร?
            รณรงค์รัฐธรรมนูญเสื้อแดง ไปปราศรัยที่ขนส่ง จ.เชียงราย ปราศรัยด้วยเครื่องขยายเสียงขนาดเล็ก ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่หมวดการรณรงค์ลงประชามติ รัฐธรรมนูญแต่กลับมีกฎอัยการศึกทำให้บางพื้นที่ไม่สามารถที่จะพูดคุยเรื่องนี้ได้ สื่อก็มีการพูดถึงอยู่พอประมาณในพื้นที่เป็นกฎอัยการศึกไม่สามารถพูดได้ เลยถูกจับ

บทบาทที่เด่นของท่านหลังจากเมษาและพฤษภาเลือดปี 53 ที่คนตาย 91 ศพ บาดเจ็บ 2,000 กว่าคน ผู้นำ นปช. ถูกรวบ กระแสเสื้อแดงเงียบไปเลย แล้วท่านเป็นคนจุดประเด็นเสื้อแดงว่าที่นี่มีคนตาย แล้วจากคำนี้ก็ต่อเชื่อมขยายผลขยายตัวเคลื่อนมาถึงวันนี้คือชัยชนะของคุณปู ยิ่งลักษณ์ท่านมองอย่างไร?
          ก็เป็นความต่อเนื่อง ยอมรับว่าเราเพลี่ยงพล้ำช่วงเมษา-พฤษภา แต่เนื่องจากผมมีประสบการณ์เรื่องการทำงานกับผู้ประสบภัยรูปการจิตวิญญาณตอนนั้นเป็นอย่างไร สิ่งที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเวลาเราทำงานเรื่องการฟื้นฟูนั่นคือการฟื้นฟูเรื่องจิตวิญญาณขึ้นกอบกู้จิตใจขึ้น สิ่งที่ผมทำก็คือการส่งสัญญาณ เนื่องจากเป็นจิตวิญญาณร่วม เป็นการสื่อสารระดับจิตใต้สำนึก ไม่มีเสียง ไม่มีภาษา ไม่มีข้อความ สื่อถึงกันหมด ทันทีที่ผมมาผูกผ้าแดงเป็นการส่งสัญญาณแบบก้องกังวานมาก เหมือนคลื่นอะไรสักอย่าง มันจะถึงกันเลย มันเป็นความต้องการทางจิตวิญญาณสูงสุดในเวลานั้นก็ คือการหาที่ลุกขึ้นยืนแต่ผมทำได้แค่นั้น

คุณูปการที่ท่านสร้างขึ้นมาทำให้พลังชีวิตสีแดงเกิดขึ้นอีกจนถึงวันนี้ ขบวนการที่ท่านทำ ท่านยังทำต่อมั๊ย อย่างไร?
          ผมทำแต่ว่าผมปรับผมจะไม่ฝืน ข้อเท็จจริง ผมเชื่อว่าสถานการณ์มันมีวิวัฒนาการไป สิ่งที่เราต้องทำคือการประเมินสถานการณ์ในแต่ละช่วงและดูว่าต้นทุนที่ตัวเองมีคือต้นทุนที่สังคมมีคืออย่าคิดอยู่บนโจทย์ว่าเราจะทำโดยตัวเราคือเรื่องนี้จะทำโดยตัวเราไม่ได้แต่แน่นอนว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกลไกทั้งหมด เราต้องวางตัวเองเข้าไปเชื่อมกับกลไกที่มีอยู่แล้วเคลื่อน

