Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เปิดเส้นสนกลในคดีฉาวก่อนตัดสินจำคุกลิ้ม20ปี ไม่ต้องนอนคุกให้ประกันฉลุยศาลไม่อ้างซักแอะโทษสูง

ข้อมูลจาก thai E-News

ศาลเมตตาลิ้ม แต่ไม่เมตตาสุรชัย-อากง...สนธิ ลิ้มทองกุล มาขึ้นศาลคดีที่มีเส้นสนกลในอันฉาวโฉ่ ก่อนถูกตัดสินจำคุก 20 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ให้ประกันตัวออกมาในวงเงิน 10 ล้านบาท (ภาพ:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์)



เป็นที่น่าสังเกตว่ากรณีสุรชัย แซ่ด่าน ถูกตัดสินจำคุกวันเดียวกัน 7 ปี 6 เดือนไม่ได้ประกันตัว และ กรณีอากงถูกตัดสินจำคุก 20 ปีเช่นเดียวกับนายสนธิ ไม่ได้ประกันตัว ศาลอ้างว่าอัตราโทษสูง เกรงจะหลบหนี
โดย ฤทธิ์ วิษณุ

28 กุมภาพันธ์ 2555

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก มีคำพิพากษาจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลย เป็นเวลา 20 ปี ฐานผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ กรณีรับรองเอกสารในฐานะกรรมการบริษัทอันเป็นเท็จเพื่อให้บริษัทที่ตัวเองถือ หุ้นอยู่ไปกู้เงินกับธนาคารกรุงไทยฯ จำนวน 1,078 ล้านบาท
โดยศาลลงโทษจำคุกรวม 17 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 85 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 42 ปี 6 เดือน แต่ตามกฎหมายลงโทษสูงสุดได้ไม่เกิน 20 ปี โดยคดีนี้ศาลไม่รอลงอาญา
ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายสนธิ ไปไว้ที่ห้องพักจำเลย โดยนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายสนธิ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่า 10 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี
ต่อมาเวลา 17.45 น. ศาลมีคำสั่ง ให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายสนธิ โดยตีราคาประกัน 10 ล้านบาท



แทนที่จะถูกลงโทษคดียึดสนามบิน สนธิกลับโดนคดีนี้ ความเป็นไปเป็นมาของคดีเป็นอย่างไร เดี๋ยวไปรู้จักเส้นทาง และเส้นสนกลไนของคดีนี้ อันนับเป็นจุดตายของสนธิลิ้มกันครับ

คดีนี้ สนธิ ลิ้ม (โกตั๊บ) ประมุขคนสำคัญของกลุ่มมวลชนขวาจัดเสื้อเหลือง ที่ถูกศาลอาญาพิพากษาโทษตัดสินจำคุก 20 ปีโดยไม่รอลงอาญา กับความผิดถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริต ลงข้อความอันเป็นเท็จหลอกลวงผู้ถือหุ้น ผู้ตรวจสอบบัญชี กรรมการบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากรอวันถูกลบชื่อทิ้งในตลาดหลักทรัพย์

โกตั๊บ ตกเป็นจำเลยร่วมกับพวกอีก 3 คน ในคดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ฟ้อง ในความผิดในคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 กรณีระหว่างวันที่ 8-31 ตุลาคม39 โดยร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัท

คดีนี้ เป็นคดีฉ้อโกงที่เกิดจากเมื่อครั้งโกตั๊บทำการฉ้อฉลโดยมีหลักฐานพร้อมเพรียง และก็รู้ดีว่า หมิ่นเหม่ที่จะถูกลงโทษอย่างยิ่ง จึงได้พยายามดิ้นรนซื้อเวลาเพื่อหาทางหลุดพ้นอย่างสุดฤทธิ์

โดยมีทนายคู่ใจคือสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ซึ่งมีชื่อเป็นทนายคนสำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯเสื้อเหลืองมาตลอดคอยแก้ต่างให้ ทั้งในการสืบพยาน และมีกระแสข่าวเรื่องล็อบบี้ทั้งบนโต๊ะ-ใต้โต๊ะให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ รวมถึงการใช้เพทุบายในการพิจารณาความในศาลอ้างเหตุเลื่อนยื้อมายาวนาน

