สส.สุนัย จุลพงศธร
(ตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์"ไทยเนชั่นยูเอสเอ" ปีที่9ฉบับที่168ประจำเดือนตุลาคม 2558)
สัปดาห์ปลายเดือนกันยายนเห็นข่าวการมาเยือนสหรัฐอเมริกาของสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิส ผู้นำทางจิตวิญญานของชาวคริสต์ทั้งโลกแล้วย้อนดูความเป็นไปของการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชผู้นำทางจิตวิญญานชาวพุทธของไทยรวมทั้งระเบียบพิธีการจัดการแบบทางการของไทยแล้วรู้สึกว่าระบบรัฐของไทยถึงเวลาต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จริงๆ
โทรทัศน์ในอเมริกาถ่ายทอดภาพข่าวการต้อนรับของฝ่ายบริหารโดยประธานาธิบดีโอบลามาและสภาคองเกรสให้การต้อนรับพระองค์อย่างเรียบง่ายเป็นกันเองแต่อบอุ่นไม่มีพิธีรีตองเจ้ายศเจ้าอย่างอะไรมากมายเหมือนอย่างในประเทศไทย รวมถึงการกล่าวต้อนรับ และการกล่าวตอบรับของทั้งสองฝ่ายก็มีเนื้อหาเชิงสังคมการเมืองที่จับต้องได้เหมือนคนธรรมดาพูดกันโดยเน้นเนื้อหาที่จะให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติมากกว่าที่จะเน้นแต่รูปแบบพิธีการจนพระกับฆารวาสคุยกันไม่รู้เรื่อง
ผมนึกถึงรูปแบบพิธีการที่ประมุขแห่งรัฐของไทยคือในหลวงกับสมเด็จพระสังฆราชไทยในงานพระราชพิธีต่างๆเราจะไม่เคยเห็นเนื้อหาของการนำเสนอเรื่องราวทางสังคมหรือแนวทางการดำเนินชีวิตของประชาชนระหว่างประมุขแห่งรัฐกับประมุขแห่งศาสนาของไทยอย่างเสมอภาคร่วมกันในทางสาธารณะเช่นที่ปรากฎในจอโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกาเช่นนี้เลย
ถ้าใครจะโต้แย้งผมว่าก็เพราะศาสนาพุทธไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง!!!
ผมก็อยากจะบอกว่า"อย่าหลอกตัวเองเลย"เพราะศาสนากับการเมืองได้สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกันมานานนับแต่ศาสนาเริ่มก่อรูปขึ้นในโลกนี้
ในประวัติศาสตร์ไทยนับแต่ยุคสุโขทัยถึงอยุธยาทุกครั้งที่มีศึกสงครามพระสงฆ์เกจิอาจารย์ทั้งหลายก็จะแสดงความเป็นเนื้อเดียวกับอำนาจทางการเมือง อาทิเช่นพระสงฆ์ออกมาช่วยกันทั้งปลุกเสกของขลังทั้งเป็นผู้นำการฝึกอาวุธเพื่อให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายมีกำลังใจมีวิชาความรู้ช่วยกันปกป้องบ้านเมืองจากศัตรูถึงขนาดพระมหากษัตริย์จะนำช้างออกศึกยังต้องมีพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นพิเศษที่เรียกว่า"พระชัยหลังช้าง"นำออกศึกด้วย หรือเมื่อชนะศึกกลับมาแล้วแต่มีเหล่าทหารจะถูกลงโทษประหารชีวิตเพราะเกิดบกพร่องในหน้าที่ก็พระอีกนั่นแหละเป็นผู้ขอบิณฑบาตรไถ่โทษให้เช่นกรณีที่พระนเรศวรไสช้างออกไปรบแล้วทหารที่คุ้มครองช้างพระที่นั่งแต่วิ่งตามช้างไม่ทันพระนเรศวรมีคำสั่งให้ตัดหัวก็รอดตายเพราะการทูลขอของพระสังฆราช