ทำให้ชีวิตของแกนนำ นปช.ฟื้นขึ้นอีกหลังจากนั้น แล้วท่าน ในช่วงนั้นท่านก็เจอคดีในสมัยของคุณอภิสิทธิ์และคุณสุเทพก็มอบคดีให้ท่าน คือคดีเรื่องอะไร?
          ผมโดนคดีที่สามเหลี่ยมดินแดง ช่วงวันที่ 16 พฤษภา ผมทำเวทีย่อยเพื่อช่วยเวทีใหญ่ ผมได้คุยกับหมอเหวงหน้าที่ผมคือประเมินภาพข้างนอกให้หมอเหวงฟังว่าภาพเป็นอย่างไร ก็เลยเจอคดีเรื่องศอฉ.
 และอีกคดีคือ ทำกิจกรรมโดยเอาคนเสื้อแดงไปแก้ผ้าเพื่อสันติภาพระหว่างวันที่ 17 พฤษภาคม ซึ่งกระแสรุนแรงกำลังก่อตัวขึ้นเพื่อที่จะต้องการหยุดกระแสนี้ ผมเลยโดนคดีแก้ผ้าไปอีก 1 คดี
คดีที่ 2 คือ วันที่ 21 พฤษภาคม ผมไปคุยกันซึ่งมีประชาชนอยู่ประมาณ 80 คนที่ใต้ทางด่วนลาดพร้าว 71 ก็โดนคดีไปอีกนี่ขนาดที่สวนสาธารณะซึ่งมีคนไม่กี่คน  ใช้อำนาจ พรก.ควบคุมผม 30 วัน แต่ศาลอนุมัติแค่ 14 วัน  ซึ่งตอนนั้นคุณสุเทพถึงขนาดอุทานมาว่าถ้าจะไปจับเพราะว่าเขาผูกผ้าแดง ผมก็บ้า? ถูก ไม่มีเจ้าหน้าที่เสียสติคนไหนไปจับคนผูกผ้าแดงหรอก  พูดแบบนี้เสร็จผมเลย เพราะว่าผมพูดซ้ำ ขอบคุณเลยแล้วก็ผมพูดซ้ำสิ่งนี้หยิบสิ่งนี้มาและผมก็ได้ เอาคืนและผมก็ได้ใบอนุญาตแล้ว

คุณูปการที่ท่านสร้างขึ้นอย่างนี้ท่าน พ.ต.ท.ทักษิณ เคยโทรมาหรือไม่?
          ผมไม่เคย ไม่เคยโทรไม่มีการติดต่อ ไม่เคยส่งจดหมายหรืออีเมล์บ้าบออะไร และส่วนตัวเองก็ไม่ชอบที่จะเดินแนวนั้น   

เขาเปิดสมัครรับเลือกตั้ง แกนนำเสื้อแดงพยายามที่จะเสนอตัวเข้าไปเป็น สส. เต็มไปหมด ท่านไม่ได้เสนอสิ่งนี้เลย?
          คือถ้าผมมีแรงบันดาลใจที่จะไปทางนั้นผมคงทำตัวใกล้ชิดผู้ใหญ่ไปแล้ว

หลังจากประกาศยุบสภามีแกนนำเสื้อแดงหลายคนที่ท่านบอกว่าได้เป็นผู้นำ เป็นชนชั้นนำ
 ทำไมท่านไม่กระโดดเข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อเป็นชนชั้นนำกับเขาบ้าง?

          เพราะผมเห็นว่ามีพื้นที่การต่อสู้นอกสภาอยู่ ซึ่งเป็นพื้นที่ชี้ขาด เป็นปัจจัยชี้ขาดคือเกมส์ความขัดแย้งทางการเมืองต่างกันไม่ได้อยู่ที่ใครแข็งแรงกว่ากันมันพอกันสู้กันมานานแล้ว แต่ปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่มวลชนอยู่ที่ระบบความคิดของประชาชน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำคือการปรับเปลี่ยนทัศนะของประชาชนมาเป็นวิธีการต่อสู้ที่เรียกว่าการเปลี่ยนยุค เช่นวันนึงโทรศัพท์พี่ก็จะต้องถูกเปลี่ยนจากโทรศัพท์ธรรมดามาเป็นสมาร์ทโฟน มันอาจจะเปลี่ยนแบบไม่มีการหักหาญกันนะผมเชื่อการเปลี่ยนแบบนี้  มันคือการเปลี่ยนระบบความคิดที่แสดงถึงความก้าวหน้า  การเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากอัตวิสัยตัวบุคคล แต่เปลี่ยนโดยภาวะวิสัยของโลกที่มันเดินทางเพียงแต่ว่าเราเป็นตัวละครในนั้น  มันต้องมีคนมาคิดยุทธศาสตร์

แสดงว่าท่านมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริง มากกว่าที่จะเป็น สส.?
          ผมเสียดายสิ่งที่กำลังจะทำถ้าไม่มีคนทำ เพราะผมเชื่อว่าพื้นฐานที่ผมมีคือผมไม่มีภาพ  คือพี่เต้นกับพี่ตู่เขามีภาพเป็นผู้นำ

หลังจากเลือกตั้งแล้วพรรคเพื่อไทยได้ ชัยชนะ มีผู้นำเสื้อแดงหลายคนเสนอตัวอย่างเปิดเผย เช่น คุณก่อแก้ว จะเสนอให้แกนนำเป็นรัฐมนตรี ท่านมองว่าอย่างไร?
          ผมคิดว่าส่วนหนึ่งก็อาจจะถูกไมค์จ่อปากแล้วจำเป็นจะต้องตอบ เลยต้องแสดงทัศนะไป ในส่วนตัวผมๆคิดว่าเสื้อแดงที่เพิ่งเป็นสส.รอบแรกอาจจะยังไม่เข้าใจเกมส์ที่อยู่ในแวดวงนักการเมือง ก็อาจจะโดนลากกันไป อาจจะมองเห็นภาพกว้างไม่ออก พูดออกมาแบบนี้แล้วผลกระทบที่ออกมาจะเป็นยังไง