จนกระทั่งล่าสุด ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่าโกตั๊บ ได้ส่งทนายมาขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษา โดยอ้างว่าต้องเดินทางไปรักษาตัวด้วยวิธีฝังเข็มที่ประเทศจีน (จริงๆแล้ว ไม่ได้ไปรักษาตัว แต่ไปดูแลกิจการที่ซุกเอาไว้ในจีน หลังจากที่ล้มบนฟูก และฉ้อฉลเจ้าหนี้ไปจำนวนมาก เพราะไม่ต้องการใช้หนี้ และข่าวนินทาไล่หลังว่าพากิ๊กสาวคนใหม่ไปทัวร์จีนตามประสาคนวัยทองที่ยังมีไฟราคะ)

แต่ศาลเห็นว่าจำเลยเลื่อนฟังคำพิพากษามาแล้วหลายครั้ง จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับนายสนธิ พร้อมนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 28 ก.พ. เวลา 09.00 น.

หลังจากถูกออกหมายจับ สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ต้องจำยอม เข้ามอบตัวต่อศาล เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคม โดยศาลมีคำสั่งปรับเงินนายสนธิจำนวน 4,000 บาท พร้อมกำชับให้ไปฟังคำพิพากษาตามวันที่นัดหมายด้วย
ก่อนเข้ามอบตัวต่อศาลหลังถูกออกหมายจับโกตั๊บ ยังออกลีลาดิ้นรนครั้งใหม่แบบเดิม เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการโกหกคำโตชูการเมืองขึ้นมากลบเกลื่อนเสมอ โดยครั้งนี้ได้โทรศัพท์จากจีนมาปราศรัยกับแกนนำพันธมิตรที่สุมหัวกันอย่างเบาบางแบบแผ่นเสียงตกร่อง ในงานตรุษจีนปีใหม่ที่ลานสำนักงานASTVถนนพระอาทิตย์เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มกราคม เรียกร้องให้กองทัพออกมายึดอำนาจเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคดีอาญาดังกล่าว

คำพูดทางโทรศัพท์อันชาชินมายังพลพรรคที่สุมหัวกันอยู่
”...ผมเตรียมพร้อมทุกวินาทีที่จะออกมาสู้ และสู้ครั้งนี้ ไม่ใช่ประท้วงที่ถนน จะต้องสู้เพื่อยึดอำนาจรัฐเลย ต้องสู้เพื่อแตกหัก เพราะถ้าไม่แตกหักแล้ว พระเจ้าอยู่หัวเราไปไม่รอด ผมเป็นคนแรกที่บอกว่าทหารเท่านั้นที่จะเป็นเสาค้ำพระเจ้าอยู่หัว แต่ถ้าทหารไม่สามารถจะค้ำได้ อีกไม่นานพวกเราคงต้องออกมาค้ำพระเจ้าอยู่หัว และถ้าออกมาครั้งนี้ ต้องชนะอย่างเด็ดขาด ไม่มีการตีงูให้กากิน แล้วก็ไม่มีการให้แมลงสาปตีกินพวกเราอีก......"
ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะเขาเจ้าเล่ห์มากพอที่รู้ดีว่าสื่อมวลชนไทยกระแสหลักนั้นโง่เง่า และหวาดกลัวอิทธิพลของกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเขามากเพียงใด
ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่การดิ้นรนเอาตัวรอดของสุนัขที่จนตรอกเท่านั้น ไม่มีอะไรพิสดาร การพยายามจุดเชื้อไฟของผู้โหยหาการรัฐประหารเพื่อเสวยสุขจากอำนาจดิบ โดยอาศัยปมเงื่อนสำคัญ 2 เรื่อง คือ


1.สร้างเงื่อนไขเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

2. สร้างความหวาดระแวงเรื่องจะโดนปลดให้เกิดกับนายทหารที่กุมอำนาจอยู่ เป็นพฤติกรรมที่สิ้นมนต์ขลังไปนานแล้วเพราะมีคนรู้เท่าทันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

