Sunai Fan Club

Sunai Fan Club
สุนัยแฟนคลับ

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เปิดสัญญาจ้างรถไฟฟ้า "น้ำเงิน-ม่วง-แดง" ที่มาข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตในกระทรวงคมนาคม

ที่มา คอลัมน์เคียงข่าว หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 26 พฤศจิกายน 2554
จากเรื่อง "ปล้นเงิน" บ้าน "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" ปลัดกระทรวงคมนาคม ช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี กลายเป็นเรื่อง "การทุจริต" โครงการอภิมหาโปรเจ็กต์ กระทรวงคมนาคม

ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี นำมาแฉกันกลางสภาแบบจะจะ ว่าเงินส่วนนี้อาจเกี่ยวพันกับโครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีแดง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ และหัวลำโพง-บางแค ระยะทาง 27 กิโลเมตร มีทั้งหมด 6 สัญญา

สัญญา 1 เป็นงานออกแบบควบคู่กับการก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงหัวลำโพง-สนามชัย ผู้ดำเนินโครงการ คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) วงเงิน 11,441 ล้านบาท
สัญญา 2 งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างเส้นทางใต้ดิน ช่วงสนามชัย-ท่าพระ ผู้ดำเนินโครงการ คือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) วงเงิน 10,687 ล้านบาท

สัญญา 3 งานก่อสร้างทางยกระดับ ช่วงเตาปูน-ท่าพระ และงานก่อสร้างทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 1 แห่ง ผู้ดำเนินโครงการ คือ กิจการร่วมค้าเอสเอช-ยูเอ็น ประกอบด้วย บริษัท ซิโน ไฮโดร คอร์ปอเรชั่น จำกัด และบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วงเงิน 11,284 ล้านบาท
สัญญา 4 งานก่อสร้างทางยกระดับ ช่วงท่าพระ-หลักสอง และงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุง และอาคารจอดรถ 2 แห่ง ผู้ดำเนินการ คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วงเงิน 13,334 ล้านบาท

สัญญา 5 งานออกแบบควบคู่การก่อสร้างระบบรางทั้งโครงการ ผู้ดำเนินโครงการ คือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)
และ สัญญา 6 งานระบบรถไฟฟ้า อยู่ระหว่างเตรียมประกวดราคา
โดยทุกสัญญาที่ดำเนินโครงการแล้ว ลงนามเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 ในช่วงที่นายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม เป็นปลัดกระทรวงคมนาคม

โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ ระยะทาง 23 กิโลเมตร มีทั้งหมด 6 สัญญา

สัญญา 1 เป็นโครงสร้างทางยกระดับตะวันออกช่วงบางซื่อ-เตาปูน-สะพานพระนั่งเกล้า ผู้ดำเนินโครงการ คือ กิจการร่วมค้าซีเคทีซี ประกอบด้วย บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตคิว คอนสตรัคชั่น จำกัด วงเงิน 14,842 ล้านบาท ลงนามเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552 ในช่วงที่นายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์ เป็นปลัดกระทรวงคมนาคม
สัญญา 2 เป็นโครงสร้างยกระดับส่วนตะวันตก ช่วงสะพานพระนั่งเกล้า-คลองบางไผ่ และงานก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้ดำเนินโครงการ คือ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) วงเงิน 13,050 ล้านบาท ลงนามเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2553

สัญญา 3 เป็นงานก่อสร้างศูนย์ซ่อมบำรุงและอาคารจอดรถ ผู้ดำเนินโครงการ คือ กิจการร่วมค้าพีเออาร์ ประกอบด้วย บริษัท เพาเวอร์ไลน์ จำกัด และบริษัท รวมนครก่อสร้าง (ประเทศไทย) จำกัด วงเงิน 5,050 ล้านบาท ลงนามเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553
สัญญา 4 งานระบบรถไฟฟ้า ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ผู้ดำเนินโครงการ คือ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีเอ็มซีแอล วงเงิน 93,475 ล้านบาท ลงนามเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2554
สัญญา 5 งานระบบรถไฟฟ้า ช่วงเตาปูน-บางซื่อ อยู่ระหว่างเตรียมลงนามกับบีเอ็มซีแอล
และ สัญญา 6 งานระบบราง วงเงิน 3,663 ล้านบาท อยู่ระหว่างประกวดราคา
ทุกสัญญาที่ลงนามแล้วอยู่ในช่วงที่นายโสภณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และตั้งแต่สัญญา 2-6 อยู่ในช่วงนายสุพจน์ เป็นปลัดกระทรวงคมนาคม

โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน และบางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 26 กิโลเมตร แยกเป็น

ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน มีสัญญาเดียว คือ งานโยธา ก่อสร้างสถานีรถไฟบางซื่อ และอาคารซ่อมบำรุง ผู้ดำเนินโครงการ คือ กิจการร่วมค้า Unique-Chun Wo Joint Ventuer วงเงิน 8,748 ล้านบาท ลงนาม 12 ธันวาคม 2551

ในช่วงที่นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ เป็นปลัดกระทรวงคมนาคม นายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ส่วนนายโสภณเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

ส่วนช่วงบางซื่อ-รังสิต มี 3 สัญญา ระยะทางรวม 20 กิโลเมตร สัญญา 1 เป็นงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง อยู่ระหว่างประกวดราคา สัญญา 2 งานโยธา ช่วงบางซื่อ-รังสิต อยู่ระหว่างประกวดราคา และ สัญญา 3 งานระบบราง อาณัติสัญญาณ และขบวนรถไฟฟ้า อยู่ระหว่างประกวดราคาเช่นเดียวกัน โดยวงเงินงบประมาณทั้ง 3 สัญญา ประมาณ 45,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายโสภณ ซารัมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2551-9 สิงหาคม 2554 ส่วนนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม เข้ารับตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิกฤตน้ำท่วม ไม่ใช่แค่เรื่องถุงยังชีพ

ใจ อึ๊งภากรณ์
จาก RED POWER ฉบับที่ 21 ปักษ์แรก พฤศจิกายน 2554
น้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นในหลายจังหวัดของประเทศไทย เป็นวิกฤตร้ายแรงสำหรับประชาชนไทย พอๆกับวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๓๙ หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ดังนั้นทั้งๆ ที่ต้องมีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นการแจกถุงยังชีพอย่างเร่งด่วน หรือการหาทางระบายน้ำ ฯลฯ แต่พอน้ำลง จะมีปัญหาใหญ่กว่าตามมาคือ บ้านเรือนทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงถนนหนทางและสาธารณูปโภค จะเสียหายมหาศาล และสำหรับลูกจ้างหลายแสนคน เขาจะตกงานหรือขาดรายได้เพราะสถานที่ทำงานถูกน้ำท่วม

ถ้าเป็นรัฐบาลเดิมๆ ที่จงรักภักดีกับอำมาตย์หรืออยู่ภายใต้อิทธิพลทหาร จะมีการช่วยเหลือเล็กๆ น้อย แบบผักชีโปรยหน้า แล้วก็ปล่อยวาง ปล่อยให้ประชาชนต่างคนต่างหาตัวรอดในวิกฤต ตัวอย่างเป็นรูปธรรมคือนโยบายรัฐบาลประชาธิปัตย์ของนายกชวนหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๓๙ นโยบายรัฐบาลประกอบไปด้วยการบอกให้ประชาชนที่ตกงาน กลับบ้านไปพึ่งญาติพี่น้องที่ยากจนอยู่แล้วในชนบท บวกกับการสอนประชาชนคนจนให้เจียมตัวรู้จักพอเพียง ไม่มีมาตรการการสร้างงานหรือการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเป็นระบบแต่อย่างใด ในขณะเดียวกันมีการปกป้องเงินออมของคนรวยและธนาคารด้วยงบประมาณรัฐ นี่คือสาเหตุสำคัญที่พรรคไทยรักไทยสามารถเสนอนโยบาย คิดใหม่ทำใหม่และโฆษณาว่าจะช่วยทุกคน ไม่ใช่แค่คนรวย และนโยบายดังกล่าวนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้งบประมาณรัฐอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันเนื่องจากรัฐบาลไทยรักไทยไม่สนใจที่จะเก็บภาษีจากคนรวยหรือนายทุนในอัตราสูง งบประมาณในโครงการต่างๆ ไม่เพียงพอที่จะกำจัดความยากจนไปหมด และรัฐบาลไม่ได้มีความประสงค์ที่จะกำจัดความเหลื่อมล้ำด้วยการสร้างรัฐสวัสดิการครบวงจรเลย 
     
สิ่งที่จะช่วยแก้วิกฤตน้ำท่วมสำหรับสังคมไทย นอกเหนือจากการพัฒนาระบบชลประทานแล้ว คือการสร้างโครงการขนาดใหญ่เพื่อพัฒนาชีวิตของประชาชนทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ในสภาพวิกฤตปัจจุบันมันไม่มีโครงการเฉพาะหน้าอะไรที่ถือว่า เพื่อประโยชน์ชาติมากกว่านี้
     
รัฐบาลจะต้องเร่งโครงการก่อสร้างซ่อมแซม และชดเชยข้าวของของประชาชนที่สูญหาย เรื่องนี้จะสร้างประโยชน์สองด้านคือ กู้สถานการณ์ และสร้างงานพร้อมกัน และรัฐบาลต้องมีโครงการสร้างงานที่นอกเหนือจากนั้นอีกด้วย และต้องมีการเสริมรายได้ประชาชนด้วยการขึ้นค่าแรงเป็น 300บาท และ 400 บาทต่อวันทั่วประเทศอย่างเร่งด่วน ซึ่งก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะหดตัว ผ่านการเสริมกำลังซื้อ และจะพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนพร้อมกันอีกด้วย
    
 รัฐบาลจะต้องหารายได้เพิ่มมหาศาลสำหรับการกู้สถานการชีวิตประชาชนหลังจากน้ำลง เงินนี้หาจากรายได้ที่มีอยู่แล้วไม่ได้ จะไม่พอแน่นอน ดังนั้นถ้าจะทำกันอย่างจริงจัง ต้องมีการ คิดใหม่ทำใหม่นอกกรอบคิดเดิมของอำมาตย์คือ ต้องเพิ่มการเก็บภาษีจากเศรษฐี คนรวย และนายทุนทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ต้องมีการตัดงบประมาณฟุ่มเฟือยในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในหลายปีข้างหน้า และต้องมีการตัดงบประมาณฟุ่มเฟือยของทหารอีกด้วย ในรูปธรรมหมายถึงการงดซื้ออุปกรณ์ รถถัง เครื่องบิน เรือรบ ฯลฯ อย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้ในการช่วยเหลือชาวบ้านเลย ถ้าใช้ก็ใช้เพื่อฆ่าประชาชนอย่างเดียว นอกจากนี้ต้องมีการเปิดสถานที่ขนาดใหญ่ที่เคยจำกัดการใช้ไว้ให้คนหยิบมือเดียว เพื่อเป็นที่พักของประชาชนที่ไร้บ้าน
     
ถ้าใครโวยวายว่าโครงการนี้ ผิดเราจะต้องเตือนซ้ำว่า ในสภาพวิกฤตปัจจุบันมันไม่มีโครงการเฉพาะหน้าอะไรที่ถือว่า เพื่อประโยชน์ชาติมากกว่านี้ จะผิดได้อย่างไร? หรือประชาชนไม่สำคัญ?
     