การเป็นรัฐมนตรีไม่จำเป็นจะต้องเป็นสส. ถ้าสมมติทักษิณเสนอให้ท่านเป็นรัฐมนตรีท่านเอามั๊ย?
          ผมพอใจกับสถานะที่ผมเป็นอยู่ ผมไม่คิดว่ารัฐมนตรีมีสถานะและคุณค่าที่สูงกว่าที่ผมเป็นอยู่ในปัจจุบัน  ผมมองว่ารัฐมนตรีทำในสิ่งที่ผมกำลังจะทำไม่ได้ เขาจะไม่สามารถนำเสนอตัวเองในภาคประชาชนได้และผมเป็นตัวแทนของคนเสื้อแดง  ถ้าเขาเป็นผู้แทนผมก็เป็นตัวแทนเหมือนกันเป็นตัวแทนแบบไม่มีการลงฉันทามติ ผมมีความใกล้เคียงกับมวลชนใช้ชีวิตปกติ ผมยังขึ้นรถเมล์นั่งรถไฟฟ้าไม่มีรถส่วนตัวลากรองเท้าแตะเดินไปเดินมาใช้ชีวิตเหมือนที่เขาเป็นกัน  ผมเหมือนคนเสื้อแดงเพราะผมเป็นคนเสื้อแดงเพียงแต่ผมเป็นปัญญาชนในหมู่คนเสื้อแดงการที่มีคนอย่างผมอยู่มันทำให้ไม่สิ้นสุดคนก็จะมองว่ายังมีผู้นำอยู่นะ ผมเรียกตัวเองว่าแกนนอน  แต่มันก็มีภาวะแกนนำอยู่ในตัว และมวลชนก็ยังสู้อยู่ไม่งั้นมันจบเลยนะหมดแม็คเลยถ้าคนที่ยืนอยู่บนเวทีเดินเข้าสภากันหมด จะไม่มีคนเสนอในแนวทางภาคประชาชน


ถ้าเป็นแกนนำอย่างนี้ที่ท่านบอกว่ามันต้องสอดคล้องกับสิ่งที่ว่าท่านต้องการส่งสัญญาณๆนี้คืออะไร?
          สัญญาณการต่อสู้หรือการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด  ไม่ใช่เปลี่ยนโครงสร้างนะ  เมื่อฐานล่างปรับ ข้างบนก็ต้องเปลี่ยน  แต่ที่ยังเปลี่ยนไม่ได้เพราะว่าตอนนี้เพราะว่าระบบความคิดตอนนี้มันยังแย้งๆกันอยู่  ตอนนี้เสื้อแดงมันยังไม่กลมกล่อมพอมันต้องอาศัยการหมักระยะหนึ่งให้ได้ที่ มันต้องเกิดการปะทะกันทางความคิด ตอนนี้มันยังปะทะกันแบบฝุ่นตะหลบ แต่มันจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงเราอาจจะต้องหงุดหงิดหน่อยในการเปลี่ยน  ตอนนี้เราอาจจะเห็นการปะทะกันแบบเป็นศัตรู แต่ผมอยากเห็นให้มันเป็นแค่การแลกเปลี่ยน เราอยากจะมีวิถีชีวิต มีเสรีภาพ อยากจะเห็นกลไกทางสังคม ความสัมพันธ์ทางอำนาจ วัฒนธรรมต่างๆ แต่ตอนนี้การสู้กันทางความคิดมันยังใช้คำพูดที่แทงอีกฝ่ายหนึ่งแบบรุนแรง มันติดคุกได้ ตายได้  มันไม่ใช่  Debate มันเป็นการพูดถึงตัวบุคคลมากเกินไปเหมือนเราอ่านทีวีพลูเหมือนมันไม่คุยกันในเชิงหลักการ คือกระบวนการเสื้อแดงก็ไม่ได้ให้ความสำคัญอันนี้เรื่องใหญ่มาก  เสื้อแดงรับรู้เรื่องราวต่างๆผ่านทางเวทีมาหลายปี และเวทีก็ต้องการสีสัน  และแกนนำบนเวทีก็ทำหน้าที่ปะทะคู่ต่อสู้ ถกเถียงกันในประเด็นคู่ต่อสู้  แต่เนื้อหาสองเรื่องที่ขาดหายไป หนึ่งการคุยในเชิงนามธรรมและหลักการ  แต่บนเวทีมีแต่พูดธาริตเลวยังไงสุเทพเลวยังไงมันเป็นเรื่องบุคคลเราต้องพามวลชนยกระดับข้ามไปสู่การพูดคุยทางหลักการ คานธีบอกไว้ว่าบุคคลไม่ใช่ศัตรูความคิดเขาต่างหากที่เป็นปัญหา แต่การที่จะนำให้ไปสู่การสู้กันทางความคิดทำยังไงมันถึงจะมีสีสัน สองคือหลักการถ้ารูปธรรมมันเปลี่ยนหลักการมันจะเปลี่ยนเองเป็นไปเอง

