Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ไดโนเสาร์เรียก‘พี่’แพะชุดดำกับ3Gแบบไทยๆ

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 8 ฉบับ 383 วันที่ 27 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2555 หน้า 18 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน



การจุดประเด็นการประมูลใบอนุญาต 3จี ของนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ว่าทำให้ประเทศต้องเสียหายถึง 16,000 ล้านบาท และตกเป็นภาระภาษีของประชาชน แต่ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายเหมือนได้ลาภลอยนั้นได้ถูกปั่นกระแสให้เป็นประเด็นร้อนทั้งทางธุรกิจและการเมืองไปโดยปริยาย

โดยกลุ่มต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกลุ่มเกลียดทักษิณ ซึ่งเป็นกลุ่มจารีตประเพณีหน้าเดิมๆได้ฉวยโอกาสออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองทันที ทั้งที่การประมูลเป็นเรื่องของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่เป็นองค์กรอิสระ ขนาดที่ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองยังโดดหนีไม่รับฟ้องคดี แต่ยังมีการเคลื่อนไหวกันต่อไป ให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลนี้เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชันและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจ หลังจากที่นักวิชาการกลุ่มหนึ่ง รวมถึงทีดีอาร์ไอและพรรคประชาธิปัตย์ออกมาโจมตีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างต่อเนื่องว่าทำให้รัฐเสียหายนับแสนล้านบาท และทำลายกลไกตลาดค้าข้าวมาแล้ว แต่ยังไม่มีผลกระทบใดๆถึงกับทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ เพราะเมื่อเทียบกับนโยบายประกันราคาข้าวในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีผลดีผลเสียไม่ได้แตกต่างกัน



จ้องล้มรัฐบาล

ในขณะที่องค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาล ที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ก็มีการชุมนุมใหญ่วันที่ 28 ตุลาคม ที่สนามม้านางเลิ้ง โดยระบุว่า เป็นการรวมตัวของคนรักชาติและรักพระเจ้าอยู่หัว เพราะเห็นว่าการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้มีแต่ความล้มเหลว หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปก็มีแต่ความเสียหาย โดยเฉพาะการจาบจ้วงสถาบันโดยไม่มีการเอาผิด รวมถึงเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งยังอ้างว่ามีหลักฐานการคอร์รัปชัน จึงต้องหยุดวิกฤตและหายนะของชาติ

แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมองค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาล และการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลจึงออกมาช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทั้งที่ประเด็น 3 จี เป็นเรื่องเชิงพาณิชย์และเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ก็มีความพยายามดึงมาโยงกับการเมืองให้ได้ ทั้งที่ทั่วโลกให้ความสำคัญแม้แต่ในอาเซียน มีแค่ไทยกับพม่าเท่านั้นที่ยังใช้ 3จี ขณะที่ประเทศต่างๆเริ่มทดลองเทคโนโลยีใหม่ LTE หรือ 4จี และจะเปิดให้บริการภายในปี 2558 นี้แล้ว รวมถึงลาวที่ประกาศว่าจะพัฒนา 4 จี ทันทีที่พร้อม ขณะที่ประเทศไทยยังย่ำอยู่กับที่ เพราะกระบวนการฉุดกระชากให้ทุกเรื่องไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ที่ไม่ได้อ้างเพียงแค่ประเทศชาติและประชาชนเท่านั้น แต่ทุกครั้งจะพยายามดึงสถาบันเบื้องสูงมาเกี่ยวข้องด้วย

อย่างกรณีองค์กรพิทักษ์สยามขับไล่รัฐบาล ซึ่ง เสธ.อ้ายยอมรับว่า หากการชุมนุมจุดประกายติดก็จะยืดเยื้อเป็นการขับไล่รัฐบาลให้ได้ หรือกรณีภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นของชาติ (ภตช.) ที่ใช้กรณี “สรยุทธไร่ส้ม” ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องจริยธรรม สุดท้ายก็พุ่งเป้ามาที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่แล้วเมื่อสืบสาวราวเรื่องย้อนกลับไป กลับพบว่าผู้เกี่ยวข้องกับ ภตช. ไม่ว่าจะเป็น น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน พล.อ.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ หรือนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ล้วนยืนอยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลทั้งสิ้น