จะเห็นได้ทันทีว่าการแก้ปัญหาน้ำท่วมแยกออกไม่ได้จากการลบล้างผลพวงของอำนาจอำมาตย์ มันแยกไม่ออกจากการทำตามนโยบายข้อเสนอของกลุ่มนิติราษฎร์ มันแยกไม่ออกจากการสร้างมาตรฐานยุติธรรม ผ่านการปล่อยนักโทษการเมืองทุกคน ยกเลิกการเซ็นเซอร์สื่อ ยกเลิกกฏหมาย112 และกฏหมายคอมพิวเตอร์ และการนำทหารและนักการเมืองมือเปื้อนเลือดจากราษฏร์ประสงค์และผ่านฟ้าเมื่อปีที่แล้วมาขึ้นศาล
     
และมันแยกไม่ออกจากการที่เราจะต้องถกเถียงอย่างถึงที่สุดกับพวกคลั่งกลไกตลาดเสรี ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ หรือในสำนักงานวิจัยอย่างทีดีอาร์ไอ ที่บอกว่ารัฐบาลไม่ควรใช้งบประมาณในการพัฒนาชีวิตประชาชน
     
พวกเสื้อแดงบางกลุ่มที่พูดเสมอให้พวกเรา ใจเย็น” “ให้เวลากับรัฐบาล” “งดเรื่องการเมืองไปก่อนเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจัดการกับปัญหาน้ำท่วม ไม่เข้าใจประเด็นพื้นฐานเกี่ยวกับการเมืองของอุทกภัย เพราะตราบใดที่เรามีพวกอำมาตย์ทหารเห็นแก่ตัวคอยยับยั้งความเจริญของสังคม เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้อย่างจริงจัง เสียดายที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะยอมจำนนต่อความมั่นคงของอำมาตย์ไปแล้ว

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประธาน อ.ส.ม.ท.อย่างหนา..ยี่ฮ้อรถไฟฟ้า ชนหน้าไม่แตก

จาก RED POWER ฉบับที่ 21 ปักแรก พฤศจิกายน 2554
วันนี้ครูบาอาจารย์อย่างสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงบทบาท อาจารย์พันธุ์หนา ให้ลูกศิษย์ได้ศึกษาเป็นตัวอย่าง ชนิดใช้รถไฟความเร็วสูงวิ่งชนจนร่างกายเละ แต่รับรองหน้าไม่แตก เนื่องจากมีวิชาอาคมที่ร่ำเรียนและปฏิบัติมาจนแก่กล้าถึงขนาดหน้าหนาอะไรก็ทำลายไม่ได้

คงจะจำนามสุรพล นิติไกรพจน์ ได้ในฐานะเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนการรัฐประหาร โดยเริ่มต้นประเดิมชัยโดยสภามหาวิทยาลัยอันมีสุเมธ ตันติเวชสกุล มูลนิธิชัยพัฒนาในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เลือกให้เป็นอธิการบดี และในภาวะการที่แผนโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังเริ่มขึ้น ท่านอธิการผู้นี้ก็ทำหน้าที่เปิดประตูธรรมศาสตร์ให้กลุ่มพันธมิตรฯภายใต้การนำของแป๊ะลิ้มใช้เป็นฐานที่มั่นการชุมนุมโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งในขณะนั้นผู้ปฏิบัติการของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ทำการทดลองจิตใจอันเป็นประชาธิปไตยของท่านอธิการธรรมศาสตร์ท่านนี้ ด้วยการส่งตัวแทนขอเช่า ขอใช้ห้องประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์บ้างเช่นเดียวกับที่พันธมิตรฯขอเช่าขอใช้ ก็ปรากฏว่าได้รับการปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า จนการชุมนุมของสนธิ แป๊ะลิ้ม  ที่ธรรมศาสตร์พัฒนาไปสู่แผนการหลักประสานกับผู้นำกองทัพทำการยึดอำนาจโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จนกลายเป็นวิกฤติชาติยาวนานกว่า 5 ปี

หลังจาก พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ปล้นอำนาจเรียบร้อยแล้วก็แบ่งปันทรัพย์สินที่ปล้นมาได้ โดยปันสินทรัพย์ อ.ส.ม.ท. และ ITV มอบให้แก่ผู้ร่วมปล้น ผู้ดูแลต้นทาง โดยอธิการสุรพล นิติไกรพจน์ ก็ไปเสวยสุขกับทรัพย์โจรในฐานะประธานคณะกรรมการ อ.ส.ม.ท. ส่วนกลุ่มเนชั่นทำหน้าที่ตะโกน ปลุกระดมเข้าปล้นก็ได้แบ่งทรัพย์สินมากกว่า โดยยกโทรทัศน์ ITV ให้เทพชัย หย่อง และกลุ่ม NGO เข้าครอบครองโดยเปลี่ยนชื่อเป็น TPBS ส่วนลูกน้องอย่าง นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ก็นำพรรคพวกอย่าง จอมขวัญ คางเบือน เข้าไปร่วมกินโต๊ะ อ.ส.ม.ท.กับสุรพล ไปชูคอในโทรทัศน์ที่ช่อง 9 โดยสุรพลก็ส่งมอบตำแหน่งอธิการบดีธรรมศาสตร์ให้แก่ สมคิด เลิศไพฑูรย์  เป็นอธิการบดีแทน โดยสมคิดก็ตอบแทนมาเป็นคนร่างรัฐธรรมนูญฉบับโจร 50 ให้และด้วยสำนึกในบุญคุณ คมช. สมคิดก็ขายวิญญาณรับใช้เต็มที่โดยกระโดดฟัดกับกลุ่มนิติราษฎร์และมันเขี้ยวจัดก็ฟัดเลยเถิดไปถึงปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

การทำงานของกลุ่มนักวิชาการขายวิญญาณกับสื่อสุนัขรับใช้ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบ น่าปลื้มใจแทนมือที่มองไม่เห็นแต่ไม่อาจจะต้านพลังประชาธิปไตยของมวลชนได้แต่ก็ยืนหยัดรักษาฐานที่มั่น อ.ส.ม.ท. และ TPBS อย่างถึงที่สุด และแนวโน้มจะต้องสละฐานที่มั่นใน อ.ส.ม.ท.แน่นอนแล้วแต่ยังจะขอเวลาเก็บทรัพย์สินช่วงสุดท้ายอีก ซึ่งยากลำบากมาก ทางเดียวที่จะยืนหยัดได้คือต้องสวมวิญญาณ อาจารย์พันธุ์หนา

นายสุรพล ได้อำพรางภาพพันธุ์หนาในช้วงต้นได้เนียนในนามนักวิชาการด้วยการบริหาร อ.ส.ม.ท. ช่อง 9 โดยมีเป้าหมาย กัดทักษิณ ให้เป็นที่ประจักษ์ทั้งกัดทั้งขย้ำมา 5 ปี แต่ยิ่งกัดยิ่งฟัดประชาชนก็ยิ่งรักทักษิณจนประชามหาชนหนุนเนืองกลับมาเป็นรัฐบาลอีก แทนที่สุรพลจะรู้จักอายในความผิดที่บิดเบือนหลักวิชาการ โดยลาออกไปสอนหนังสือเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว คราวนี้แหละพันธุ์หนาของแท้จึงปรากฏโฉมเพราะยังเป็นห่วงชามข้าวจึงนั่งเฝ้าทู่ซี้ขยี้หูขยี้ตาทำท่าว่าไม่รู้เรื่องกติกาประชาธิปไตย จนรัฐมนตรีกฤษณาทำท่าเฉยอยู่ไม่ไหวจึงส่งคนใกล้ชิดไปสะกิดให้ลาออก แต่สุรพลก็บอกว่าจะขอกางขาอยู่ต่อจนครบอายุอย่างสง่ากลางปีหน้าก็จะลาออกเอง ร้อนถึงรัฐมนตรีอีกจึงต้องฉีกปากบอกให้ออกทันทีเพื่อจะปรับเปลี่ยนนโยบาย แต่สุรพลยังไม่อาย แต่ก็จะไม่ขอตายคาเก้าอี้โดยขอรัฐมนตรีว่า จะขออยู่ปฏิบัติหน้าที่จนถึงเดือนพฤศจิกายน ด้วยเหตุผลปิดลับไม่ให้ใครจับทางได้