ในขณะนี้ที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลนายสุเทพบอกว่าจะลงใต้ดินจะสร้างขบวนการจัดอบรมจัดตั้งท่านคิดว่าในอนาคตจะเกินความรุนแรงไหม
          เอาไฟฉายส่องเลยเหมือนกับที่อาจารย์ธิดาทำไปดูเลยว่า มึงสอนอะไร คือผมคิดว่าไม่มีปัญหาตราบใดที่มันยังอยู่ในกรอบรัฐธรรมนูญ  ไม่ว่าจะทำโรงเรียนสีขาวโรงเรียนสีฟ้าทำไปเลย  เพียงแต่ว่าเราคอยเอาคนไปส่อง เอานักข่าวไปดูมามึงพูดอะไรสอนอะไร พอมันพูดเสร็จเราก็ยำคืนสวนคืน  แต่สิ่งที่คุณสร้างขึ้นมามันจะไม่เป็นแบบเสื้อแดงเพราะเสื้อแดงเกิดจากการถูกกระทำ เราเป็นเจ้าของปัญหา ชาวบ้านเขาลุกขึ้นมาเพราะเขาเป็นเจ้าของปัญหา  มันยั่งยืนกว่าพวกคนชั้นกลางคนชั้นกลางมันไม่ได้สู้เพราะมันเป็นเจ้าของปัญหา มันไม่ใช่แต่มันสู้มาด้วยอุดมคติบางอย่าง  แต่ไม่ได้ได้เกินขึ้นจากการเป็นเจ้าของปัญหา ที่ต้องระวังคืออย่าให้มันลากคนชั้นกลางให้เป็นเจ้าของปัญหา ผมว่าสิ่งที่คุณสุเทพทำ จุดติดยากมาก แล้วเราอย่าไปตีมันอย่าให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ถูกกระทำ  นี้ถ้าพูดฝากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คือ  คุณอย่ากระทำเขา  อย่างปัญหาภาคใต้ หรือที่เขากำลังจะปิดถนน  อย่าไปดูว่าเขาสีอะไร มันต้องดูว่าเขามีปัญหาอะไร ลงไปดูไปแก้ปัญหาของเขา  จะไม่มีปัญหาเลย

แต่สิ่งที่คุณสุเทพทำเขาประกาศชัดเจนเลยว่าเขาทำเพื่อเป็นองค์กรสู้รบเพราะกลุ่มคนที่ชนะการเลือกตั้งกำลังจะเปลี่ยนแปลงการปกครองในปัจจุบัน
          ผมไม่เชื่อนะ ผมว่ามันหมดยุค 6 ตุลาแล้ว ลองดูที่ผ่านมาทำไมเหตุการณ์แบบ 6 ตุลาจึงไม่เกิดในสมัยที่แดงรุกเข้ามาขนาดนี้ เพราะว่ามันใช้การไม่ได้  ตอนนี้วุฒิภาวะทางสังคมมันเปลี่ยนไป  กว่าจะอนุญาตให้ฆ่าได้แบบ 6 ตุลานั่นแสดงว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเพลี้ยงพล้ำอย่างแรง ไม่ง่ายๆ

คิดว่าในกรณีนักโทษการเมืองมาตรา112สิทธิการประกันตัวยังไม่ได้รับเลยในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
ผมคิดว่าที่ไม่ได้รับการประกันตัวเพราะมันมีใบสั่ง จริงๆสิทธิการประกันตัวเป็นสิทธิพื้นฐาน  ถ้าดูจากคดีพวกเขาไม่ใช่อาชญากร  พวกเขาควรได้รับการประกัน  คิดว่าน่าจะมีคนสั่งการ ผมหวังว่าการกดดันศาลน่าจะน้อยลง ศาลก็จะได้ให้ความยุติธรรมรอดูสักระยะ