เราต้องยอมรับความเป็นจริงเถอะว่าผู้นำไทยเราโดยเฉพาะทุกวันนี้ให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนาเพียงรูปแบบเท่านั้นและไม่ยอมให้บทบาทนำทางสังคมการเมืองที่สร้างสรรแก่ผู้นำสงฆ์เลย เราจะเห็นได้ว่าผู้นำรัฐจะให้ความสำคัญกับพระสงฆ์ที่เน้นหนักการปลุกเสกวัตถุมงคลสิ่งศักสิทธิ์ในลักษณะพุทธพานิชมากกว่าพระสงฆ์ที่เน้นหลักธรรมในการครองชีวิตของประชาชน
ยิ่งในยุคกำลังเปลี่ยนผ่านรัชกาลเรายิ่งเห็นภาวะวิปริตอาเพศของศาสนาพุทธเราที่ถูกกระทำโดยตรงและโดยอ้อมจากผู้นำรัฐหนักยิ่งขึ้น
ผมเห็นข่าวพระที่ลูกศิษย์คนโปรดเป็นนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทำการจาบจ้วงต่อสมเด็จวัดปากน้ำขณะที่ดำรงตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ด้วยการยกขบวนนักเลงนับร้อยนำสังฆทานที่จงใจจะจาบจ้วงเช่นรองเท้าแตะเก่าขาดวิ่นและกางเกงในเปื้อนอุจาระไปถวายผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราชโดยไม่มีใครดำเนินการใดๆได้เลยแม้แต่ขณะการยกขบวนไปก็อยู่ภายใต้กฎอัยการศึกห้ามชุมนุมเกิน5คนคสช.ก็ไม่เคยส่งเสียงห้ามปรามเลยทั้งก่อนและหลังการกระทำอันไม่เหมาะสมนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการชุมนุมของนักศึกษาเมื่อวันที่19กันยายนที่ผ่านมาที่กรุงเทพฯ หรือแม้แต่การเตรียมการชุมนุมต่อต้านนายประยุทธ์ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยในมหานครนิวยอร์คนอกประเทศไทยแท้ๆนายประยุทธ์และลูกสมุนก็ขู่ฟอดๆ
ผมต้องยืนยันว่าพลเอกประยุทธ์และบรรดาพลเอกทั้งหลายในคสช.ให้การหนุนหลังพระองค์นี้เพื่อจะทำลายพระเกียรติ์ของสมเด็จวัดปากน้ำผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราช เพราะก่อนหน้านี้พระองค์นี้ได้แสดงตัวต่อสาธารณชนเสมอด้วยอันธพาลเช่นนำพลพรรคปิดถนนแจ้งวัฒนะร่วมกับกปปส.ของนายสุเทพที่ทำการปิดกรุงเทพฯเพื่อสร้างเงื่อนไขให้คณะคสช.ใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร
ที่ผมบอกว่าพระองค์นี้ทำตัวเสมอด้วยอันธพาลว่าจริงๆยังน้อยไปเพราะการกระทำขนาดสั่งการให้ลูกน้องนักเลงทั้งหลายที่ติดอาวุธยิงทุกคนและรถทุกคันที่ไปแตะต้อง'กรวย'จราจรที่กั้นเขตการชุมนุมปิดถนนไว้ถึงขนาดเหยื่อที่ถูกยิงเป็นนายทหารก็ไม่ถูกดำนินคดีใดๆจนถึงวันนี้ทั้งๆที่ประยุทธ์มีอำนาจสูงสุดในมือคือมาตรา44ตามรัฐธรรมนูญและก็แสดงการใช้อำนาจนี้แล้วคือถอดยศทักษิณแต่ไม่กล้าใช้มาตรา44กับพระนักเลงรูปนี้...อย่างนี้ต้องเรียกว่า 'อภิมหาอันธพาล'
อ่านถึงตรงนี้ก็คงทราบนะครับว่าพระรูปนี้ชื่อ'พุทธอิสระ'
ถ้าใครติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับพระศาสนาในเมืองไทยก็จะยิ่งเห็นความวิปริตที่ยาวนานนับ10ปีติดต่อกันในช่วงของการกำลังจะเปลี่ยนผ่านรัชกาลนี้มากยิ่งขึ้นจนหาเหตุผลปกติมาอธิบายไม่ได้นอกจากจะบอกได้เพียงว่า "ผู้นำรัฐตัวจริงมีเป้าหมายใช้อำนาจเผด็จการคุมพระสงฆ์ที่ตนระแวงสงสัยว่าจะไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจสั่งการของตน"