โดย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมายืนยันว่า ขณะนี้มีกลุ่มที่พยายามจ้องล้มรัฐบาลจริง และไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของ เสธ.อ้ายแต่อย่างใด

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆขณะนี้มีลักษณะของการสอดประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวโยงถึงกลุ่มอำนาจเดิม หรือกลุ่มจารีตประเพณีที่ต้องการหวนกลับมามีอำนาจเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องไว้ โดยพยายามบิดเบือนประเด็นเดิมๆ เพื่อตอกย้ำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นแค่หุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมทั้งข้อกล่าวหาคลาสสิกอย่างเช่น เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงการบิดเบือนด้วยข้อหาที่ไม่ต้องการการพิสูจน์อย่างความพยายามเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ



ตั้งธงป่วนการเมือง

ในขณะที่นายสุทธิพล ทวีชัยการ กรรมการ กสทช. ตั้งข้อสังเกตว่า มีกระบวนการโจมตีการทำงานของ กสทช. ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างเป็นระบบ มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่ก่อนการประมูล มีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและส่งต่อกันเป็นทอดๆ มีการปลุกระดมโดยใช้สื่อหลายแขนง ซึ่งถ้ากระบวนการนี้ยังดำเนินต่อไปอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ประชาชนบางกลุ่มอาจถูกโน้มน้าวให้เกิดความเข้าใจผิดๆจนต้องการให้ล้มการประมูล 3จี ครั้งนี้

แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการก็ไม่ได้เป็นไปอย่างสุจริตใจ เนื่องจากมีการปลุกเร้าให้คนไทยเกลียดชังและหวาดระแวงว่า กสทช. ทำให้รัฐสูญเสียรายได้นับหมื่นล้านบาท ทั้งที่จริงๆแล้วคลื่นความถี่ที่นำมาประมูลครั้งนี้รัฐบาลไม่ได้มีต้นทุนใดๆ เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้วและใช้ได้ตลอดไป โดยสามารถกำหนดระยะเวลาการใช้ตามอายุของใบอนุญาต เมื่อหมดใบอนุญาตก็สามารถนำมาจัดสรรได้ใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz จำนวน 45 GHz ถูกทิ้งไว้เฉยๆไม่ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใดๆ ตรงกันข้ามหากไม่มีการนำคลื่นความถี่นี้มาจัดสรร หรือประวิงเวลาให้การจัดสรรคลื่นย่านความถี่นี้ต้องล่าช้าออกไป จะทำให้เกิดวิกฤตต่อระบบโทรคมนาคมของไทย และเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล



สุดยอด‘ลับ ลวง พราง’

แม้แต่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการเสียงข้างน้อยใน กสทช. ยังออกมาให้ความเห็นกรณีระยะเวลาการถือครองสิทธิในคลื่นโทรคมนาคมว่า

“โลกเรานี้มักจะมีพาราด็อกซ์เสมอ มองรอบ มองลึก แล้วเราจะเห็นความย้อนแย้งนั้นเป็นสัจธรรม อาทิ เรื่องคลื่นโทรคมนาคม บอร์ด กทค. มีมติรับรอง 3 บริษัทผ่านการประมูล ขณะเดียวกันก็เป็นเสียงข้างมากที่โหวตให้ CAT & TOT ถือครองคลื่นไปได้อีก 15 ปี เมื่อต้นปีบอร์ด กทค. โหวตแผนแม่บทให้หน่วยงานรัฐ อาทิ กองทัพ CAT & TOT ถือครองคลื่นในสูตร 5-10-15 ปี (วิทยุ-โทรทัศน์-โทรคมนาคม) ทั้งที่ไม่เห็นด้วยในการถือครองคลื่นอีก เหมือนการประมูลคลื่น 2.1 GHz ตนก็ไม่เห็นด้วยกับสูตร 15-15-15 ซึ่งมองแง่ดี บอร์ด กทค. คงคิดแบบเสมอภาคคือ รับรองสิทธิการครองคลื่น TOT-CAT-AIS-Dtac-True ไปเลยอีก 15 ปี แต่มองแง่ร้ายคือ ธำรง Status-quo หรืออำนาจนิยมอุปถัมภ์ ทุนนิยมอภิสิทธิ์ ถามว่าพันธกิจ กสทช. คือการธำรง status-quo หรือการ reform การจัดสรรคลื่นความถี่”