แฟนข่าวเจาะลึกคงอยากรู้ว่าทำไมต้องยืดเวลาถึงพฤศจิกายนนี้  ก็เพราะคุณพี่สุรพลจะวางกลศึกใหม่คาไว้ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ติดขัดในการข่าวแถมจะวิ่งราวทรัพย์อีกรอบด้วยการต่อสัญญาและจัดสรรคลื่นให้รื่นฤดีใจ หาทรัพย์ใส่ถุงมุ่งกลับมหาวิทยาลัย ซึ่งข่าวภายในแจ้งว่าประตูธรรมศาสตร์เปิดอ้ารับแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าค่ายเนชั่นยังจะสั่นกระดิ่งสู้ชูคอ กนกและทีมงานในช่อง 9 อีกด้วยการต่อสัญญาล่อทักษิณต่อไปโดยบอร์ดชุดเดิมพันธุ์หนาระดับอาจารย์ เรียกว่าด้านสุดใจ ได้ทั้งกระสุน ได้ทั้งทุนอุดหนุนอบอุ่นยิ่ง

อะไรที่ไม่ถูกเรื่อง ก็จะมีแต่เรื่อง ล่าสุดสุรพลจึงต้องสวมวิญญาณนักฆ่าแทนนักวิชาการทำการประหารปลด ธนวัฒน์ วันสม ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.ที่แปรพักตร์ไปซบอกเพื่อไทยให้ออกจากตำแหน่งพร้อมยัดข้อหาให้ แต่เนื้อแท้คือการช่วงชิงอำนาจการวางกำลังก่อนล่าถอยโดยตั้งผู้ช่วย ผอ.ดวงใจ เด็กสร้างปชป.มาคุมงานแทน ด้วยแรงส่งหลอกล่อจาก ปชป.ว่า ขอให้อาจารย์สู้ต่ออีกไม่นานเกินรอ ปชป.จะกลับมาใหม่

นี้แหละเขาเรียกว่า อาจารย์พันธุ์หนาอาสาสมัครนักรบตัวจริง

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

คำขวัญ “ปกป้องสถาบัน ต่อต้านรัฐไทยใหม่” กับการคอรัปชั่น

จาก facebook GirlGeneration Redhot
จาก เว็ปไอเอฟ
กรณีศึกษาโจร ปล้นบ้านปลัดกระทรวงคมนาคม
กรณี นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ถูกโจรปล้นเงินสดไปเป็นจำนวนเงิน 200ล้าน และโจรที่ถูกตำรวจจับยังให้การด้วยว่ายังมีเงินสดอยู่ในบ้านปลัดฯ อีกพันล้าน ได้กลายเป็นข่าวที่แปลกที่สุดในโลก ที่ประชาชนสนใจและสะใจในตัวเจ้าทรัพย์ที่ถูกปล้นมากกว่าโจรผู้กระทำผิด  โดยเฉพาะในประเด็นคำถามว่า ปลัดกระทรวงฯ เอาเงินมากขนาดนี้มายิ่งจากไหนซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการคอรัปชั่นที่ ปปช. กำลังสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ยังไม่มีใครหยิบยกประเด็นที่สำคัญว่าใครคือผู้ผลักดับให้ นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ไปเป็นปลัดกระทรวงคมนาคม จนก่อให้เกิดประเด็นที่น่าเชื่อว่ามีการทุจริตอย่างใหญ่หลวงอย่างที่เป็น ข่าว

ข้อเท็จจริงที่รับกันแล้วว่า นายโสภณ  ซารัมย์ (เด็กในคาถาของนายเนวิน ชิดชอบ) เป็นผู้แต่ตั้งให้นายสุพจน์ ขึ้นเป็นปลัดระหว่าที่นายโสภณ เป็น รมว.และ นายสุพจน์ เป็นปลัด เป็นเวลาสองปีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้มีข่าวลือหนาหูว่ามีเรื่องของการทุจริตในประมูลทำถนนและการปรับปรุงเส้น ทางต่างๆ ที่มีการเรียกเงินจากผู้รับเหมาเป็นส่วนแบ่งถึง 50% เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นทำให้สังคมเชื่อว่าเงินสดในบ้านปลัดกระทรวง คือเงินที่ได้มาจากการทุจริตและเกิดหักหลังกันเมื่อเกิดการผลัดเปลี่ยนอำนาจ ปลัดกระทรวงพยายามจะบิดเบือนว่าเป็นสินสอดของลูกที่แต่งงานในวันที่โจรเข้า ปล้นขณะที่อยู่นอกบ้านฟังดูแล้วก็ไม่น่าเชื่อ เพราะหากเป็นเงินสุจริตจริงทำไมไม่นำไปฝากธนาคารเสียในวันนั้นทั้งๆที่ ธนาคารมีบริการรับฝากถึงที่แล้วไม่ใช่หรือ

ถ้าผลของการสอบของ ปปช.เป็นการทุจริตจริงนายโสภณ ในฐานะ รมว. และนายเนวิน เจ้าของพรรคตัวจริง จะต้องรับผิดชอบอย่างไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งใครจะรับผิดชอบต่อสถาบันเบื้องสูง ที่พรรคภูมิใจไทยพยายามป่าวประกาศว่าพวกเข้าเป็นผู้จงรักภักดี ปกป้องสถาบันต่อต้านรัฐไทยใหม่ รวมทั้งนายเนวิน ที่แสดงตัวเป็นผู้จงรักภักดีที่สุดถึงขนาดเป็นประธานจัดงานเฉลิมพระชนพรรษา แต่กลับไปพัวพันกับเรื่องที่อื้อฉาวเช่นนี้เพราะทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึก ว่าพวกที่แอบอ้างความจงรักภัคดีมากที่สุดเป็นพวกขี้โกงมากที่สุดใช่หรือ เปล่า???

สงสัยเหมือนกันว่าบุคคลที่ชูชุบให้นายเนวิน ให้อยู่ใกล้เบื้อจะว่าอย่างไร???

ไม่เก่งอังกฤษ

โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข

ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554


ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่น้ำก็ลดลงแล้ว จุดเลวร้ายสุดได้ผ่านไป

ปัญหาพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในวาระมหามงคล 5 ธันวาคม ก็ยุติไป หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แสดงท่าทีชัดเจน

นายกรัฐมนตรี ยังคงเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ว่ากันว่า พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง เมื่อวันเปิดทำเนียบรับ ฮิลลารี คลินตัน รมต.ต่างประเทศ สหรัฐ ฝรั่งถอดเทปฟังไม่เข้าใจ หรือ inaudible ถึง 12 จุด
แก้รัฐธรรมนูญรอบนี้ นายกฯนอกจากต้องผ่านการเลือกตั้ง อาจต้องสอบภาษาอังกฤษด้วย
หรือจะให้เลือกสอบภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน เยอรมัน ละติน หรือ บาลี ก็ว่ากันไป

นายกฯยิ่งลักษณ์ จะเก่งภาษาหรือไม่ ถือเป็น "น้ำจิ้ม" ปล่อยให้ดอกเตอร์ทั้งหลายวัดผลไป แต่ในทางการเมือง น้ำท่วมไทยครั้งนี้ มิตรต่างประเทศโอบอุ้มอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

โดยเฉพาะการมาเยือนไทยของฮิลลารี คลินตัน กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ ออกข่าวล่วงหน้าว่า "สาร" หรือ message ที่ฮิลลารีตั้งใจนำเสนอถึงคนไทยและรัฐบาลไทยคือ ความมั่นคงและประโยชน์ทางการเมืองของสหรัฐ คือการให้รัฐบาลนี้ประสบความสำเร็จ

สหรัฐจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อสนับสนุนความก้าวหน้า ถึงจะมีความตึงเครียดมากมายในประเทศไทย ซึ่งความตึงเครียดเหล่านั้นไม่สามารถแก้ไขได้หลังจากการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวหรือสองสามครั้ง

ส่วนการแถลงข่าวร่วมกัน ฮิลลารีได้ขยายความชัดขึ้น ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการที่ให้สัมภาษณ์มติชนออนไลน์ สรุปไว้ 5 ประเด็น 5 เรื่อง

เรื่องแรก คือ รัฐบาลสหรัฐยืนอย่างเข้มแข็งอยู่เบื้องหลัง "รัฐบาลพลเรือนของไทย"

สอง สนับสนุนความพยายามของรัฐบาลไทยในการสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันประชาธิปไตย

สาม สนับสนุนให้ไทยเคารพในหลักของกฎหมายและหลักการปกครองที่ดี หรือ Good Governance

สี่ สนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน

ห้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสมานฉันท์ด้านการเมือง
อาจารย์ปวินชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่ผ่านมา ทำให้สหรัฐต้องเปลี่ยนจุดยืน แม้จะปรับตัวช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น จีน
จุดเปลี่ยนสำคัญ ได้แก่ การเปลี่ยนตัวของเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกรุงเทพฯ เป็นทูตหญิง คริสตี้ เคนนีย์ ซึ่งแสดงบทบาทค่อนข้างมาก มีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสถานทูตกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ยังมีตัวแปรหลายอย่างเช่น ความเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ทั้งในอินโดนีเซีย พม่า ทำให้สหรัฐต้องกลับมาเน้นบทบาทนี้เหมือนเดิม คือ สนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน..!