คิดว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะเจอม็อบประชาธิปัตย์ไหม?
ก็เป็นไปได้เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็มีมวลชนสนับสนุนอยู่แต่ม็อบบางที่ก็ไม่ใช่ของประชาธิปัตย์บางที่ก็อาจจะมาจากที่อื่นก็น่าจะมี  และประชาธิปัตย์ก็อาจจะใช้โอกาสนี้เข้าสนับสนุน  เรามองม็อบประชาธิปัตย์ด้านการเมืองอย่างเดียวไม่ได้  เราต้องมีใจที่จะไปรับฟังปัญหา ในตัวผมคิดว่าไม่มีปัญหานะถ้าเราเข้าไปแก้ปัญหาให้เขา  ในบางกรณีชาวบ้านเขาต่อสู้นานมาก  อาจจะนานกว่ากรณีเหลือง แดง ซะอีก  เพราะฉะนั้นต้องฟังเขา รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะได้รับความนิยมจากมวลชน  ผมคิดว่าเรื่องม็อบประชาธิปัตย์เจอแน่ไม่เกิน 3 ถึง 6 เดือน แต่คิดว่าไม่น่าจะเยอะจน เหมือน 19 กันยา จนเป็นเหตุให้เกิดรัฐประหาร คิดว่าเกิดได้ยาก แทบเป็นไปไม่ได้เลย

ถ้าเป็นอย่างนั้นจะอ่านการเมือง ว่ามันจะเดินไปในทิศทางไหน อย่างไร?
          ฝ่ายโน้นมีหน้าที่บุก ถ้าเราตั้งรับคือต้องเล่นทั้งรับและรุกคือแน่นอนมันจะมีจังหวะที่เขาซัดเตรียมรับให้ดี เราต้องเปิดเกมส์รุกในกรณีที่ ศอฉ. คืออย่าปล่อยให้เขารุกอย่างเดียว ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์เล่นบทสมานฉันท์อย่างเดียวนี้ตายแน่  ต้องคอยเขี่ยแผลมัน หรือถ้ารัฐไม่เขี่ยต้องมีคนอื่นช่วยเขี่ย 

คิดว่ามีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นอีกเหมือน 6 ตุลาไหม
ผมดูตอนนี้นะ ถ้าผู้มีอำนาจจับมือกันได้จบ  ถ้าข้างบนเค้าฮั้วกันได้ คือฝ่ายอำนาจจารีตเก่า กับทุนใหม่ ประนีประนอมกันจะทำให้เสื้อแดงอ่อนแรง ที่เหลือก็เป็นเสื้อแดงที่ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับการเมือง ถ้ามีการประนีประนอมเสื้อแดงจะฝืด และตลาดวายไปเอง  อาจมีคนพยายามลากๆ อยู่แต่ไปไม่ไหว  แล้วคือจะเสียของ  หมดโอกาสเปลี่ยนแปลง และไม่ต้องพูดว่าอำนาจจารีตเก่าหรือมือที่มองไม่เห็น  มีโอกาสที่จะจับมือกับทักษิณมากแค่ไหน  ผมว่าสูง ทั้งคู่อยากจับ
เหนื่อยกันทั้งคู่  ถ้าอยู่ในการต่อรองที่รับกันได้ผมว่าจับมือกันแน่  ข้างล่างก็จะฝืดเพราะมวลชนเราส่วนใหญ่เขาเพิ่งสู้ครั้งแรกแต่ยังไม่ถึงระดับอุดมการณ์ 

จากภูมิหลังทางวัฒนธรรมของทั้งสองฝ่าย และจากบทเรียนทางประวัติศาสตร์ของโลก ท่านคิดว่าชนชั้นนำทั้งสองฝ่ายจะจับมือประนีประนอมกันง่ายไหม?
          ผมว่าคงยาก

ท่านประเมินว่าทิศทางที่คาดหวังว่าสังคมไทยน่าจะเคลื่อนไปตามภาวะวิสัยที่เป็นจริง ในอนาคตอย่างไร ในฐานะเสื้อแดงคนหนึ่ง?
          เป้าหมายคนเสื้อแดงคือสร้างสรรค์ประชาธิปไตย สามัคคีประชาชนคือการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย คนที่จะควบคุมผู้มีอำนาจคือประชาชนเพื่อให้เกิดการตอบสนองและรับใช้ประชาชนโดยแท้จริง

ท่านอยากจะฝากอะไรไปถึงรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์?
          ในช่วงสมัยรัฐบาลไทยรักไทยประชาชนมีความประทับใจในการทำงาน แต่ว่ารัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลแบบรับเหมาทำคือไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ผมอยากเห็นคุณยิ่งลักษณ์ไปสู่ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น