น.ส.สุภิญญายังตั้งคำถามว่า แล้วใครสั่งและมีอำนาจกำหนดทิศทาง TOT & CAT ให้มีศักยภาพมาสู้เอกชนได้ คำตอบคือรัฐบาล จึงเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้ที่จะทำให้ CAT & TOT เป็นรัฐวิสาหกิจชั้นนำที่เข้มแข็งขึ้นมาเป็นคู่ต่อสู้กับเอกชน 3 รายให้ได้ ถ้า กทค. ไม่เรียกคืนคลื่น ว่างๆก็มาประมูลใหม่

“การบ้านนี้ต้องฝากรัฐบาลเพื่อไทยแล้ว บัดนี้มีอำนาจเต็มในการกำกับ CAT & TOT เพราะยังไม่ถูก privatized รัฐไทยยังเป็นเจ้าของ CAT&TOT เต็มตัว บริหารผ่านบอร์ด เลือกโดยรัฐบาลแต่ละยุคสมัย ดังนั้น รัฐบาลคงต้องเลือกว่าจะส่งเสริม พัฒนา ยกระดับ CAT&TOT แข่งกับเอกชน หรือแปรรูปออกมาเป็นเอกชนเต็มตัวเพื่อแข่งกัน 5 ราย ยิ่งปีหน้าคลื่น 1800 จะหมดสัญญาสัมปทาน”

โดยกล่าวทิ้งท้ายอย่างมีปริศนา ให้ตีความกันเองว่า
“รอดูดร่ามา True-CAT-รัฐบาล-กสทช. (กทค.) next episode วงการโทรคมนาคมสุดยอด ลับ ลวง พราง”

“สนธิลิ้ม” ประณาม กสทช.

ที่น่าสนใจคือแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่วันนี้ประกาศไม่เอาทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ยังยืนยันว่าต้องมี “การปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ตามก้นต่างชาติ ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของนักการเมือง ก็ออกมาโจมตีการประมูล 3 จีของ กสทช. เช่นกัน โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวหาว่าเป็นการประมูลที่อัปยศที่สุด และมีเงินหล่น 3,000 ล้านบาท จาก 3 บริษัท

“กสทช. หน้าที่คุณคือปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่ใช่ให้มาดูแลผลประโยชน์เอกชน ที่สำคัญอย่าพูดให้ได้ยินอีกว่าไม่มี 3จี แล้วชาติจะฉิบหาย ถ้าจะใช้ตรรกะนี้สู้กระโดดไป 4จี เลยไม่ดีกว่าหรือ ถามว่าถ้ามี 3จี แล้วคุณภาพชีวิต วัฒนธรรมไทย การศึกษาจะดีขึ้นหรือไม่”

นายสนธิประณาม กสทช. และตั้งคำถามว่าทำไมต้องเอาใจเอกชน เมื่อทรูฯจะหมดสัญญาปีหน้า เอไอเอสอีก 2 ปีหลังจากทรูฯ ส่วนดีแทคจะหมดสัญญาตามหลังเอไอเอส 2 ปี ถ้าไม่ประมูลบริษัทก็เสียหาย ยิ่งกันช่องสัญญาณให้เหลือเพียง 2 ช่อง ก็จะทำให้ทั้ง 3 รายต้องประมูลในราคาสูงสุด ไม่ใช่ราคาต่ำสุดอย่างที่ กสทช. ตั้ง

อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ถึงการออกมาโจมตีของนายสนธิก็อาจมองลึกลงไปได้ว่าไม่ใช่วาระเพื่อสะท้อนเรื่องการประมูลว่ามีการฮั้วหรือโปร่งใสหรือไม่เท่านั้น แต่ยังทำให้เห็นความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน ซึ่งมีผลอย่างมากกับการพัฒนาประเทศ รวมถึงการเมืองที่แท้จริงว่าการไร้โอกาสทางเทคโนโลยีอาจทำให้ประชาชน “โง่งมงาย” ต่อไปหรือไม่ เพราะหากคนไทยยังถูกกรอกหูให้เชื่อข้อมูลอย่างผิดๆ หรือจริงบ้างเท็จบ้าง อย่างที่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯพยายามทำให้คนเสื้อเหลืองเชื่อว่าประเทศไทยจะหลุดพ้นจากวิกฤตหายนะมีทางเดียวเท่านั้นคือต้องปฏิรูปประเทศ กำจัดนักการเมืองเลวให้สิ้นซากเท่านั้น จนลืมไปว่ายังมีอภิสิทธิ์ชนที่เลวยิ่งกว่านักการเมืองเสียอีก และที่หนักไปกว่านั้นคือประชาชนมีสิทธิตรวจสอบและลากคอนักการเมืองมาเอาผิดหรือขับไล่ออกไปได้ แต่อภิสิทธิ์ชนที่เหนือกว่านักการเมืองนั้นคนไทยไม่อาจตรวจสอบใดๆได้