เพื่อนนักข่าวสายต่างประเทศ ที่ติดตามข่าวนี้ บอกว่า "คีย์เวิร์ด" ของฮิลลารี อยู่ที่คำว่า
"รัฐบาลพลเรือน"
ซึ่งมีนัยยะยาวไกล เป็นที่เข้าใจได้

"ประชาธิปไตย" เป็นภาษาสากล ใช้สื่อสารกันได้ แต่อีกหลายคนก็สอบตกภาษานี้

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วาทกรรม การเมือง สาดใส่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วาทกรรม อำพราง

ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 21 พ.ย. 2554
การออกมาตั้งข้อสังเกตเรื่อง "สำเนียง" การพูดภาษาอังกฤษของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าไม่สละสลวย ได้รสชาติ เมื่อเปรียบเทียบกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มส

ก่อให้เกิดนัยประหวัดไปถึงคอลัมน์ท้ายกรุงของ "ทองคำเปลว" ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ

เป็นเรื่องของ 2 กระทาชายที่นั่งแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในเรื่องความฝัน คนหนึ่งเล่าว่าเมื่อคืนเขาฝันเห็นตัวเลข

"การคูณกันระหว่าง 8 กับ 9 ก็เลยเอาไปซื้อหวย"

เมื่อเพื่อนถามว่า "ซื้อเลขอะไร" คำตอบจากเจ้าของความฝัน คือ "ซื้อ 56"

ได้ยินดังนั้นเพื่อนจึงทักท้วงว่า "8 คูณ 9 น่าจะเป็น 72 ไม่ใช่ 56"

เพื่อนเจ้าของความฝันจึงตอบอย่างทื่อๆ ว่า "สูเป็นคนคูณเก่งจึงไม่ถูกหวย แต่ตูคูณไม่เก่งจึงเป็นคนถูกหวย"

อาจเป็นคนละเรื่อง แต่ก็น่าจะอนุโลมให้เป็นเรื่องเดียวกันได้

ที่หยิบยกมาก็เป็นการหยิบยกมาจากความทรงจำอันยาวนานอย่างยิ่ง เพราะหากดำเนินไปตามสำนวนของ "ทองคำเปลว" น่าจะได้อารมณ์ยิ่งกว่านี้

เพราะ "ทองคำเปลว" เป็นนามปากกาของ ประมูล อุณหธูป และประมูล อุณหธูป เป็นเจ้าของนามปากกา อุษณา เพลิงธรรม และ "เจ้าจำปี"

คำถามก็คือ แล้วยกเรื่องคนคูณเก่ง กับ คนซื้อหวยถูก มาทำไม

ที่ยกเรื่องของคนคูณเก่งขึ้นมาเพราะนับแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับเลือกตั้งและได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้เกิดปรากฏการณ์ต่อเนื่องอย่างมาก

ทั้งด้านที่นิยมยินดี ทั้งด้านที่รังเกียจเดียดฉันท์

ด้านนิยมยินดีจะไม่ขอกล่าว จะขอพุ่งเป้าไปยังด้านที่รังเกียจเดียดฉันท์มากกว่า เพราะให้สีสัน ให้ความรู้สึกในเชิงแตกแขนงเป็นอย่างสูง

ประเด็นหนึ่งที่ชมชอบกล่าวหา คือ กล่าวหาว่าโง่

โดยยกตัวอย่างจากเวลาแถลงต้องอ่านสคริปต์ อ่านสคริปต์แล้วยังอ่านผิดอีกด้วย กรณีสำเนียงพูดภาษาอังกฤษไม่สละสลวยก็เข้าข่ายนี้

เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เพียงจบจากมหาวิทยาลัยบ้านนอกในประเทศ หากไปเรียนต่อต่างประเทศก็ยังไปเรียนจากมหาวิทยาลัยบ้านนอกไกลปืนเที่ยง สำเนียงการพูดและอ่านภาษาอังกฤษจึงมีปัญหา

ประเด็นหนึ่งที่แตกแขนงออกไปอีกคือ การกล่าวหาอันอิงกับเรื่องทางเพศ นั่นคือเป็นผู้หญิง อ่อนแอ ปวกเปียก หนักข้อมากยิ่งขึ้นถึงกับยกเอากรณีหญิงเหนือและอุปทานคติต่อหญิงเหนือมาเน้นในเชิงดูถูก ทำนองทำอะไรไม่เป็นนอกจากขายตัว

แปลกเป็นอย่างมากคือ ไม่ว่าจะถูกให้ร้ายหยาบคายอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ไม่เคยตอบโต้

คนที่รังเกียจเดียดฉันท์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มองข้ามคุณสมบัติอันเป็นข้อเด่นเป็นอย่างมากที่ทุกฝ่ายเริ่มเห็นร่วมกัน

คือ ความอดทน ที่เป็นเลิศ

ไม่ว่าปราชญ์ที่เคยเป็นนักเรียนเอเอฟเอส ไม่ว่าปราชญ์ที่เคยต้องโทษแชร์ลูกโซ่ ไม่ว่าปราชญ์ที่เป็นคอลัมนิสต์ มองข้ามคุณสมบัตินี้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเหมือนกับไม่มีความหมาย

ทั้งๆ ที่ ความอดทน เป็นคุณสมบัติสำคัญยิ่งของนักธุรกิจ นักการเมือง

มีคำ 2 คำที่มีความคล้ายแต่ก็แตกต่างอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือ ระหว่างคำว่า "ทรหด" กับคำว่า "อดทน"

ทรหด สัมพันธ์กับพละกำลังทางกาย

อดทน สัมพันธ์กับเรื่องทางใจ และที่สำคัญเป็นความต่อเนื่องจากทรหด เป็นพละกำลังอันเหลืออยู่หลังจากหมดเรี่ยวแรงทางกายแล้ว

ขณะที่เพศชายมากด้วยความทรหด เพศหญิงเปี่ยมด้วยความอดทน

ความอดทนนี่แหละคืออาวุธอันทรงพลัง ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีอยู่ในการสัประยุทธ์

ถามว่าแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอย่างที่ปรปักษ์ทางการเมืองกล่าวหาหรือไม่

คนโง่คงไม่สามารถเรียนจนได้ปริญญา ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท คนที่ถนัดในการขายตัวคงไม่สามารถรับผิดชอบบริษัทอันมีธุรกิจนับหมื่นนับแสนล้านบาทได้

ฉะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงต้องใช้ความอดทนในการเช็ดน้ำลายอันสาดกระเซ็นมาใส่

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ส.ส.สุนัย โต้ อาจารย์สมเกียรติ์ อ่อนวิมล กรณีภาษาอังกฤษของนายกฯ เราคือเหยื่อของระบอบการศึกษาไทย

จาก Facebook Sunai Chulpongsatorn


อาจารย์สมเกียติครับผมเคยนิยมในตัวท่านและวันนี้ก็ยังนิยมอยู่เรื่องที่ท่านวิจารคุณยิ่งลักษณ์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ดีเป็นเรื่องที่ผมเคารพในความเห็นของท่าน แต่ผมของแสดงความเห็นว่าท่านต้องมองให้ลึกและตั้งคำถามด้วยว่าทำไมคนไทยทั้งประเทศที่อยู่ในระบบการศึกษาแบบที่เป็นอยู่จึงกลายเป็นคนที่ไม่สามารถจะพูดภาษาอังกฤษได้ดีเช่นเดียวกับท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ยกเว้น คนที่มีฐานะที่ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศอย่างพ่อของคุณอภิสิทธิ์ ?วันนี้ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาของเจ้าอานานิคมแต่มันได้พัฒนาเป็นภาษากลางของมนุษย์ไปแล้วแต่ อาจารย์เชื่อหรือไม่ว่าตั้งแต่ท่านและผมยังตัวเล็กๆถึงปัจจุบันโรงเรียนของรัฐบาลยังไม่สอนภาษาอังกฤษเลยจนถึงชั้น ป.5 และคนส่วนใหญ่ของประเทศถูกกฎหมายของประเทศควบคุมให้เด็กอายุ 7ขวบ จึงจะเข้าชั้น ป.1 โดยเบ็ดเสร็จคนไทยส่วนใหญ่จะเริ่มสัมผัสกับภาษาอังกฤษตอนอายุ 12 ขวบ ทั้งตลอดชีวิตของคนไทยก็ตกอยู่ในวาทกรรมว่า "ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาพ่อแม่ของเราและเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นไม่ต้องรู้ภาษาอังกฤษก็ได้" ใครเป็นผู้ชี้นำวัฒนธรรมและระบบการศึกษาที่ห้ามเด็กเล็กๆเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนของรัฐบาลที่อ้างว่าเด็กเรียน 2 ภาษาไม่ได้?? อาจารย์อย่าพูดนะครับว่าผมเป็น ส.ส. ก็ไปแก้สิเพราะแม้แต่ รมว.ศึกษา ก็แก้ไม่ได้เพราะคณะกรรมการที่ควบคุมนโยบายที่คุมการศึกษาไม่ได้มี รมว.ศึกษาเป็นประธานอยู่ในคณะ นี้ 

ผมไม่ขอตอบอาจารย์ว่าคนสำคัญที่ขัดขวางการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและไม่ให้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเป็นใครและเพื่ออะไร?

ผมยังเชื่อมั่นในความรู้ของอาจารย์ที่จะตอบคำถามข้างต้นนี้ได้ ขึ้นอยู่กับอาจารย์มีความกล้าหาญมากพอไหมที่จะคิดและจะพูดความจริง ซึ่งประชาชนรู้หมดแล้วครับว่าใครคือผู้ชี้นำและเขาทำเพื่ออะไร?