การดิ้นรนของโกตั๊บเพื่อหลุดจากคดีอาญาที่เขาถูกกล่าวหาว่าทำการยักยอกเงินหลายพันล้านไปใช้เพื่อสร้างความร่ำรวยผ่านความพินาศของกลุ่ม เอ็ม กรุ๊ป เมื่อครั้งฟองสบู่เศรษฐกิจ เป็นความพยายามทำให้คนไทยที่โง่เขลาและไร้เดียงสาลืมความผิดอันร้ายแรงที่เขาและพวกก่อขึ้นมาอย่างดื้อรั้นมาเป็นเวลา 15 ปีแล้ว ผ่านวิชามารในการสร้างความเป็นจริงเทียมอย่างช่ำชอง

ความผิดดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2539-2540 โดย สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ กับพวกซึ่งเป็นกรรมการบริษัท รวม 4 คน ร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ( MGR) เจ้าของสื่อในเครือผู้จัดการ(ปัจจุบันแปลงร่างมาเป็นเอเอสทีวี) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539-30 เมษายน 2540 เพื่อ ค้ำประกันการกู้ยืมเงินจำนวน 1,078 ล้านบาทให้แก่บริษัทเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ MGR โดยที่คณะกรรมการ MGR ไม่ได้รับทราบ

เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป คือบริษัทส่วนตัวของโกตั๊บ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโฮลดิ้งของกลุ่มมีภารกิจลงทุนเพื่อสร้างอาณาจักรของ โกตั๊บทั้งในและต่างประเทศในวงเงินหลายพันล้านบาททั้งในธุรกิจสื่อ (Asia Inc, Asia Times, Buzz และ A&M) และโรงแรม โทรคมนาคม ทั้งในจีน ลาว เวียดนาม และไทยหลายโครงการซึ่งล้มเหลวทั้งหมด

โดยที่เมื่อถึงเวลาขาดสภาพคล่อง ก็ใช้วิศวกรรมการเงินเอาสินทรัพย์ของบริษัทในเครือมาค้ำประกันกันจ้าละหวั่นอย่างซับซ้อนเพื่อหลอกลวงเจ้าหนี้

เมื่อเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป ใกล้จะล่มสลายโดยเริ่มผิดนัดชำระเงินกู้ โกตั๊บ ได้พยายามให้บริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีช่องทางระดมเงินได้สะดวกกว่าบริษัททั่วไปที่อยู่ในโครงข่ายของตนเอง เข้าไปค้ำประกันหนี้ของสถาบันการเงินอย่างสุดฤทธิ์ โดยการใช้ข้อความเท็จหลอกลวงผู้ถือหุ้น ผู้ตรวจสอบบัญชี กรรมการบริษัท และตลาดหลักทรัพย์

แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถกอบกู้ได้ พร้อมกับเกิดปฏิบัติการ”ชักดาบ”ล้มบนฟูกของโกตั๊บ อันเป็นที่ทราบกันดีในวงการการเงินและธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน
จนไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินที่ไหนๆได้อีก ยกเว้นแต่จะอาศัยสายสัมพันธ์ทางอำนาจการเมือง ซึ่งเป็นเหตุผลและที่มาของพฤติกรรมการเข้ามาเป็นประมุขของพันธมิตรฯเสื้อเหลืองจนถึงปัจจุบัน

กรณีอื้อฉาวนับจากวันที่ 28 พฤศจิกายน 2542 โดย ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษสุรเดช มุขยางกูร ลิ่วล้อคนสำคัญผู้นั่งบัญชาการในฐานะตัวแทนของโกตั๊บ ในวิศวกรรมการเงินหลายครั้งในช่วงฟองสบู่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทอินเตอร์แนชั่นเนิล เอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน)
หรือIEC ที่โกตั๊บ และทักษิณ ชินวัตร ร่วมซื้อกันต่อมาจากกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยที่ขายทิ้งออกมาเพื่อเอามาปั้นแต่งเข้าจดทะเบียนในตลาดทำกำไรหลายพันล้าน ก่อนที่จะแตกหักกับทักษิณในครั้งแรก (แล้วมาคืนดีกันหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง เพื่อแตกหักกันต่อมาในปี 2548อีกครั้ง)


ในยุคนั้น สุรเดช กร่างถึงขนาดชมชอบแสดงท่าทีอหังการตามนายอย่างสามหาวไม่ผิดแผกกัน ถึงขนาดเล่ากันเป็นตำนานว่า เวลามีการเจรจาธุรกิจหรือประชุมบริษัท สุรเดชจะนั่งยกเท้าพาดขอบโต๊ะและสูบซิการ์ควันโขมง พร้อมกับสบถถ้อยคำถ่อยๆ แบบเดียวกับ"เจ้าพ่อตลาดหุ้น"กอร์ดอน เก็กโก้ ในภาพยนตร์เรื่อง วอลล์ สตรีท ของฮอลลีวูดทีเดียว