ชุดดำ 3G แบบไทยๆ

แม้แต่ประเด็น “ชายชุดดำ” ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่าคือคนเสื้อแดง แต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าข้างนอกอาภรณ์ชายสวมชุดดำ แต่แท้จริงแล้วอาจใส่กางเกงในสีเหลือง สีฟ้า สีน้ำเงิน หรือสีเขียวลายพรางอยู่ก็ได้ พิจารณาได้จากกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามเดินสายเพื่อบิดเบือน โดยยกข้ออ้างว่าหากไม่มี “ชายชุดดำ” ก็จะไม่มีคนตายและความรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งไม่ต่างกับการพยายามสร้างความชอบธรรมในการล้อมปราบและสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง หรือการฆ่าประชาชนไม่ผิดนั้น ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้สื่อทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรทัศน์ดาวเทียมที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อทั้งสิ้น

กลุ่มเสื้อเหลืองมีสื่อเอเอสทีวี กลุ่มเสื้อแดงที่เดิน 2 ขาคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทยก็มีเอเชียอัพเดท กลุ่มสีฟ้าและเสื้อหลากสีที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องก็สามารถใช้บริการบลูสกายทีวีออกอากาศทุกกิจกรรมของพรรค และมีผู้จัดรายการขาประจำล้วนเป็นพลพรรคจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าแต่ละกลุ่มมีคนติดตามมากกว่าฟรีทีวี.บางช่องเสียอีก

ในขณะที่เทคโนโลยี 3จี หรือ 4จี กำลังจะทำให้โทรศัพท์และอุปกรณ์มากมายที่เกี่ยวข้องกลายเป็นศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและรวดเร็ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แม้แต่การทำสงครามในอนาคตที่เรียกว่า “สงครามไซเบอร์” ซึ่งสหรัฐ รัสเซีย จีน และชาติในยุโรปให้ความสำคัญอย่างมาก (อ่านเพิ่มเติม-โลกไม่หยุดนิ่ง หน้า 15)

แต่กลุ่มจารีตประเพณีกลับไม่ต้องการให้ใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้มค่า เหมือนกลัวว่าเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากำลังทลายกำแพงโบราณที่ปิดกั้นผู้คนในประเทศไทย หรืออาจเกรงว่าจะมีประชาธิปไตยที่แท้จริงที่มาจากประชาชน เพราะกลัวประชาชนจะ “ตาสว่าง” อย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน จะไม่ “โง่งมงาย” จนครอบงำความคิดไม่ได้อีกต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายอำนาจและผลประโยชน์ของกลุ่มจารีตประเพณีที่พยายามประคับประคองมาอย่างยาวนานนั่นเอง

หรือสิ่งที่ น.ส.สุภิญญาระบุว่าวงการโทรคมนาคมสุดยอด “ลับ ลวง พราง” นั้นจะเปรียบได้กับการเมืองไทยที่กว่า 80 ปียังไม่สามารถหลุดพ้น “วงจรอุบาทว์” และถูกบิดเบือนให้คนไทยเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ใช้กองทัพเป็นเครื่องมือและอิงแอบ “สถาบันเบื้องสูง” เพื่อปกป้องอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้องเท่านั้น

กองทัพกับการเมือง

การเมืองไทยจึงไม่ต่างกับช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ใหม่ๆที่เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ กับฝ่ายจารีตประเพณีที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน โดยมีกองทัพเป็นตัวแปรสำคัญทางการเมืองตลอด 80 ปีที่ผ่านมา