อาจารย์ก็เป็นเหยื่อของระบบของการศึกษาเช่นเดียวกับคุณยิ่งลักษณ์ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ชัดและเช่นคนไทยทุกคน

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำท่วมละลายภาพนักบุญทุนผูกขาด อุปสรรคพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน

จาก ไทยอีนิวส์

ในภาวะการรัฐประหารยึดอำนาจของทหาร กลุ่มทุนผูกขาด โดยเฉพาะผูกขาดทางการเกษตรและผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น ซีพี , สหพัฒนพิบูลย์ ,เบียร์สิงห์ และเบียร์ช้าง จะมีความใกล้ชิดกับอำมาตย์ใหญ่ และกองทัพไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดแสดงออกอย่างเปิดเผยที่ลงขันสนับสนุนการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป

โดย นายวิจัย ใจภักดี

ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่กลุ่มทุนท้องถิ่นผู้ผูกขาดสินค้าทางการเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นตระกูลเป็นชาวจีนอพยพได้ประสานผลประโยชน์เข้ากับชนชั้นขุนนาง และพัฒนากลายเป็นทุนผูกขาด แล้วสูบกินพี่น้องประชาชนไทย

โดยหลอกลวงว่าเป็นคนชาติเดียวกัน และใช้ความเป็นชาตินิยมทางเศรษฐกิจ ทำการผูกขาด และขัดขวางการขยายตัวของทุนสมัยใหม่ และทุนต่างชาติไม่ให้นำเสนอทางเลือกใหม่ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อประชาชน ด้วยการหลอกลวงว่า ทุนต่างชาติจะทำให้ไทยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ และคนไทยควรจะใช้ชีวิตแบบพอเพียง

ในขณะที่พวกเขาตักตวงความสุขจากสารพัดเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเสพสุขในชีวิตประจำวัน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทำให้พวกเขามีอายุยืนยาว แต่ชาวบ้านกลับมีชีวิตสั้น เพราะเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ทางการแพทย์

กลุ่มทุนท้องถิ่นขนาดใหญ่ในปัจจุบันได้แสดงตนเป็นกลุ่มทุนผูกขาดและต่อต้านโลกาภิวัฒน์โดยสมบูรณ์แล้ว

พวกเขารู้ดีว่า กระแสโลกาภิวัฒน์กำลังบั่นทอนอำนาจผูกขาดทางเศรษฐกิจในประเทศไทยของพวกเขา และสุดท้ายจะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจทางการเมือง

แต่นับวันการปิดประตูผูกขาดขูดรีดประชาชนภายในประเทศไทย ก็ได้สร้างภาวะวิกฤติการดำรงชีวิตของประชาชนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เกิดมหาวิกฤตอุทกภัยในขณะนี้ ก็ยิ่งเปิดโปงความเลวร้ายของกลุ่มทุนขุนนางท้องถิ่นว่า เนื้อแท้แล้วชาติเป็นเรื่องหลอกลวงแต่ผลกำไรเป็นเรื่องจริง



ตัวอย่างการฉวยโอกาสกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อขึ้นราคาเช่น ไข่ไก่ และบะหมี่สำเร็จรูป ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่จำเป็นเพราะสะดวกที่สุดในการบริโภคในภาวะฉุกเฉินของการเกิดอุทกภัยที่พอประทังชีวิตได้

และเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะแก้ปัญหาการขาดแคลน ด้วยการนำเข้าจากต่างประเทศ พวกเขาก็ประสานเสียงร้องคัดค้านอ้างกฎหมายว่าจะก่อให้เกิดการแพร่ขยายเชื้อโรคที่ติดมากับไข่

ส่วนกรณีเส้นบะหมี่สำเร็จรูปจากต่างประเทศก็อ้างว่าไม่ได้ผ่าน อย. อาจจะด้อยคุณภาพ เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค นำเข้าไม่ได้เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

ลองมองย้อนหลังกลับไปไม่ถึงปีที่ผ่านมาที่ไทยต้องประสบกับภาวะไข่แพงในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ในฐานะรัฐบาลหุ่นเชิดของขุนนางที่ตั้งขึ้นมาการจากอุ้มชูของทหาร แทนที่นายอภิสิทธิ์จะแก้ปัญหาโดยตรงด้วยการนำเข้าไข่ไก่ แต่นายอภิสิทธิ์กลับแก้ปัญหาด้วยการสั่งแม่ไก่นำเข้าเพื่อนำมาออกไข่

พวกกลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรกลับนิ่งเฉย ไม่มีการพูดถึงเชื้อโรคที่มากับไก่ ทั้งๆที่แม่ไก่น่าจะเป็นพาหะนำเชื้อโรคมากกว่าไข่

และว่ากันจริงๆแล้ว หน่วยงานที่ควบคุมคุณภาพอาหารเส้นบะหมี่สำเร็จรูปในญี่ปุ่น และไต้หวันที่จะนำเข้ามา ก็น่าจะมีคุณภาพสูงกว่าประเทศไทยเสียด้วย แต่กลุ่มทุนขุนนางท้องถิ่นก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง

จึงเห็นชัดเจนว่า โดยเนื้อแท้แล้วพวกเขาเป็นกลุ่มทุนอิทธิพลผูกขาดตัวจริง ที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลในฐานะเป็นกลุ่มทุนขุนนางที่ได้รับการคุ้มครองจากอำนาจนอกระบบ ที่เป็นอำนาจจริงของประเทศไทย

และที่เลวร้ายที่สุดก็คือเป็นกลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตร ที่ครอบงำการเจริญเติบโตของเกษตรกรไทยที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

เราจะยิ่งเห็นชัดทั้งในภาวะปกติ และในภาวะการรัฐประหารยึดอำนาจของทหาร กลุ่มทุนผูกขาด โดยเฉพาะผูกขาดทางการเกษตรและผูกขาดสินค้าอุปโภคบริโภคเช่น ซีพี , สหพัฒนพิบูลย์ ,เบียร์สิงห์ และเบียร์ช้าง จะมีความใกล้ชิดกับอำมาตย์ใหญ่ และกองทัพไทยเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดแสดงออกอย่างเปิดเผยที่ลงขันสนับสนุนการล้มระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำไป

หากใครจะได้ติดตามการพัฒนาเปิดเสรีทางการค้าของกลุ่มอาเซียน ซึ่งเป็นพลังแห่งโลกาภิวัฒน์ ก็จะเห็นชัดเจนว่า กลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรในประเทศไทยที่ผูกขาดการเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา และผูกขาดเมล็ดพันธุ์ เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองมากที่สุดกลุ่มหนึ่งอย่างแท้จริง

ดังจะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้ขอสงวนการเปิดเสรีทางการลงทุนใน 25 รายการ ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นการปิดกั้นการลงทุนด้านการเกษตร

ในวันนี้ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การลงทุนจากต่างประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างงาน และการรับรู้ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มากับการลงทุน ซึ่งจะก่อให้เกิดการแข่งขัน และนำไปสู่ทางเลือกใหม่ๆของผู้บริโภค และการต่อรองของแรงงานภาคการเกษตร

เพราะทุกวันนี้กลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรได้สร้างแรงงานทาสทางอุตสาหกรรมทางการเกษตรรูปแบบใหม่ขึ้น โดยพวกเขาออกแบบการจ้างงานที่หลอกลวงโดยนางจ้าง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อค่าแรงงานขั้นต่ำทางกฎหมายและสวัสดิการของแรงงาน ด้วยวิธีการให้เกษตรกรเป็นผู้ผลิตรายย่อยอิสระซึ่ง

ฟังแล้วดูดี แต่เนื้อแท้กลายเป็นว่าพวกเขาในฐานะผู้เลี้ยงไก่ ปลา หมู ต้องซื้ออาหารและยาจากบริษัทผูกขาดทางการเกษตรในฐานะเป็นผู้ประกันราคา เช่น บริษัท ซีพี เป็นต้น

 

โดยคำนวณประโยชน์ที่จะได้ต่อตัวมีจำนวนเงินจำกัดไม่ต่างจากเงินเดือนอันเป็นค่าจ้างแรงงานเลย

ทุกวันนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ ปลา และหมู รวมตลอดทั้งเกษตรกรที่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดและถั่ว ไม่มีทางเลือกใหม่เล ยเนื่องจากกลุ่มทุนผูกขาดได้อาศัยอำนาจทางการเมืองของกลุ่มทหารปิดกั้นทุนต่างประเทศไม่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่แสดงให้เห็นชัดก็คือ สำนักงานส่งเสริมการลงทุน และรัฐบาลทั้งรัฐบาลที่แล้ว และปัจจุบันก็เห็นว่า ควรจะเปิดกว้าง แต่ก็ถูกกลุ่มทุนผูกขาดผลักดันให้ลูกสมุนออกมาคัดค้าน ปรากฏตามหลักฐานหนังสือคัดค้านของแกนนำอย่าง นายระพี สาคริก ที่มีคำนำหน้าชื่อว่าศาสตราจารย์ ซึ่งเป็นผู้ทำงานใกล้ชิดกับกลุ่มอำมาตย์ใหญ่ และที่ผ่านมาก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนทหารให้ทำการยึดอำนาจล้มระบอบประชาธิปไตย

ด้วยความหวาดกลัวว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังจะนำประเทศชาติเข้าสู่การพัฒนาในแนวทางของโลกาภิวัฒน์ โดยนายระพี สาคริก ได้รวบรวมกลุ่มเกษตรกรและกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยที่เขาครอบงำความคิดไว้ให้ดำรงคุณภาพชีวิตแบบพอเพียงจำนวนหนึ่ง ทำหนังสือคัดค้านถึงนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาในฐานะหุ่นเชิด และถึงหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ในฐานะรัฐบาลหุ่นเชิด ยับยั้งการเปิดเสรีทางการลงทุนทางด้านการเกษตรในประเทศไทย ตามหลักฐานหนังสือของมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2552

เป็นหนังสือที่ มกย.ท043/2552 สุดท้ายคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กยศ.) ในสมัยนายอภิสิทธิ์ก็ต้องจำยอม เพื่ออำพรางภาพลักษณ์ของระบอบการเมืองไทย ไม่ให้เห็นชัดว่าประเทศไทยขัดขวางการลงทุนในกลุ่มอาเซียนจึงมีมติให้เปิดเสรีการลงทุนทางการเกษตรในส่วนของเมล็ดพันธุ์ ให้ทำได้เฉพาะเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่เท่านั้น

ส่วนการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็ให้ทำได้เฉพาะปลาทูนา และกุ้งมังกรเท่านั้น ซึ่งไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรที่เลี้ยงปลาน้ำจืดของบริษัทเจี่ยไต๋ และซีพี ผู้ผูกขาดเมล็ดพันธุ์ และการเลี้ยงปลาทับทิมเลย (ปลาทับทิมทุกตัวจะเป็นหมันเกษตรกรขยายพันธุ์เองไม่ได้ต้องซื้อพันธุ์จากซีพีเท่านั้น)

ปรากฏหลักฐานรายงานการประชุม ของคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ครั้งที่ 2/2553 วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2553 ที่มี นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯเป็นประธาน

เป็นที่รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่า กลุ่มทุนผูกขาดทางการเกษตรเหล่านี้ขูดรีดผลประโยชน์ไปจากเกษตรกรคนยากจน แล้วจ่ายค่าต๋งเป็นเงินในรูปการบริจาคให้แก่กลุ่มทุนขุนนางอำมาตย์มายาวนาน