ก.ล.ต. กล่าวหาว่า กรณีลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทที่มีข้อความว่าที่ ประชุมคณะกรรมการของ IEC ได้อนุมัติให้ IEC เข้าทำสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการกู้ยืมเงินของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ปฯ ต่อธนาคารกรุงไทย ในนามของ IEC อันเป็นกิจการที่เกินขอบเขตที่คณะกรรมการของ IEC ได้กำหนดไว้และต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของ IEC ก่อนระหว่างวันที่ 30 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2540 ทำให้ IEC มีภาระหนี้ค้ำประกันจำนวน 1,198 ล้านบาท

ที่น่าสนใจ การกู้เงินรายนี้ของเดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด มีบริษัทเดอะแมนเนเจอร์มีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MGR ร่วมเป็นผู้ค้ำประกันด้วยอีกวงเงินหนึ่ง 1,078 ล้านบาท ลงนามโดยคน 4 คน รวมทั้งสุรเดช ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม โดยเรื่องนี้กรรมการของ MGR ไม่ได้รับทราบ และไม่ได้มีการเปิดเผยในงบการเงินของ MGR ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และประมวลกฎหมายอาญา รวมทั้งในการทำสัญญาประกันดังกล่าว
บุคคลทั้ง 4 ได้ร่วมกันปลอมสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการ MGR เพื่อลวงให้ธนาคารกรุงไทยหลงเชื่อว่า คณะกรรมการ MGR ได้มีมติให้ทำสัญญาค้ำประกัน

ในกรณีของ IEC นั้น การสอบสวนพบว่า เป็นการดำเนินงานของสุรเดช เพียงผู้เดียว โดยยอมรับว่า บริษัทไออีซีค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อกันหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2539 เพราะบริษัทเดอะเอ็มกรุ๊ป ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่านทางสุรเดช และตัดสินใจโดยพลการว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท เพราะมูลค่าหลักประกันที่เดอะเอ็มกรุ๊ป มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไออีซี ซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือด้านธุรกิจมาตลอดตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทใน เครือเดียวกัน

ในช่วงเวลานั้น ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(ในขณะนั้น) และเป็นประธานกรรมการ IEC ซึ่งถนัดกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในฐานะกุนซือคนสำคัญของโกตั๊บมายาวนาน ในช่วงที่มีการค้ำประกันเงินกู้ออกมาปฏิเสธว่า คณะกรรมการ IEC ไม่เคยอนุมัติให้ค้ำประกันเงินกู้ให้เดอะเอ็มกรุ๊ป แต่ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของ IEC ปลอมมติคณะกรรมการ

สุรเดช หายหน้าไปจากสังคม หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งใน IEC ก่อนที่จะโผล่มาอีกครั้งเป็นบางเวลา ในตำแหน่งที่ปรึกษาเครือสหวิริยา ในขณะที่การดำเนินคดีทั้งสองกรณี ยังคงดำเนินต่อไปอย่างล่าช้า
(หมายเหตุ ต่อมา IEC ได้ถูกสนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ผ่องถ่ายขายกิจการต่อไปให้กับกลุ่มเสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ไปดำเนินการต่อ และก็กลายเป็นซากอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันเช่นกัน)
จนกระทั่งวันที่ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาออกมาลงโทษในฐานะอาชญากรทางเศรษฐกิจล่าสุด
คำพิพากษาระบุว่าสุรเดช มีความผิดหลายมาตรานับแต่มาตรา 307 311 312(2) และ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ การกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตาม มาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษหลายฐานความผิด ได้แก่



(1) ฐานเป็นกรรมการลงข้อความเท็จในรายงานการประชุมเพื่อลวงให้นิติบุคคลหรือผู้ ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ตามมาตรา 312(2) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ให้จำคุก 5 ปี และปรับ 500,000 บาท

(2) ฐานเป็นกรรมการกระทำผิดหน้าที่ของตนโดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคล

