Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

จาก"มือที่สาม" ถึง"ชายชุดดำ" มุขเด็ดคดี 98 ศพ

ที่มา:มติชนรายวัน 5 กันยายน 2555


คดีสลายม็อบ 98 ศพ ยิ่งสืบพยาน ยิ่งพบ "ความจริง" เพิ่มมากขึ้น

ลำพังฆ่าคนตายคนเดียว ก็หืดขึ้นคอ ด้วยระวางโทษระดับประหารไปจนถึงจำคุก

แต่นี่ 98 ศพ

คดีพยายามฆ่าก็เช่นกัน

สามัญชนทั่วไป เจอข้อหาพยายามฆ่าเข้าไป ผู้เสียหาย 1-2 คน ก็เห็นตะรางลอยมาลิบๆ

แต่นี่พยายามฆ่าล็อตยักษ์ 2,000 คน

นับเป็นคดีใหญ่ที่ท้าทายทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลย

แม้นักสิทธิมนุษยชนตำรับไทยจะยืนยันหนักแน่นว่า เป็นการกระทำสมควรแก่เหตุ ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ก็ยากที่จะทำให้วิญญูชนเห็นด้วย

ปัญหาของคดี 98 ศพ เริ่มต้นจากการชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง

แต่รัฐบาลขณะนั้น ตัดสินใจใช้กำลังทหารติดอาวุธออกดำเนินการ แทนที่จะใช้หน่วยปราบจลาจล

เป็นความผิดพลาดประการแรก และประการสำคัญ

แม้จะมีความพยายามป้องกันตัวไว้ก่อน ด้วยการประกาศใช้กฎหมายสำหรับสถานการณ์พิเศษ

แม้จะมีการประกาศใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก

การใช้กำลังทหารในตอนย่ำค่ำ ที่สี่แยกคอกวัว คือความผิดพลาดต่อมา

การใช้สไนเปอร์ลอบยิงผู้ชุมนุม ผลคือมีผู้เสียชีวิตในลักษณะที่โดนกระสุนเข้าที่ศีรษะ ใบหน้า จำนวนมากผิดสังเกต

แม้เมื่อมีโอกาสที่จะหยุดการปะทะได้ แต่กลับเดินหน้าและถลำลึก จนกระทั่งตัวเลขเดินทางไปถึง 98 ศพ

ซึ่งปิดท้ายด้วยการสังหาร 6 ศพ ที่วัดปทุมวนารามฯ หลังจากแกนนำเสื้อแดง ประกาศสลายการชุมนุมแล้ว

เมื่อมาถึงจุดนี้ คำถามสำคัญคือ ใครสังหาร 98 ศพ ใครสั่งการ และใครต้องรับผิดชอบ

หลังจาก 3 ก.ค.2554 คดี 98 ศพ ที่โดนแช่เย็นมาอย่างยาวนาน กลับคืนชีพมาอีกครั้ง

คำแถลงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ล่าสุด ระบุว่า มีหลักฐานชี้ชัดว่า มีผู้เสียชีวิตเพราะการกระทำของเจ้าหน้าที่ 38 ศพ จากทั้งหมด 98 ศพ

ขณะที่การเบิกความ การให้ปากคำของผู้เกี่ยวข้อง ทำให้เห็นภาพของเหตุการณ์ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ว่า ใครสั่งการ ใครดำเนินการ

ชื่อเสียงเรียงนามของพลซุ่มยิง หรือพลแม่นปืน ก็ปรากฏต่อสังคมไปแล้ว

แต่ความจริงแท้ที่ต้องยอมรับคือ ไม่มีทางที่คดีนี้จะเดินหน้าไปสู่ข้อสรุปอย่างราบรื่น โดยไร้ข้อโต้แย้ง

ด้วยเหตุผลอย่างน้อยที่สุด 2 ประการ

ประการหนึ่ง เป็นการต่อสู้คดีในกระบวนการยุติธรรมปกติ ที่สองฝ่ายมีสิทธิเท่าๆกัน แตกต่างจากกระบวนการพิเศษหลังการปฏิวัติรัฐประหาร

ประการหนึ่ง คดีมีเดิมพันระดับคุกตะราง และจะเป็นความผิดติดตัว

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเสนอ "ชายชุดดำ" เข้ามาในคดี

โดยกำหนดให้มีบทบาทเป็นเจ้าของผลงานการสังหาร ทั้งผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่รัฐบาล

หลังจากโหมโรงมา 2 ปี นับเป็นโอกาสดีที่จะได้พิสูจน์เรื่องราวและศักยภาพของชายชุดดำ

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำเสนอข้อมูลแปลกๆ อาทิ วิถีกระสุนของ 2 ศพ วัดปทุมฯ ที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า กระสุนเข้าจากด้านล่างของร่างกาย แล้วจะกล่าวหาทหารบนรถไฟฟ้าได้อย่างไร

แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญชี้ไว้ก่อนแล้วว่า กระสุนที่เข้าจากเอวไปออกหัวไหล่ เป็นผลจากการที่เหยื่อกระสุนอยู่ในท่าหมอบหลบกระสุนปืนก็ตาม

เป็นวิธีสร้างความ "ซับซ้อน" เพิ่ม "เรื่องราว" เพื่อทำลายน้ำหนักของข้อเท็จจริงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

เป็นมุขเดียวกับ "มือที่สาม" หรือ "ผู้ไม่หวังดี" ในยุคซิกส์ตี้-เซเว่นตี้ ที่สหรัฐ เป็นผู้นำต่อต้านคอมมิวนิสต์

จะยังได้ผลหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องลุ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น