ล่าสุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องเดินตามมติของ กยศ.นี้โดยนำข้อสรุปนี้ผ่านรัฐสภาเมื่อวันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 และนำเข้าสู่การประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย 17 พฤศจิกายน 2554

ขอให้พี่น้องคนไทยออกจากพันธนาการของการหลอกลวงที่ว่า การเปิดเสรีการลงทุนเป็นเรื่องทำลายประเทศชาติเสียที เราได้ผ่านความเป็นจริงมาแล้วคือ การผูกขาดทางการเงินธนาคารเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจของระบบธนาคารในปี 2540 ที่ว่าหากเปิดให้ต่างชาติเปิดธนาคารในประเทศไทยแล้วไทยจะเสียเอกราชทางเศรษฐกิจ ซึ่งไม่เป็นความจริง

เพราะวันนี้ต่างชาติก็เข้ามาลงทุนทางการเงินมากมายในประเทศไทย ทำให้ดอกเบี้ยธนาคารลดลงจากเมื่อครั้งกลุ่มทุนขุนนางที่ผูกขาดกิจการธนาคารยังดำรงอยู่ก่อนปี 2540 เป็นอย่างมาก

ทุกวันนี้มีหลายประเทศที่เปิดเสรีทางการลงทุนก็มีแต่ความเจริญ เช่นประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป ในอาเซียนเช่น สิงคโปร์,ฮ่องกง เป็นต้น

การเปิดเสรีทางการลงทุน เป็นการเปิดโอกาสให้แก่แรงงานและผู้บริโภค เพราะจะเกิดการแข่งขันของทุน และขอให้เลิกเชื่อเสียทีเถิดว่า ประเทศชาติจะล่มจมจากการลงทุนของต่างประเทศ

เพราะปัจจัยที่ทำให้ประเทศชาติล่มจมที่เป็นตัวจริงเสียงจริงคือกลุ่มทุนขุนนางท้องถิ่นผู้ผูกขาดที่ขูดรีดประชาชน และพร้อมจะฆ่าประชาชนทันทีหากประชาชนรู้ทัน และคัดค้านอำนาจของพวกเขา

ประเทศไทยไม่มีวันล่มสลาย มีแต่พงศ์เผ่านายทุนขุนนางท้องถิ่นผูกขาดเท่านั้นที่จะล่มสลาย เพราะความอ่อนแอของตัวมันเองที่หากินจากการหลอกลวงมายาวนาน

********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:



-นิคมอุตสาหกรรมและผู้ไม่เปียกควรเป็นผู้จ่ายภาษีน้ำท่วม

-มาม่าขาดตลาดนับเดือนพอรัฐบาลดัดหลังจะนำเข้ากลับโวย ขอท้าใครหาซื้อได้วันนี้ส่งหลักฐานมาเลย

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ค้นพบโรคใหม่ในเมืองไทยอีกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่ "ทักษิโณโฟเบีย" แต่เป็น "ทักษิโณโซเฟีย"


จากมติชนออนไลน์
โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

หมายเหตุ:ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความขนาดสั้นชื่อ "Thaksinosophia versus Thaksinophobia" และนำเผยแพร่ลงในเฟซบุ๊กของตนเอง เว็บไซต์มติชนออนไลน์เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานเพิ่มเติมว่า

ภายหลัง การระบาดของโรค Thaksinophobia แล้ว

พบว่า มีโรคเกิดใหม่อีกโรคหนึ่ง

ที่มีชื่อคล้ายๆ กัน ว่า Thaksinosophia

กำลังระบาดหนัก

ในเขตชนบท และ/หรือรอยต่อกับเขตเมือง โดยเฉพาะภาคพายัพ และอีสาน

โรคนี้ พบได้ในกลุ่มชนชั้นกลาง-ล่าง และรากหญ้า (และคนพันธุ์ใหม่ rural+urban = rubans)

ที่มีผิวพรรณ คล้ำ ด้อยการศึกษา ด้อยโอกาส

อาการ: โรคนี้ มีอาการทำให้เกิดการขยายรูม่านตา และมีพฤติกรรมแปลกๆ

เช่น เมื่อถูกว่าจ้างแรงงาน ให้กาตัวเลข ใส่กล่อง

ก็มักกาผิดที่ สร้างความเสียหายให้แก่นายจ้าง-นางจ้าง เป็นอย่างยิ่ง

การป้องกัน: โรคนี้ ในระยะต้น ได้วางมาตรการป้องปราม หนัก กระชับ เช่น ยึดทำเนียบ ยึดลานบิน

ฉีดวัคซีนต้านทาน "ราชา/อำมาตยาชาตินิยม" ยี่ห้อ "สามปราสาทพระศิวะ"

พร้อมใช้ยุทโธปกรณ์หนัก ตามสี่แยก แล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้

แผนต่อไป:คณะแพทย์ (ที่มีภูมิต้านทานโรค Thaksinophobia สูง)

กำลังศึกษา และวิจัย หาสาเหตุ และทางแก้ไข อย่างเร่งด่วน กับ WHO

เพื่อขจัดการแพร่ระบาด เข้าสู่ภาคกลางตอนล่าง ของลุ่มเจ้าพระยา

กับเขตเมืองหลวงฯ

เชิงอรรถมติชนออนไลน์: sophia แปลว่า สติปัญญา ความเฉลียวฉลาด ความรอบรู้ (wisdom)


คลิกอ่านบทความเกี่ยวเนื่อง: ค้นพบโรคใหม่ล่าสุดของเขตอากาศร้อน มีจุดกำเนิดในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เมืองไทย!

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

น้ำตาผู้หญิง น้ำตาผู้ชาย… : ใครว่าผู้หญิงอยากใช้น้ำตาเป็นอาวุธ?



โดย ′ศาสดา′ http://www.facebook.com/sasdha
"น้ำตา" มักถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมืองบ่อยๆ ถ้าคุณอ่านสามก๊กคุณจะพบว่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ′ร้องไห้′ กันเกือบทั้งเรื่อง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้อง จะซาบซึ้งจะอะไรกันหนักหนา ทั้งๆ ที่เป็นชายชาตินักรบกันแท้ๆ เมื่อชีวิตมีคำถามเช่นนี้ ผมก็เลยส่งโทรจิตกลับไปถาม "อีพริ้ง" เมียของผมเมื่อชาติภพที่แล้ว เธอตอบกลับมาหาผมอย่างรวดเร็วราวกับใช้ hi-speed internet ว่า "อย่าโง่นักเลยไอ้แก่ การร้องไห้มันมีประโยชน์นะเว้ย เพราะมันเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดในทางการเมือง ไม่ต้องเสียตังค์สักบาท แถมถ้าร้องบ่อยๆ แล้วคนเชื่อว่ามีเมตตาธรรมแบบเล่าปี่ ก็ซื้อใจคนได้ทั้งแผ่นดินได้"
อ่านข้อความของอีพริ้งจบ ผมก็กระจ่างราวกับตื่นจากภวังค์ เพราะถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้สามก๊กจริง คุณก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว ′เล่าปี่′ เป็นผู้นำก๊กที่จนที่สุด เมื่อเทียบกับ ′โจโฉ′ และ ′ซุนกวน′ เพราะโจโฉจะชั่วดีอย่างไรเสียก็เป็นทหาร มีอำนาจวาสนาพอสมควร ซุนกวนเล่าก็เป็นลูกเจ้าเมืองเก่าสืบต่อสมบัติพี่ชายและบิดา ในขณะที่เล่าปี่เป็นแค่คนทอเสื่อขาย แต่ความอ่อนโยนและน้ำตาของเล่าปี่นี่เอง ทำให้ได้ ′ใจ′ ของประชาชน และแม่ทัพนายกองมากมายที่พร้อมพลีกายถวายหัวชนิดที่ว่าแทบไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง

กลับมาที่การเมืองไทย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเราลงพื้นที่ไปตรวจความเรียบร้อยในการฟื้นฟู จ.นครสวรรค์ หลังน้ำลด ในขณะที่กำลังปราศรัยทักทายพ่อแม่พี่น้องอยู่ดีๆ เธอก็กล้ำกลืนร้องไห้น้ำตาไหลออกมา ชนิดที่เรียกได้ว่า ′อึ้งกิมกี่′ กันไปหมด ทั้งรัฐมนตรี ทั้งประชาชน จนสื่อมวลชนต้องเอามาทำข่าว ในโลกไซเบอร์อินเตอร์เน็ตก็แชร์กันให้ว่อน ทั้งชมทั้งด่า มีตั้งแต่ "เห็นใจนายกฯจังเลยนะคะ" จนไปถึงขั้นที่ว่า "ดัดจริต"

แต่ที่เด็ดดวงกว่านั้น คือ การที่ ส.ส.ของ ปชป. สามคน อันได้แก่ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู, มัลลิกา บุญมีตระกูล และ คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช พร้อมหน้ากันออกมาอัดนายกฯ รวมใจความสั้นๆ ได้ว่า "อ่อนแอ", "ขี้แย", "มารยาหญิง", "ไร้ภาวะผู้นำ" อัดกันแรงมากจน ส.ส.ชาย ได้แต่นั่งทำตาพริบๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงด้วยกันจะอัดกันแรงซะขนาดนี้ แถมประเด็นที่เล่นก็ไม่ใช่ประเด็นการทำงานซะด้วย แต่เป็นเรื่องหยุมหยิมสุดๆ เช่น เรื่องน้ำตา

ผมกลับมานั่งคิดว่า จริงๆแล้วปัญหาที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ "โดนด่า" นี่คืออะไร?