(3) ฐานเป็นกรรมการกระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อตนเองหรือผู้อื่นตามมาตรา 307 311 ประกอบ 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษตามมาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ

ชะตากรรมของลิ่วล้อคนสำคัญอย่างสุรเดช ยังน้อยเกินไป เพราะกรณีของแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปนั้น สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ไม่สามารถดิ้นรนหนีข้อกล่าวหาไปได้
พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแทน ก.ล.ต. กล่าวหา สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ พร้อมกับ สุรเดช จำแลยคดี IEC เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เลขาหน้าห้องของสนธิ ที่กุมความลับและความริยำทุกอย่างไว้ในกำมือ และ ยุพิน จันทนา สมุหบัญชีคนเก่าแก่ ในฐานะกรรมการบริษัท เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทแมเนเจอร์ ฯ( MGR) เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539-30 เมษายน 2540

การกระทำดังกล่าวของบุคคลทั้ง 4 ราย เป็นการกระทำทุจริตโดยใช้ อำนาจที่ตนได้รับมอบหมาย แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อผู้อื่น อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลประโยชน์ของ MGR เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 307, 311 และ 312 ซึ่งแต่ละกระทง ระวางโทษจำคุก 5-10 ปีและยังมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และ 268
หลังพนักงานอัยการ และ ก.ล.ต.กล่าวโทษในครั้งนั้นแล้ว เรื่องราวของโกตั๊บ และบริษัท เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป ในคดีนี้ก็เงียบหายไปจากหน้าสื่ออย่างมีเจตนา นานกว่า 10 ปี แต่การดำเนินการในศาลอาญายังไม่จบสิ้น พร้อมกับความพยายามยืดเวลาการสืบพยานออกไปให้ล่าช้าที่สุด

โดยมีเรื่องการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯเสื้อเหลืองเข้ามากลบเกลื่อน โดยโผล่มาเป็นข่าวโด่งดังอีกครั้ง เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 มีข่าวเล็กๆระบุว่า ศาลอาญามีคำสั่งเลื่อนนัดสอบคำให้การจำเลยในเป็นวันที่ 12 ตุลาคม 2552 โดยโกตั๊บ มอบอำนาจให้ทนายความ ยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดโดยอ้างว่า อยู่ระหว่างพักรักษาอาการบาดเจ็บจากการผ่าตัดบาดแผลถูกลอบยิงที่ศีรษะ
การที่ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษาทั้งปรับและจำคุกลิ่วล้ออย่างสุรเดชในคดีที่เชื่อมโยงกันถึง 5 ปี ต่อเนื่อง ถึงการที่สุรเดชยังเป็นจำเลยร่วมในคดีเดียวกับสนธิ ลิ้ม โกตั๊บด้วย ทำให้สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ต้องลุ้นระทึกอย่างหนัก เพื่อมิให้ คดีของตัวเองจะออกมาเช่นเดียวกับลิ่วล้อเก่าอย่างสุรเดช

หลายครั้งที่ต้องมาขึ้นศาลในคดีอาญาเรื่องนี้โกตั๊บ จะออกมาให้ข่าวหน้าศาลในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี โดยกล่าวถึงความชั่วช้าของทักษิณ ชินวัตร หรือ การปกป้องเขาพระวิหาร เพื่อเลี่ยงประเด็นให้สื่อนำไปพาดหัวข่าวใหญ่ กลบเกลื่นความชั่วที่ตนเองถูกกล่าวหาอย่างซ้ำซาก และที่น่าสนใจก็คือ มักจะได้ผลเสียด้วย ทำให้สนธิ ลิ้ม โกตั๊บ ย่ามใจเสมอมา

คำพูดชี้ชวนให้ทหารออกมายึดอำนาจทำรัฐประหารครั้งล่าสุด จึงเป็นหมากตาจนที่งัดขึ้นมาใช้แก้ขัด ก่อนจะถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่คงจะไม่ใช่หมากเดียวในหน้าตักของสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์โกตั๊บอย่างแน่นอน
เมื่อผลคำตัดสินของศาลออกมาฉะนี้แล้ว ก็อย่าได้คาดหวังมากนักว่า มวลชนเสื้อเหลืองจะตาสว่างเพิ่มขึ้นสักกี่คน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น