ดูได้จากการไม่ยอมแต่งตั้งตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ของไทยนับตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชญานสังวรแห่งวัดบวรนิเวศน์ทรงพระประชวรและไม่อยู่ในฐานะจะปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้นานกว่าสิบปีโดยปล่อยให้สมเด็จเกี่ยวแห่งวัดสระเกศเป็นผู้รักษาการไปจนสิ้นชีวิต และวันนี้ทั้งสมเด็จเกี่ยวและสมเด็จพระสังฆราชญานสังวรก็สิ้นบุญหมดแล้วทั้งสองพระองค์แต่ก็ยังไม่สถาปนาสมเด็จช่วงณ.วัดปากน้ำขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งสงฆ์ และยังมีการหนุนหลังให้พุทธอิสระออกมาจาบจ้วงอีกดังเหตุการณ์ที่กล่าวข้างต้น
ยิ่งกว่านั้นพระธรรมไชโยเจ้าสำนักธรรมกายที่เป็นพระสงฆ์ที่มีลูกศิษย์มากมายและอยู่ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญานของชาวพุทธจำนวนมากและเป็นพระที่สมเด็จช่วงแห่งวัดปากน้ำเป็นอุปัชชาให้ก็กำลังถูกเล่นงานทางกฎหมายอย่างหนักโดยส่อให้เห็นถึงความมุ่งหมายของคสช.ที่น่าจะได้รับคำสั่งจากใครที่มีอำนาจลึกลับไปดำเนินการทางกฎหมายกับวัดธรรมกายถึงขนาดจะล้มล้างวัดทีเดียวเพราะการดำเนินคดีไม่ได้ใช้กลไกตำรวจธรรมดาแต่ใช้กรมสอบสวนพิเศษหรือ DSI ที่เป็นเครื่องมือ'สั่งได้'ของคสช.โดยตรงดำเนินการ
ในขณะที่ผู้มีอำนาจครอบงำโครงสร้างการเมืองไทยควบคุมศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาประจำชาติโดยไม่ยอมให้ประมุขสงฆ์แสดงบทบาทนำเชิงจิตวิญญานและปรัชญาทางสังคมเหมือนเช่นผู้นำทางจิตวิญญานแห่งศาสนาคริสต์กำลังแสดงบทบาทอย่างเปิดเผยอยู่ในสหรัฐอเมริกาขณะนี้แล้ว แต่ยังกลับใช้อำนาจทางการเมืองทำลายศรัทธาความเชื่อถือในตัวผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราชและพระสงฆ์ที่มีฐานะเป็นผู้นำทางจิตศรัทธาเช่นเจ้าสำนักธรรมกายด้วยเช่นนี้แล้วจะไม่ให้ชาวพุทธอย่างเราเกิดความวิตกกังวลและสังเวชใจได้อย่างไร?
นี้คือเหตุผลที่ผมเห็นข่าวการเยือนสหรัฐอเมริกาของสมเด็จพระสันตปาปาฟรานซิสแล้วมองย้อนกลับดูผู้นำทางศาสนาพุทธในประเทศไทยบ้างก็เกิดอาการตาสว่างว่า"พระศาสนากำลังถูกจ้องทำลายจากอำนาจรัฐเผด็จการ"
ผมปลงความสังเวชใจและละความวิตกกังวลนี้ด้วยการตั้งสมาธิภาวนาว่า
"สรรพสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง แม้แต่โครงสร้างสังคมไทยก็ไม่เที่ยง ต้องปล่อยไปตามกรรม"
ถ้าใครจะถามผมว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้? และผู้มีอำนาจสั่งการประสงค์อะไร? ผมก็จะขอตอบกระซิบเบาๆว่า
"คุยกันหลังไมค์ครับ...หลังไมค์ๆ"
-------------จบ------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น