มันไม่ใช่ความซวยของคุณยิ่งลักษณ์ที่ดันเกิดมาเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น แต่มันเป็นปัญหาสากลของโลก ที่ผู้หญิงมักจะโดนด่าเช่นนี้เป็นประจำ นั่นเป็นเพราะสังคมให้คุณค่า (value) กับการกระทำของผู้หญิง และผู้ชายแตกต่างกัน สังคมมองบุรุษเพศว่าเป็นเพศที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มีภาวะผู้นำ ห้าวหาญ เหนือกว่าผู้หญิงทุกๆ ด้าน ดังนั้นการร้องไห้ของบุรุษเพศ จึงถูกบรรยายออกมาในทำนองว่า "น้ำตาลูกผู้ชาย", "น้ำตาสุภาพบุรุษ", "น้ำตานักสู้" ในขณะที่น้ำตาของผู้หญิงกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องของ "ความอ่อนแอ", "ไร้ภาวะผู้นำ", "มารยาหญิง" บ้างก็ไปถึงขั้นว่า "หวังจะใช้น้ำตาเป็นอาวุธละสิ!"

เพื่อยืนยันว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง ผมจำได้ว่าก่อนหน้าที่คุณยิ่งลักษณ์จะร้องสักสองอาทิตย์ คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ก็เคยกอดคอร้องไห้กับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมาแล้วเนื่องจากไม่สามารถปกป้องนิคมอุตสาหกรรมนวนครเอาไว้ได้ ครั้งกระนั้นก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร ไม่เห็นมี ส.ส.หญิง ส.ส.ชายหน้าไหนออกมาโวยวาย เท่ากับกรณีของคุณยิ่งลักษณ์ คุณว่ามันแปลกไหมละ?

ให้สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ "น้ำตาของผู้ชาย" มันอาจจะใช้เป็นอาวุธทางการเมืองได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว "น้ำตา" นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ได้แต้มต่อในทางการเมือง ยังกลับเป็นตัวทำลายภาพลักษณ์ "ความเป็นผู้นำ" ของตัวผู้หญิงเองด้วยซ้ำไป ดังนั้นใครที่คิดว่าผู้หญิงอยากจะร้องเพื่อเรียกคะแนนทางการเมือง อาจจะต้องกลับไปคิดใหม่อีกหลายๆ รอบ เพราะขืนใช้วิธีนี้ จะมีแต่เสียกับเสีย
ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ เพราะหลายปีก่อน ′อีพริ้ง′ เคยตั้งข้อสังเกตกับผมว่า สิ่งที่เรียกกันว่า "ความเป็นผู้นำ" มักจะถูกเชื่อมโยงกับ "บุคลิกความเป็นชาย" แทบจะทั้งหมด เช่น แข็งกร้าว, เด็ดเดี่ยว, ใจแข็ง, มีบุคลิกความเป็นผู้นำ, พูดจาฉะฉาน, กล้าตัดสินใจ ฯลฯ ทั้งหมดนี่เป็นเพื่อจะกีดกันผู้หญิง (ซึ่งแน่นอนว่ามีลักษณะตรงข้าม) ให้ออกไปจากการเมือง ส่วนผู้หญิงบางคนที่แทรกตัวเข้ามาในการเมืองได้ และประสบความสำเร็จ ก็จำต้องทิ้งบทบาทความเป็นผู้หญิงเสีย แล้วสวมบทบาทข้างต้นแบบผู้ชาย

เมื่อไปมองดูผู้นำหญิงทั้งในประวัติศาสตร์และในปัจจุบันที่มีชื่อติดอยู่ในสมอง ได้แก่ บูเช็คเทียน, ซูสีไทเฮา, มาร์กาเร็ต แธตเชอร์, อองซาน ซูจี, กลอเรีย อาร์โรโย, ฮิลลารี่ คลินตัน ก็เป็นจริงดั่งที่ ′อีพริ้ง′ ได้พูดไว้ นั่นคือ เธอเหล่านี้แทบจะไม่เหลือบุคลิกผู้หญิงเอาไว้เลย นอกจากเสื้อผ้าหน้าผม เพราะเธอสวมบทผู้นำเด็ดเดี่ยว ซะจนผู้ชายต้องเดินตามหลังต้อยๆ

สุดท้ายคิดไปคิดมาก็น่าเสียดายมาก ที่ ส.ส.หญิง แห่งค่าย ′ประชาธิปัตย์′ ทั้ง 3 ท่านนั้น ไม่มีใครเห็นประเด็นเหล่านี้ แต่กลับดับเครื่องชนเดินหน้าออกมาผลิตซ้ำ ′วาทกรรม′ ที่ลดทอน/ทำลายพื้นที่ทางการเมืองของผู้หญิงด้วยกัน เพียงเพราะมุ่งหวังแต้มต่อทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่ ส.ส.ผู้ชายทั้งหลายก็ ′นกรู้′ เลือกที่จะนิ่งเฉย เงียบ ไม่ตอบโต้อะไรในเรื่องนี้ รอดูผู้หญิงทะเลาะกันเองจะดีกว่า เพราะในโลกนี้คนที่จะกดขี่ หรือเอาเรื่อง "ความเป็นหญิง" มาด่าผู้หญิงได้เจ็บแสบที่สุด คงไม่ใช่ผู้ชายหน้าไหน แต่เป็นผู้หญิงด้วยกันเองนี่แหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ดี มีการศึกษาสูง…

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชมคลิป "ณัฐวุฒิ-จตุพร" อภิปรายเรื่องน้ำท่วมเวลา "11.11น. 11-11-11" พร้อมมุขแสบคันถึง "อภิสิทธิ์-สาทิตย์"

จาก มติชนออนไลน์

ช่วงค่ำที่ผ่านมา ในเวลาพิเศษ วันพิเศษ เดือนพิเศษ และปีพิเศษ คือ 11.11 pm (23.11 น.) วันที่ 11 เดือน 11 ปี ค.ศ.2011 ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นักปราศรัยของกลุ่มนปช. ที่ปัจจุบันเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กำลังกล่าวอภิปรายในที่ประชุมร่วมรัฐสภาโดยไม่ลงมติ เพื่อเปิดอภิปรายเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมหนัก

ณัฐวุฒิกล่าวถึงความล้มเหลวในการจัดการน้ำของรัฐไทย ซึ่งหากวันนี้เราไม่สามารถจัดการน้ำได้ คนที่แพ้จะไม่ใช่รัฐบาล กทม. นายกรัฐมนตรี หรือผู้นำฝ่ายค้านแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หมายถึงคนไทยทุกฝ่ายจะพ่ายแพ้ด้วยกัน

ณัฐวุฒิยังอภิปรายชื่นชมทหารที่ออกมาทำงานช่วยเหลือน้ำท่วมตามคำสั่งของรัฐบาล พร้อมทั้งยังฝากคำถามไปยังรัฐบาลชุดก่อนว่า น่าจะไปสอบถามทหารว่าระหว่างการแบกกระสอบทรายกับแบกสไนเปอร์ไปยิงประชาชน พวกเขาเต็มใจจะปฏิบัติภารกิจไหนมากกว่ากัน

ส.ส.เพื่อไทยยังกล่าวถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลั่งน้ำตาต่อหน้าสาธารณะบ่อยครั้งว่า "ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่ต้องหลั่งน้ำตาเมื่อเห็นความทุกข์ยากของประชาชน มีแต่เผด็จการและทรราชย์เท่านั้นที่เพิกเฉยต่อความบาดเจ็บและล้มตายของราษฎร"

นอกจากนี้ ณัฐวุฒิยังคงไม่ทิ้งลวดลายการปล่อยมุขขำๆ แสบๆ คันๆ ถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อีกด้วย

ส่วนจะเป็นมุขเรื่องอะไรนั้น ติดตามแบบครบถ้วนกระบวนความได้ที่ คลิปวิดีโอด้านล่างนี้





พล.อ.ประยุทธ์ จะส่งยิ่งลักษณ์ ชิงรางวัลโนเบล?


จาก นิตยสาร Red Power ปักแรก พฤศจิกายน 2554 ฉบับที่ 21
โดย นายทหารเอก  กรุงธน


ไม่ใช่ใครๆก็จะได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโดยง่าย หากไม่มีสภาพแวดล้อมอันเป็นภาวะวิสัยที่จะผลักดันให้เกิดบทบาทเพื่อสันติภาพ

สตรีบางคนที่ฝันแล้วฝันอีกอยากจะได้รางวัลโนเบล แต่งตัวสวยก็แล้ว สร้างงานให้แก่คนยากคนจนก็แล้ว โนเบลก็ยังไม่เหล่ตามอง จนต้องหารางวัลอื่นๆมาปลอบใจเธอด้วยการประสานงานของระบบราชการไทย

ความภาคภูมิใจของผู้รับรางวัลโนเบลสตรีปีนี้ถึง 3 คน ในสาขาสันติภาพสรุปได้จากสัจธรรมทางประวัติศาสตร์คือ สถานการณ์สร้างวีระสตรี 
นางเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ วัย 72 ปี ประธานาธิบดีหญิงแห่งไลบีเลีย เป็นผู้หญิงคนแรกที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในปี 2548 ในสถานการณ์ที่ประเทศไลบีเลียต้องบอบซ้ำจากสงครามกลางเมืองที่ยาวนานถึง 14 ปี มีผู้เสียชีวิต 2 แสนกว่าศพ ระบบเศรษฐกิจพังยับเยิน เธอได้ใช้ฐานะแห่งสตรีและโอกาสที่มหาชนทุกข์ยาก เข้าประสานรอยร้าวเพื่อให้เกิดสันติภาพ

นางเลย์มาห์ จีโบวี สตรีนักเคลื่อนไหวแห่งไลบีเลียผู้ยืนหยัดต่อสู้กับอำนาจเผด็จการทหารแห่งไลบีเลียโดยความโหดร้ายของเผด็จการทหารได้กลายเป็นผู้สนับสนุนให้เธอเป็นผู้รับรางวัลโนเบลโดยไม่รู้ตัว เพราะเธอได้กลายเป็นแกนนำต่อต้านสงครามโดยเป็นผู้รวบรวมพลังสตรีจากทุกเชื้อชาติ  ทุกศาสนา ในไลบีเลียเพื่อให้เป็นพลังแห่งการยุติสงครามกลางเมืองที่ยาวนานจนเกิดการเลือกตั้ง  จนทำให้นางเอลเลน จอห์นสัน เซอร์ลีฟ ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรก เป็นผลให้ประเทศไลบีเลียมีสตรีเป็นผู้รับรางวัลพร้อมกัน 2 ท่าน