แม้ขนาดนายลี กวน ยิว อดีตผู้นำสิงคโปร์ ล่าสุดได้วิจารณ์ “ไทย” กับ “พม่า” ที่กำลังเนื้อหอมสุดๆว่ามีพื้นที่และประชากรใกล้เคียงกัน ทั้งช่วงทศวรรษที่ 60 ยังมีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2505 เมื่อพม่าก้าวสู่การปกครองระบอบทหารและปิดประเทศ ตรงข้ามกับไทยที่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรี เปิดรับการลงทุนจากทั่วทุกมุมโลก จนปัจจุบันเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ตลอด 80 ปีกองทัพกลับรัฐประหารถึง 18 ครั้ง และล้มเหลว 7 ครั้ง ทำให้ไทยไม่มีความแน่นอนทางการเมืองและฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนัก


ไดโนเสาร์เรียก “พี่”

ความเห็นของอดีตผู้นำสิงคโปร์จึงตอกย้ำชัดเจนว่ากองทัพยังมีบทบาทสำคัญกับการเมืองไทย โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ทำให้การเมืองไทยแตกแยกและขัดแย้งรุนแรงที่สุด ทั้งยังมีส่วนสำคัญกับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “รัฐบาลมือเปื้อนเลือด” ที่ทำให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิตล่าสุดรวม 99 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดและผู้ใช้อำนาจสั่งการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) วันนี้ยังยืนยันว่าไม่ผิด และเดินสายจัดเวทีปลุกกระแส “ชายชุดดำ” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์ดาวเทียม “บลูสกาย” ตลอด 24 ชั่วโมง และยืนยันว่าบลูสกายทีวีหาใช่ทีวี.ของพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม คำตัดสินของศาลคดีนายพัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดงที่ถูกยิงเสียชีวิตที่ราชปรารภว่าเกิดจากฝีมือทหารซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ ศอฉ. ไม่เพียงแค่ยืนยันว่าไม่ใช่ฝีมือของ “ชายชุดดำ” เท่านั้น กลับกลายเป็นว่ากำลังจะกลายเป็นคดีฆาตกรรมที่อาจตั้งข้อหา “ฆาตกรรม” กับ “ผู้มีอำนาจสูงสุด” และ “ผู้สั่งการ” ขณะนั้นคือนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพอยู่ในขณะนี้

แม้วันนี้ “ชายชุดดำ” ยังเป็นปริศนาว่าเป็นใคร และเป็นฝ่ายใดกันแน่ที่ได้ประโยชน์จากการมีชายชุดดำ แต่วันนี้คนส่วนใหญ่ก็ “ตาสว่าง” เพราะได้เห็นภาพและคลิปมากมายที่ถูกเผยแพร่ผ่านตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ซึ่งพัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่ทำให้โลกไร้พรมแดน และนับวันจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เขามีใช้กันไปแล้วทั่วโลก และกำลังก้าวสู่ 4จี แต่คนไทยยังทะเลาะดักดานอยู่กับการประมูล 3จี ไม่เลิก

จึงไม่แปลกที่ “ชายชุดดำ” ยังถูกบิดเบือนจนกลายเป็น “แพะชุดดำ” จาก “ชายใจดำมือเปื้อนเลือด” เพื่อสร้างความชอบธรรมในการฆ่า...

ทำไมรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ลากใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินชั่วคราวยาวนานข้ามปีจึงจับ “ชายชุดดำ” ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว?

ทำไมเจ้าหน้าที่จึงไม่ยิง “ชายชุดดำ” แต่กลับไปยิงชาวบ้านและผู้ชุมนุม?

ทำไม ศอฉ. จึงเผยแพร่ภาพชายชุดดำหลังจากวันเกิดเหตุถึง 3 วัน?

แล้วตอนนั้นนายกฯอภิสิทธิ์หายหน้าไปไหนนานนับสัปดาห์หลังการขอคืนพื้นที่ จนมีคนตายเป็นเบือในเวลาพลบค่ำ 10 เมษายน 2553

ตอนนั้นยังไม่มี 3จี ความจริงผลุบๆโผล่ๆจึงถูกปกคลุมและตีโต้ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อจาก “สื่อรวมการเฉพาะกิจ” ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯที่เสนอข่าวด้านเดียว

ลาว เขมร เขาไป 3จี 4จี กันหมดแล้ว

ขนาดพม่ายังประนีประนอมยอมเปิดฟ้าให้ตาสว่าง

เหลือแต่ “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย” นี่แหละที่ไดโนเสาร์เรียก “พี่”

อนาถ 3จี แบบไทยๆ!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น