นางทาวัคคุล คาร์แมน สตรีนักเคลื่อนไหวชาวเยเมน คุณแม่ลูกสาม ผู้เคลื่อนไหวกดดันเรียกร้องให้ปลดปล่อยนักโทษทางการเมืองในเยเมน และเป็นหัวหน้าขบวนการผู้สื่อข่าวหญิงไร้พันธนาการ และมีบทบาทสำคัญในการประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีอับดุลลาห์ ซาเลห์ จอมเผด็จการแห่งเยเมนจนตัวเองต้องถูกจับคุมขัง

ประเทศไทยมีภาวะวิสัยที่จะสร้างสตรีไทยคนแรกที่จะได้รับเกียรติ์รางวัลแห่งมนุษยชาติสาขาสันติภาพนี้ได้เหมือนกันเพราะนับแต่การรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ที่ก่อวิกฤติยาวนานกว่า 5 ปี ได้ก่อให้เกิดสตรีลุกขึ้นมาแสดงบทบาททางการเมืองโดดเด่นขึ้นหลายคนตั้งแต่ นักเคลื่อนไหวอย่าง ดา ตอร์ปิโด (นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล) ที่ถูกจับติดคุกอย่างไม่เป็นธรรมและมีแนวโน้มอาจจะต้องตายในคุก นางพะเยาว์ อัคฮาด หรือแม่น้องเกดที่กลายมาเป็นแกนนำสตรีเรียกร้องความเป็นธรรมหลังจากที่ต้องสูญเสียลูกสาวจากฝีมือของทหาร จนถึงนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกอำนาจเผด็จการกลั่นแกล้งอย่างไร้กติกาทางกฎหมาย ซึ่งสังคมไทยกำลังฝากความหวังไว้กับเธอที่จะสร้างความปรองดองและนำสันติสุขกลับคืนสู่สังคมไทย

บางคนอาจจะมองว่าเพียงแค่วิกฤติการเมือง 5 ปี มานี้ ยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะสร้างวีระสตรีแห่งสันติภาพถึงขนาดจะได้รับรางวัลโนเบลได้เพราะอาจจะไม่รุนแรงมากพอเมื่อเปรียบเทียบกับไลบีเลียหรือเยเมน แต่หากพิจารณาถึงฐานรากของปัญหาจะพบว่าวิกฤติ 5 ปีมานี้เป็นยอดภูเขาน้ำแข็งที่บ่งบอกว่าฐานรากของความขัดแย้งมีขนาดใหญ่มากส่ออาการจะเกิดความรุนแรงอย่างยิ่งในอนาคต เพราะโดยเนื้อแท้มันเป็นวิกฤติของระบอบเผด็จการณ์แฝงเร้นที่เน่าเฟะของไทยที่ยาวนานและขณะนี้กำลังจะพังทลายจึงเกิดการดิ้นรนก่อเหตุรุนแรงโหดร้ายเข่นฆ่าประชาชน

ความเน่าเฟะของระบอบเผด็จการตัวจริงเสียงจริงได้ส่งผลให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 และส่งผลให้เกิดการฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายกลางเมืองหลวงที่กระทำต่อเนื่องยาวนานมานับตั้งแต่การฆ่าประชาชน นิสิต นักศึกษา ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 จนถึงการลอบยิงประชาชนในเหตุการณ์ ผ่านฟ้า ราชประสงค์

สิ่งที่ยืนยันถึงความเน่าเฟะและการใกล้พังทลายของระบอบเผด็จการแฝงเร้นนี้อย่างไม่อาจจะปฏิเสธได้ คือการละเมิดหลักนิติธรรมของศาลที่มนุษย์ชาติรับรองแล้วคือ สิทธิการที่จะได้รับการพิจารณาคดีโดยเปิดเผยและสิทธิการประกันตัวของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษการเมือง ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนคือการพิจารณาคดีลับลงโทษนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด หรือการไม่ให้ประกันตัว   นายสุรชัย แซ่ด่าน และนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ในระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งขณะนี้รู้กันทั้งโลกว่าพวกเขาถูกกระทำจากอำนาจที่ไม่เป็นธรรมที่ไม่อาจจะโต้แย้งได้ ซึ่งเลวร้ายยิ่งกว่าผู้เผด็จการในอาฟริกาที่ 3 สตรีรางวัลโนเบลต่อสู้มาก่อนด้วย

หลักฐานยืนยันความเน่าเฟะของระบอบการเมืองไทยยืนยันได้จากปากของบุคคลที่มิได้ยืนอยู่ฝ่ายทักษิณ เช่น คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นคว้าหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ  (ค.อ.ป.)  ที่นายอภิสิทธิ์เป็นคนแต่งตั้งขึ้น   ซึ่งล่าสุดนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ในฐานะที่ปรึกษา ค.อ.ป. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงข้อสรุปของ ค.อ.ป.ว่า ขณะนี้ทิศทางสำคัญที่พยายามทำอยู่คือ การนำกระบวนการยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านมาใช้ ซึ่งมี 6 ขั้นตอน คือ 1.ต้องมีการลงโทษผู้กระทำความผิดจริงๆ 2.ต้องค้นหาความจริง เปิดเวทีให้ทุกฝ่ายเล่าเหตุการณ์และระบายความคับแค้นใจ 3.ต้องมีกระบวนการเยียวยาเชิงฟื้นฟู ทั้งในรูปตัวเงิน ฟื้นฟูสมรรถภาพ ไปจนถึงการเอ่ยคำขอโทษอย่างเป็นทางการจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในขณะนั้น 4.อาจต้องสร้างอนุสาวรีย์ หรือพิพิธภัณฑ์ ให้ผู้คนระลึกถึงความรุนแรงแตกแยก และแสดงให้เห็นว่าเป็นสิ่งที่สังคมไม่พึงให้เกิดขึ้นอีก 5.ต้องปฏิรูปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระบวนการยุติธรรม วิธีจัดการกับผู้ชุมนุม ฯลฯ เพื่อให้บ้านเมืองไม่กลับไปสู่เหตุนั้นอีก และ 6.การสร้างความปรองดอง ซึ่ง คอป.ต้องเปิดเวทีให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนกระบวนการ พร้อมกับเปิดเวทีเจรจาเพื่อความปรองดอง (มติชน วันอาทิตย์ ที่ 9 ตุลาคม 2554)

แต่เงื่อนไขเวลาและเงื่อนไขของกลุ่มผลประโยชน์ที่กำลังสนุกกับการหาประโยชน์จากความเน่าเฟะของระบอบเผด็จการไทยอย่างอิ่มหมีพีมันอยู่ในขณะนี้จะยอมให้ ค.อ.ป. เดินหน้าต่อไปตามข้อสรุปข้างต้นนี้หรือ?

ในภาวะที่ประเทศตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นวิกฤติของระบบเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่ากองทัพไทยภายใต้อำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่เข้าใจปัญหาเอาเสียเลย และยังแสดงบทบาทรักษาอำนาจและผลประโยชน์โดยมีท่วงทำนองข่มขู่ประชาชนอยู่เสมอว่าพร้อมจะรัฐทำประหาร ซึ่งหากรัฐไทยเกิดการยึดอำนาจกันอีกในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนแปลงจริง ก็จะผลักให้รัฐไทยตกอยู่ในภาวะวิกฤติแตกหักอันเป็นภาวะเสี่ยงของสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอน

เผด็จการไทยเป็นเผด็จการแห่งประวัติศาสตร์ที่แอบอ้างสารพัดคุณธรรม แต่ไม่ละเว้นการกระทำบาปโดยเฉพาะบาปที่ร้ายแรงที่สุดคือบาปจากการพรากชีวิตมนุษย์ และเป็นเผด็จการที่ยากแก่การปรับตัวที่สุด ดังนั้นสังคมไทยจึงมีภาวะวิสัยที่สมบูรณ์ที่สุดที่จะสร้างวีระสตรีแห่งสันติภาพ ที่โลกกำลังจับตามอง
คอป. เล็กเกินไปที่จะผ่อนคลายสถานการณ์ภาวะวิตกจริตของระบอบเผด็จการไทยที่กำลังก่อตัวเพื่อจะสร้างวีระสตรี

วีระสตรีจะเป็นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่น้องเกด หรือ ดา ตอร์ปิโด ก็ได้ทั้งนั้น เพราะเนื้อแท้แห่งรางวัลโนเบลเป็นรางวัลแห่งสามัญชนที่กล้าเสียสละเสรีภาพและชีวิตเพื่อสันติสุขของมหาชน โดยเฉพาะสตรีเพศกำลังอยู่ในกระแสธารประวัติศาสตร์โลก  เพียงแต่นางสาวยิ่งลักษณ์ในสถานภาพนายกรัฐมนตรีในภาวะเปลี่ยนผ่าน มีเงื่อนไขสูงสุดที่จะรับภาวะวิกฤติของรัฐไทยที่หนักที่สุดและภาวะวิสัยแห่งความโหดร้ายของระบอบเผด็จการไทยกำลังท้าทายนางสาวยิ่งลักษณ์ให้แสดงความกล้าหาญเพื่อมนุษยชาติมากที่สุด

ขอความกรุณา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และบรรดาขุนศึกผู้กระหายความจงรักภักดี อย่าสร้างเงื่อนไขให้เกิดวีระสตรีที่จะก้าวขึ้นรับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในฐานะคนไทยคนแรกเลย

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สวัสดีวันลอยกระทง




ลอยกระทงเมื่อวานประชุมสภาและอภิปรายเลยไม่มีเวลา วันนี้มาทำกระทงทักทายกัน ขอให้สิ่งชั่วร้ายจงไหลไปกับกระทง ไม่ต้องกลับมา และขอให้สิ่งดีๆ จงเกิดกับประเทศชาติ ประชาชนโดยเร็ว